บทที่ 531.1 เครื่องปั้นแห่งชะตาชีวิตของเขากับเหล่าลูกศิษย์

กระบี่จงมา! Sword of Coming

หญิงสาวคนหนึ่งที่เดินทางข้ามทวีปกลับคืนมายังบ้านเกิด พอออกจากท่าเรือภูเขาหนิวเจี่ยวแล้วก็เดินเท้าออกมาจากภูเขาใหญ่ มุ่งหน้าตรงไปยังเมืองเล็กที่ตั้งอยู่ในเขตการปกครองของอำเภอไหวหวง ระหว่างที่เดินผ่านภูเขาเจินจูซึ่งเล็กจนมองดูเหมือนเนินดิน นางเหลือบตามองอยู่หลายครั้ง พอเข้าเมืองเล็กมาแล้วก็ไปเยือนบ้านเดิมของตัวเองที่อยู่ห่างจากภูเขาเจินจูไปไม่ไกลก่อน ปีนั้นเคยถูกสัตว์เดรัจฉานเฒ่าตัวหนึ่งของภูเขาตะวันเที่ยงเหยียบจนหลังคาพัง สี่คนในครอบครัวจึงได้แต่ย้ายไปอาศัยอยู่บ้านญาติ ภายหลังเรื่องที่ต้องควักเงินซ่อมแซมทำให้ท่านแม่บ่นอยู่เป็นนาน นางหยิบกุญแจบ้านออกมา เดินไปตักน้ำสองถังมาจากบ่อน้ำที่อยู่ใกล้เคียงแล้วทำความสะอาดทั้งในและนอกบ้านอย่างละเอียดหนึ่งรอบ แล้วถึงได้ลงกลอนประตู ไปเยือนร้านยาตระกูลหยางที่กิจการซบเซา เมื่อการค้าไม่รุ่งเรือง ในร้านจึงเหลือลูกจ้างแค่สองคน เด็กหนุ่มมีชื่อว่าสือหลิงซาน ส่วนศิษย์พี่หญิงของเขานั้นชื่อว่าซูเตี้ยน คอยทำหน้าที่ดูแลร้านยา

สือหลิงซานฟุบตัวนอนงีบหลับอยู่บนโต๊ะคิดเงิน ส่วนซูเตี้ยนนั้นนั่งเข้าฌานทำสมาธิอยู่บนม้านั่งตัวยาวเงียบๆ หลังจากฝ่าทะลุขอบเขตสามแล้ว นางก็ได้คำวิจารณ์จากศิษย์พี่เจิ้งต้าเฟิงว่า ‘คอขวดแตกหยาดสายฟ้าทะลัก ม้าเหล็กทะลวงขบวนรบ’ เป็นถ้อยคำที่ไม่ดาษดื่นสามัญแม้แต่น้อย ช่วยยกระดับขั้นของจิตแห่งวีรบุรุษในภายหลังให้สูงขึ้นได้ และยังแนะนำนางว่าหลังจากเลื่อนสู่ขอบเขตห้าแล้วควรจะไปเยือนซากปรักของสนามรบโบราณสักครั้ง ไปหล่อมหลอมจิตวิญญาณอยู่ที่นั่น เพราะจะทำให้เหนื่อยน้อยลงแต่ได้ผลเป็นเท่าตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งยังเหมาะแก่การฝึกตนในช่วงขอบเขตหกของนางในภายภาคหน้า แต่ซูเตี้ยนกลับไม่ได้รู้สึกปลาบปลื้มสักเท่าไร กลับกันยังมีเพียงความผิดหวังอย่างล้ำลึก เพราะนางรู้ดีอยู่แก่ใจว่า คอขวดของขอบเขตสามเป็นด่านใหญ่ ยิ่งเป็นโชควาสนาใหญ่ ทว่าคำว่าแข็งแกร่งที่สุดที่นางปรารถนาแม้ในยามหลับฝัน กลับไม่มีวาสนากับนางแล้ว จึงได้แต่ฝากความหวังไว้กับขอบเขตสี่ของตอนนี้แล้ว

นี่ทำให้ซูเตี้ยนที่มีจิตใจชอบเอาชนะอย่างถึงที่สุด และเดิมทีก็ไม่ชอบพูดคุยยิ้มแย้มอยู่แล้ว ตอนนี้ก็ยิ่งเงียบงันพูดน้อยเข้าไปใหญ่ ทุกวันหมกมุ่นอยู่แต่กับการฝึกตนจนแทบจะใกล้เคียงกับคำว่าบ้าคลั่ง การฝึกตนบนวิถีวรยุทธของนางแบ่งออกเป็นสามประเภท นั่นคือฝึกตอนกลางวัน ฝึกตอนกลางคืนและฝึกในความฝัน โดยมีอย่างสุดท้ายที่ลี้ลับมหัศจรรย์ที่สุด สองอย่างแรกหากฝึกในเวลาที่แสงแดดแผดเผาและค่ำคืนที่ดวงจันทร์เต็มดวงจะได้ผลดีที่สุด ส่วนเรื่องของการฝึกตนในความฝันนั้น ก็คือทุกคืนก่อนจะเข้านอน หลังจากจุดธูปสามดอกแล้วก็จะเข้าไปอยู่ในขอบเขตของความฝันประเภทต่างๆ ที่มีความประหลาดพิสดารหลากหลาย บ้างก็เป็นการต่อสู้ตัวต่อตัวกับผู้อื่น บ้างก็อยู่ในสนามรบ บ้างก็ตายไปในเสี้ยววินาที บ้างก็เป็นการดิ้นรนก่อนตาย หลังจากการฝึกตนในความฝันสิ้นสุดลง ไม่เพียงแต่ไม่ทำให้เช้าวันต่อมาซูเตี้ยนอ่อนระโหยโรยแรง กลับกลายเป็นว่าหลังจากฟ้าสาง ซูเตี้ยนจะมีสีหน้าสดชื่นแจ่มใสตลอดทั้งวัน ไม่ถ่วงรั้งการฝึกตนตอนกลางวันและกลางคืนของนางแม้แต่น้อย

สือหลิงซานมองดูเหมือนกำลังงีบหลับ แต่แท้ที่จริงเขาเองก็กำลังมานะฝึกตนอยู่เช่นกัน วิธีการฝึกตนของเด็กหนุ่มเมื่อเปรียบเทียบกับศิษย์พี่หญิงอย่างซูเตี้ยนแล้ว ถือว่าง่ายกว่ามาก วิธีของเขามีชื่อเรียกว่า ‘ลุยน้ำ’

เดินอยู่ท่ามกลางสายน้ำแห่งกาลเวลา ขัดเกลาเรือนกายและจิตวิญญาณ

ซูเตี้ยนไม่รู้สถานะที่แท้จริงของอาจารย์ตน ยิ่งไม่รู้ว่าอาจารย์มีตบะและขอบเขตอะไร แต่มีเรื่องหนึ่งที่ซูเตี้ยนมั่นใจอย่างยิ่ง เส้นทางการฝึกตนสองเส้นของตนกับศิษย์น้องย่อมไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน ตอนนี้อำเภอไหวหวงมีเทพเซียนมากมายแวะเวียนมา ภูเขาทางแถบตะวันตกก็ยิ่งมีเหล่าภูตจำนวนมากที่เข้าๆ ออกๆ ด้วยรูปลักษณ์ของคน มีคนของเมืองเล็กหรือไม่ก็นักโทษสกุลหลูถูกผู้ฝึกตนรับตัวไปเป็นลูกศิษย์ในสำนักอย่างต่อเนื่อง ซูเตี้ยนเดาเอาว่านอกจากสำนักกระบี่หลงเฉวียนของอริยะหร่วนฉงแล้ว น่าจะไม่มีใครที่สามารถทัดเทียมนางกับน้องชายได้แล้ว

ซูเตี้ยนลืมตาขึ้นมองไปยังลูกค้าแปลกหน้าที่อยู่นอกร้าน สือหลิงซานที่ฟุบตัวอยู่บนโต๊ะคิดเงินยังคงมีลมหายใจทอดยาว แน่นิ่งไม่ขยับ

ซูเตี้ยนเคยเป็นคนงานครึ่งตัวและลูกศิษย์ครึ่งตัวของเตาเผามังกร แต่อันที่จริงกลับต้องทำงานหนักที่ต้องใช้แรงกาย การเผาเครื่องปั้นของเตาเผามังกรคือเรื่องใหญ่อันดับหนึ่งของเมืองเล็กมานับแต่โบราณ อีกทั้งเครื่องปั้นที่เผานี้ยังเป็นของทางการสกุลซ่งต้าหลี ถือเป็นเครื่องกระเบื้องที่ใช้ในหมู่เชื้อพระวงศ์ ในอดีตซูเตี้ยนที่มีชื่อเล่นว่าแยนจือก็แค่อาศัยสถานะของท่านอาถึงได้ไปทำงานหาเลี้ยงชีพอยู่ที่นั่นได้ งานเผาเครื่องปั้นที่แท้จริงมีข้อห้ามและกฎเกณฑ์มากมาย นางเป็นสตรีคนหนึ่งก็หนีไม่พ้นต้องใช้แรงงานทำเรื่องอย่างงการตัดฟืนเผาถ่าน ย้ายดินขนวัสดุก็เท่านั้น ทุกครั้งที่มีการเปิดเตาเผา นางไม่สามารถเข้าใกล้พวกมันได้ด้วยซ้ำ เพราะไม่อย่างนั้นก็จะต้องถูกขับไล่

ดังนั้นซูเตี้ยนจึงไม่คุ้นเคยกับชาวบ้านในท้องถิ่นของเมืองเล็กเท่าไรนัก ส่วนศิษย์น้องสือหลิงซานนั้น ถึงอย่างไรก็เป็นลูกหลานของครอบครัวที่พอมีจะกินในตรอกเถาเย่ นับตั้งแต่เด็กก็ชอบเล่นกับคนวัยเดียวกันที่เป็นเพื่อนบ้านใกล้เคียงหรือไม่ก็คนในครอบครัวใหญ่ของถนนฝูลวี่ สำหรับตรอกที่มีแต่ขี้หมาขี้ไก่อย่างพวกตรอกหนีผิงตรอกซิ่งฮวาอะไรนั่น เขาเองก็ไม่คุ้นเคยเช่นกัน อย่างมากสุดก็แค่คุ้นเคยกลับสถานที่ที่มีร้านขายของเบ็ดเตล็ดมากมายอย่างตรอกฉีหลงเท่านั้น

หญิงสาวเรือนกายบอบบางสะโอดสะองมองซูเตี้ยนแวบหนึ่ง แล้วจึงยิ้มเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “เจ้าคงจะเป็นซูเตี้ยนกระมัง”

ซูเตี้ยนรู้สึกดีกับลูกค้าคนนี้อย่างมาก ท่าทางนุ่มนิ่มบอบบาง เหมือนกับพวกผงชาดเครื่องประทินโฉมที่ยามมีชีวิตอยู่ท่านอามักจะนึกถึงเสมอ

ซูเตี้ยนพยักหน้ารับ ลุกขึ้นยืนแล้วตอบว่า “ลูกค้าจะมาซื้อยาหรือ?”

สตรีส่ายหน้า “ข้ามาหาคน ท่านพ่อข้าเคยเป็นลูกจ้างอยู่ที่นี่ น้องชายข้าชื่อหลี่ไหว ตอนเด็กๆ เขาก็มักจะมาเล่นที่นี่เป็นประจำ เจ้าเคยได้ยินหรือไม่?”

ซูเตี้ยนหน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย

หลี่ไหว? เด็กหนุ่มสวมชุดลัทธิขงจื๊อที่เหมือนกินดีหมีหัวใจเสือไปร้อยดวงคนนั้นน่ะหรือ?

เหตุใดเด็กหนุ่มที่โผงผางแบบนั้นถึงได้มีพี่สาวที่อ่อนโยนดุจสายน้ำเช่นนี้ได้? สตรีที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้ลักษณะราวกับกิ่งหลิวในฤดูใบไม้ผลิอย่างไรอย่างนั้น พูดจาน้ำเสียงก็ไพเราะน่าฟัง หน้าตาก็ยิ่งอ่อนโยนเป็นมิตร ไม่ได้งามล้ำอย่างที่แค่มองปราดๆ ก็ทำให้จิตใจบุรุษสะท้านไหว แต่เป็นยิ่งพิศยิ่งชวนมอง นี่ทำให้สตรีที่งดงามอย่างซูเตี้ยนยังรู้สึกว่านางงดงามมาก

ซูเตี้ยนถามเสียงเบา “มาหาอาจารย์ข้าหรือ?”

สตรีผู้นั้นพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม

ซูเตี้ยนรู้สึกลำบากใจเล็กน้อย

และเวลานี้เอง หยางเหล่าโถวก็มาปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าประตูระหว่างร้านยากับเรือนหลังอย่างที่หาได้ยาก ใช้กระบอกยาสูบเลิกผ้าม่านขึ้น ยิ้มกล่าวว่า “มาถึงแล้วหรือ เข้ามาสิ”

หลี่หลิ่วจึงเดินเข้าไปในเรือนหลัง

หยางเหล่าโถวนั่งอยู่บนขั้นบันได สูบยาพ่นควันขโมงต่อไป ส่วนสตรีก็เลือกหาม้านั่งแล้วนั่งลงง่ายๆ

หยางเหล่าโถวกล่าว “เรื่องพื้นที่มงคลที่ภูเขาลั่วพั่วได้รับมาใหม่นั่น อะไรที่ควรพูดก็พูดไป ไม่ต้องกริ่งเกรง มองดูเหมือนจะเกี่ยวพันเป็นวงกว้าง แต่อันที่จริงยังถือเป็นเรื่องที่สอดคล้องกับกฎเกณฑ์ ก็บุคคลยิ่งใหญ่เทียมฟ้านี่นะ ความใจกว้างเล็กน้อยแค่นี้ควรยังต้องมีบ้าง สถานะและเนื้อหนังมังสาของพวกเจ้าในเวลานี้แม้จะเป็นพันธนาการ แต่จะดีจะชั่วก็ถือว่าพอจะมีประโยชน์อยู่บ้าง”

หลี่หลิ่วพยักหน้ารับ “ให้เจิ้งต้าเฟิงเรียกตัวข้ามา คงไม่ได้มีแค่เรื่องนี้กระมัง?”

หยางเหล่าโถวอืมรับหนึ่งที “หร่วนฉงเพิ่งจะมาหาข้าพอดี เกี่ยวข้องกับเรื่องของถ้ำสวรรค์พื้นที่มงคลเหมือนกัน เจ้าก็สามารถอธิบายให้เขาฟังไปพร้อมกันได้ ของยังอยู่ที่ข้า หลังจากนี้เจ้าไปที่ภูเขาลั่วพั่วแล้วก็แวะไปที่ภูเขาเสินซิ่วด้วย”

สายตาของหลี่หลิ่วมืดลึก

หยางเหล่าโถวยิ้มกล่าว “แม้แต่มรรคายังไม่เหลือแล้ว ยังจะเอาคำว่าการช่วงชิงบนมหามรรคามาเกี่ยวข้องอะไรด้วยอีก? บุญคุณความแค้นเก่าเก็บของเจ้ากับนาง ข้าว่าปล่อยให้มันผ่านๆ ไปเถอะ แต่ข้าว่าพวกเจ้าคงไม่มีใครยอมฟัง ไม่อย่างนั้นตอนแรก…ช่างเถอะ เรื่องของปีมะโว้แล้ว ไม่พูดถึงก็ช่าง หากจะคิดเล็กคิดน้อยจริงๆ ไม่ว่าใครก็มีความผิดด้วยกันทั้งนั้น ถึงอย่างไรหากพวกเจ้าสองคนคิดจะงัดข้อกันจริงๆ ขึ้นมา ก็ยังไม่ใช่ตอนนี้อยู่ดี”

คนหนึ่งคือผู้ร่วมครองยุทธภพ

อีกคนหนึ่งคือเทพอัคคีประทับบัลลังก์สูง

ก็แค่มหามรรคาพังทลาย ภูเขาสายน้ำแปรเปลี่ยน ต่างคนต่างเปลี่ยนเนื้อหนังมังสาใหม่ ทว่ารากฐานร่างทองกลับยังคงอยู่

ส่วนข้อที่ว่าเหตุใดนักโทษที่มีความอาวุโสสูงสุดและสถานะยิ่งใหญ่ที่สุดในใต้หล้าแห่งนี้อย่างเขาถึงยังมีชีวิตอยู่รอดมาจนถึงทุกวันนี้

คงต้องถามคนสามคนกับอีกสองเทพ

สองเทพนั้น ท่านหนึ่งตัดสินเรื่องที่ว่าเหตุใดผู้ฝึกกระบี่ถึงมีพลังพิฆาตรุนแรงที่สุด ทว่ากลับยากที่จะเลื่อนสู่ขอบเขตสิบสี่ในตำนานได้มากที่สุด ส่วนอีกท่านหนึ่งก็เป็นผู้ตัดสินข้อที่ว่าเหตุใดเส้นทางวรยุทธทั้งหมดบนโลกใบนี้ถึงได้เป็นเส้นทางหัวขาด ขณะเดียวกันก็ตัดสินด้วยว่าเหตุใดถึงมีเพียงผู้ฝึกตนสำนักการทหารที่เป็นหนึ่งในผู้ฝึกลมปราณที่แทบจะไม่ต้องแตะต้องผลกรรม

หลี่หลิ่วพลันเอ่ยว่า “ข้าว่าไม่สำเร็จหรอก”

หยางเหล่าโถวหัวเราะเสียงเย็น “ตอนนั้นใครเล่าจะคิดว่ามดพวกนั้นจะเดินขึ้นยอดเขาสูงได้? จะทำได้สำเร็จ?”

หลี่หลิ่วเงียบงันไป

ก็จริงอย่างที่หยางเหล่าโถวกล่าว

หากจะคิดเล็กคิดน้อยกันจริงๆ ไม่ว่าใครก็ล้วนมีความผิด

หยางเหล่าโถวใช้กระบอกยาสูบเคาะพื้น ศาลขนาดเล็กที่มีไอเมฆหมอกล้อมวนก็กลิ้งออกมา มันกลิ้งหลุนๆ อยู่บนพื้น สุดท้ายจึงหยุดนิ่ง

มีคนจิ๋วควันธูปผู้หนึ่งวิ่งออกมาจากด้านใน สองมือออกแรงลากเอา ‘กรอบป้ายใหญ่’ ออกมาด้วยสองชิ้น อันที่จริงนั่นก็คือป้ายหยกหนึ่งแผ่นกับตราประทับหนึ่งชิ้น

หลี่หลิ่วมองของทั้งสองอย่างนี้แล้วก็หัวเราะ “หลิวเสี้ยนหยางที่ถูกสกุลเฉินผู้รอบรู้ยืมตัวไปสามสิบปีจะต้องเข้ามาอยู่ในสำนักกระบี่หลงเฉวียนแน่ๆ หรือ?”

หยางเหล่าโถวกล่าว “หร่วนฉงรู้สึกว่าความเป็นไปได้ที่หลิวเสี้ยนหยางจะกลับมามีไม่มาก แต่ในความเป็นจริงแล้วกลับมีโอกาสสูงมาก”

คนจิ๋วควันธูปผู้นั้นวิ่งตะบึงไปหยุดอยู่ริมเท้าของหลี่หลิ่ว

หลี่หลิ่วหยิบกุญแจของพื้นที่สวรรค์และถ้ำมงคลสองแห่งนั้นขึ้นมา

นางไม่ได้รู้สึกสนใจสักเท่าไร

ก็แค่ภูเขาสายน้ำแห่งเก่าที่แตกทลายเท่านั้น

นางไม่ค่อยเหมือนกับพวกหร่วนซิ่ว หลี่เอ้อร์ เจิ้งต้าเฟิงหรือฟ่านจวิ้นเม่าสักเท่าไร

ส่วนโจวจวี่นักปราชญ์แห่งสำนักศึกษากวานหู ซุนเจียซู่แห่งนครมังกรเฒ่า แม่หนูชุยในสำนักเล็กๆ อย่างดินแดนเซียนเป่าต้งนั่นก็ยิ่งไม่อาจทัดเทียมกับนางได้

เทพหญิงทั้งแปดของนครปี้ฮว่าชายหาดโครงกระดูก จวนดินแดนเซียนในภาพวาดที่มอบไว้ให้กับสำนักพีหมาในทุกวันนี้ ก็คือหนึ่งในขุนเขาสายน้ำที่ล่มสลาย ถึงขั้นถือว่าเป็นหนึ่งในคฤหาสน์หลบร้อนของหลี่หลิ่วได้ด้วยซ้ำ ดังนั้นเทพหญิงสิงอวี่ที่พอเห็นหลี่หลิ่ว จิตวิญญาณถึงได้ไม่มั่นคง รู้สึกเพียงว่าเมื่อพบเจอกับหลี่หลิ่ว ตัวนางก็เหมือนกลายเป็นเสมียนตัวเล็กๆ ในวงการขุนนางโลกมนุษย์ที่ได้เจอกับขุนนางใหญ่กรมขุนนาง อันที่จริงนี่ไม่ใช่ว่าเทพหญิงสิงอวี่คิดไปเอง เพราะความจริงก็เป็นเช่นนี้ เทพหญิงทั้งแปดท่านในนครปี้ฮว่ามีหน้าที่รับผิดชอบคล้ายๆ กับผู้ดูแลของหกฝ่ายในราชสำนักของทุกวันนี้ แต่ก็แค่เหมือนเท่านั้น เพราะในความเป็นจริงแล้วอำนาจรับผิดชอบของเทพหญิงทั้งแปดท่านมีมากกว่า พวกนางสามารถออกลาดตระเวนฟ้าดิน พันธนาการ ตรวจสอบ ทัดทานองค์เทพของหลายฝ่าย เรียกได้ว่าตำแหน่งต่ำแต่อำนาจหนัก

ในบรรดาคนอื่นๆ ที่เป็นผู้นำพาผู้คนให้เดินไปถึงเส้นทางโบราณสายนั้นพร้อมกับหยางเหล่าโถว หลี่หลิ่วไม่เหมือนใครมากที่สุด นางไม่จำเป็นต้องรอให้สติปัญญาเปิดออก เพราะนางเกิดมาก็รับรู้แล้ว ตระกูลเซียนตัวอักษรจงหลายแห่ง หลังจากที่บรรพจารย์ในสำนักลาจากโลกนี้ไป เกี่ยวกับเรื่องที่ว่าจะตามหาบรรพจารย์ที่ไปจุติใหม่ได้อย่างไร จำเป็นต้องทุ่มกำลังทรัพย์จำนวนมหาศาลของภูเขา ยกตัวอย่างเช่นบรรพจารย์ผู้กอบกู้สำนักใบถงท่านนั้นที่ได้สั่งให้คนลงจากเขาไปตามหามารดาของตัวเอง แต่พอหาเจอแล้วก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะจำเรื่องในอดีตได้ บนเส้นทางของการฝึกตนนั้น พรสวรรค์ก่อนกำเนิดดีก็ไม่ได้หมายความว่าจะสามารถหวนกลับคืนสู่ยอดเขาได้อย่างแน่นอน

หลังจากเก็บแผ่นหยกและตราประทับไปอย่างง่ายๆ แล้ว หลี่หลิ่วครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก็ถอนหายใจเอ่ยว่า “เจ้ายังคงไม่อยากให้พวกเราสองคนพลิกบัญชีเก่ากันขึ้นมา”

เฉินผิงอันคนเดียวไม่พอ ก็บวกกับหลี่หลิ่วไปอีกคน หากยังไม่ปลอดภัยมั่นคง ถ้าอย่างนั้นก็รวมหลิวเสี้ยนหยางเข้าไปด้วย

การช่วงชิงแห่งน้ำและไฟที่ถูกเก็บซ่อนอำพรางไว้อย่างลึกล้ำที่สุด เป็นเฉินผิงอันที่เปลี่ยนตัวกับนางหลี่หลิ่วชั่วคราว เพื่อไปช่วงชิงกับหร่วนซิ่ว เพราะปีนั้นคนที่ควรจะได้โชควาสนา ‘หนีชิว’ อย่างแท้จริง คือเฉินผิงอัน ไม่ใช่กู้ช่าน เหตุใดหร่วนซิ่วถึงได้โปรดปรานเฉินผิงอันนัก? ตอนนี้ความรู้สึกนั้นอาจเปลี่ยนมาเป็นซับซ้อนมากกว่าเดิม แต่แรกเริ่มนั้นต้องไม่ใช่เพราะแค่สภาพจิตใจของเฉินผิงอันกระจ่างใส ทำให้หร่วนซิ่วรู้สึกถึงความสะอาดบริสุทธิ์ง่ายๆ แค่นั้นแน่นอน แต่เป็นเพราะปีนั้นเมื่อหร่วนซิ่วเห็นเฉินผิงอันก็เหมือนคนตะกละหิวโหยได้เห็นอาหารที่เลิศรสที่สุดในโลก นางจึงย้ายสายตามาจากเขาไม่ได้

หลี่ไหวน้องชายของนางหลี่หลิ่วก็เป็นลูกศิษย์ของฉีจิ้งชุนเหมือนกัน และด้วยวาสนาที่ประจวบเหมาะ เฉินผิงอันจึงเคยทำหน้าที่เป็นผู้ปกป้องมรรคาของหลี่ไหว นางหลี่หลิ่วอยากจะพลิกบัญชีเก่าเก็บกับหร่วนซิ่วก็จำเป็นต้องสังหารเฉินผิงอันที่เกิดมาก็ใกล้ชิดกับสายน้ำเสียก่อน ให้นางเป็นผู้ครอบครองมหามรรคาสายนั้น ทว่าหลี่ไหวย่อมไม่ยอมให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นอย่างแน่นอน และหลี่หลิ่วเองก็ไม่ต้องการให้หลี่ไหวเสียใจ

แต่นี่ก็ยังไม่มั่นคงมากพอ

ดังนั้นหยางเหล่าโถวจึงจะให้หลิวเสี้ยนหยางหวนกลับคืนสู่สำนักกระบี่หลงเฉวียน บวกกับความเป็นไปได้ที่สมเหตุสมผลเข้าไปอีกส่วนหนึ่ง ยกตัวอย่างเช่นถ้ำสวรรค์แห่งหนึ่งที่ไม่นับว่าเป็นหนึ่งในสามสิบหกแห่ง และคัมภีร์กระบี่ที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษของหลิวเสี้ยนหยางเล่มนั้น ช่วยกันประคับประคองให้สำเร็จ

มีเฉินผิงอันและหลิวเสี้ยนหยางอยู่ ความสัมพันธ์ระหว่างภูเขาลั่วพั่วและสำนักกระบี่หลงเฉวียนมีแต่จะยิ่งสนิทสนมแนบแน่น