บทที่ 531.2 เครื่องปั้นแห่งชะตาชีวิตของเขากับเหล่าลูกศิษย์

กระบี่จงมา! Sword of Coming

หยางเหล่าโถวไม่ได้ปฏิเสธอะไร เขาพูดด้วยสีหน้าเฉยชาว่า “ทุกคนต่างก็มีความผิด ทว่าพวกเจ้าสองคนกลับทำผิดมหันต์ยิ่งกว่าใคร!”

หลี่หลิ่วทั้งไม่มีความหวาดเกรง แล้วก็ไม่มีความละอายใจ นางแหงนหน้ามองท้องฟ้า “คงจะใช่กระมัง”

หยางเหล่าโถวพลันเอ่ยว่า “แม้จะบอกว่าสำหรับพวกเจ้าแล้ว แค่สะบัดอาภรณ์ ดินโคลนต่างๆ ก็ปลิวกระจายหาย แต่ก็ยังต้องระวังอยู่บ้าง ไม่อย่างนั้นสักวันหนึ่ง ดินโคลนที่ไม่สะดุดตาจะเป็นเหมือนโคลนสีที่ติดอยู่บนตราประทับ แล้วพวกเจ้าจะต้องเจอกับความยากลำบากใหญ่หลวง”

หลี่หลิ่วส่ายหน้า “เรื่องพวกนี้ไม่ต้องพูดกับข้า ข้ารู้ดีว่าควรทำเช่นไร”

จากนั้นหลี่หลิ่วก็คลี่ยิ้มอ่อนหวาน มองไปทางผู้เฒ่า

หยางเหล่าโถวหลุดหัวเราะพรืด พูดเหมือนคนที่กำลังหาข้ออ้างให้ตัวเอง “นั่งอยู่เฉยๆ ในกรงขังมาหมื่นปี ยังจะไม่ยอมให้ข้าหาความบันเทิงมาแก้อุดอู้บ้างเลยหรือ?”

หลี่หลิ่วกลั้นยิ้ม “ท่านพ่อข้ายังดีหน่อย เพราะถึงอย่างไรก็ต้องทิ้งโชคชะตาบู๊บางส่วนไว้ให้กับแจกันสมบัติทวีป แต่อันที่จริงท่านแม่ข้าไม่จำเป็นต้องไปอุตรกุรุทวีปเลย”

หยางเหล่าโถวเงียบงัน สีหน้าไม่ค่อยดีนัก

พอนึกถึงสตรีปากร้ายที่ราวกับว่ากินสารหนูเข้าไปวันละหลายๆ จินผู้นั้น อารมณ์เขาก็ไม่อาจดีได้จริงๆ

สิ่งที่เทพชิงชังผีรังเกียจ ขี้แมลงวันในกระถางธูป มองนานหน่อยยังรังเกียจว่าสกปรกสายตา

หลี่ไหวกับมารดาของเขาไม่ค่อยเหมือนกับบิดาหลี่เอ้อร์และหลี่หลิ่วผู้เป็นพี่สาวสักเท่าไร พวกเขาต่างก็ไม่ใช่คนบนเส้นทางเดียวกัน แม่ลูกสองคนนั้นเป็นเพียงแค่คนธรรมดาเท่านั้น แน่นอนว่าหลี่ไหวเป็นคนก็จริง แต่ไม่ใช่คนที่ธรรมดาอย่างแน่นอน

ใต้หล้านี้ไม่มีลูกกระต่ายน้อยที่ไหนที่เหมือนมีขี้หมานำโชคมาเรียงต่อแถวรอให้เขาเหยียบเช่นนี้ หวงถิงแห่งภูเขาไท่ผิงใบถงทวีป เฮ้อเสี่ยวเหลียงแห่งสำนักโองการเทพ ต่างก็ถูกขนานนามให้เป็นผู้ที่มีโชควาสนาเป็นอันดับหนึ่งในทวีปของตัวเอง แต่คนที่มีโชคดีขี้หมาอย่างไร้ศัตรูทัดเทียมได้อย่างหลี่ไหวนี้ ดูเหมือนว่ายากเกินกว่าจะทำให้ผู้คนเข้าใจได้ หวงถิงและเฮ้อเสี่ยวเหลียงยังต้องคิดพิจารณาว่าควรจะคว้าเอาโชควาสนาต่างๆ มาไว้ในมือให้มั่นคงได้อย่างไร หลีกเลี่ยงไม่ให้โชคมาพร้อมกับเคราะห์ เจ้าหลี่ไหวจำเป็นหรือไม่? เขาเป็นคนประเภทที่ว่าโชควาสนาพากันพุ่งมาหาเขาด้วยตัวเอง บางครั้งยังต้องคอยกังวลด้วยว่าของบางอย่างจะหนักเกินไปหรือไม่ จะงดงามน่ามองหรือไม่ด้วยซ้ำ

ดังนั้นสำหรับหลี่ไหวแล้ว หยางเหล่าโถวจึงสามารถแหกกฎได้มากหน่อย อีกทั้งยังไม่ต้องเกี่ยวพันกับการทำการค้าเลยแม้แต่น้อย เพราะถึงอย่างไรผู้เฒ่าก็ชอบเจ้าลูกกระต่ายน้อยผู้นี้จริงๆ

ถ้ำสวรรค์หลีจูมีอายุยาวนาน คนที่สามารถเข้ามายังเรือนด้านหลังของตระกูลหยางได้นั้น เดิมทีก็มีน้อยอยู่แล้ว และเด็กอย่างหลี่ไหวก็มีให้เห็นได้ไม่มาก

ส่วนสตรีผู้นั้น ก็เป็นเพราะว่าธรรมดาสามัญเกินไป ดังนั้นผู้เฒ่าถึงได้คร้านจะถือสา ไม่อย่างนั้นหากเปลี่ยนมาเป็นเซี่ยสือแห่งตรอกเถาเย่ หรือไม่ก็เฉาซีจากตรอกหนีผิงในอดีตดูสิ? จะยังเดินออกไปจากถ้ำสวรรค์หลีจูได้ไหม?

หยางเหล่าโถวนิ่งคิดไปครู่หนึ่ง “เฉินผิงอันเริ่มสืบหาเบาะแสเรื่องเครื่องปั้นแห่งชะตาชีวิตแล้ว แต่ทำอย่างมิดชิด ไม่เปิดเผยพิรุธแม้แต่น้อย”

เกี่ยวกับเรื่องนี้หลี่หลิ่วไม่ได้สนใจมากนัก นางพอจะรู้เรื่องวงในบางอย่างคร่าวๆ ถือเป็นเส้นสายบนภูเขาที่ซับซ้อนอย่างถึงที่สุดเส้นหนึ่ง แน่นอนว่าร้านยาตระกูลหยางไม่อาจปัดความเกี่ยวข้องทิ้งได้ เพียงแต่ว่ากฎเกณฑ์ในการลงมือนั้นไม่ได้จงใจใช้เล่นงานเฉินผิงอันโดยเฉพาะ ก็แค่นั่งลงแบ่งส่วนแบ่งกับสกุลซ่งต้าหลีก็เท่านั้น การเผาเครื่องปั้นแห่งชะตาชีวิต แรกเริ่มสุดก็คือวิธีการที่ใหญ่เทียมฟ้าของหยางเหล่าโถว ถึงขั้นพูดได้ว่าการลุกผงาดของราชวงศ์ต้าหลีก็ล้วนต้องยกความดีความชอบให้กับการค้าครั้งนี้ของถ้ำสวรรค์หลีจู นี่ต่างหากที่ทำให้พวกเขาร่ำรวยเป็นเศรษฐี ค่อยๆ ลุกผงาดขึ้นมาได้ ดังนั้นคำชื่นชมที่หยางเหล่าโถวมีให้กับจิตวิญญาณของเด็กหนุ่มชุยฉาน จึงถือว่าเป็นการยอมรับที่สูงที่สุดในใต้หล้าแห่งนี้แล้ว สามารถพูดได้ว่านอกจากหยางเหล่าโถว คนบนเส้นทางนี้ที่มีความสามารถค้ำฟ้าก็มีเพียงชุยฉานและชุยตงซานเท่านั้น สามีภรรยาแซ่หม่าที่อาศัยอยู่ในตรอกซิ่งฮวาแต่กลับมีความสามารถที่จะควบคุมเตาเผามังกร ซึ่งก็คือพ่อแม่ของหม่าขู่เสวียน มีความเกี่ยวข้องสูงสุดกับเรื่องที่เครื่องปั้นแห่งชะตาชีวิตของเฉินผิงอันแตก หม่าหลันฮวาที่ทุกวันนี้เลื่อนจากแม่ย่าลำคลองไปเป็นองค์เทพลำคลอง แต่กลับไม่มีร่างทองอยู่ในศาล แล้วก็ยิ่งไม่มีคนจุดธูปกราบไหว้ หญิงชราที่จิตใจอำมหิตชั่วร้ายคนนั้น มีเพียงเรื่องนี้เท่านั้นที่มโนธรรมในใจบังเกิด อีกทั้งนางยังเคยพยายามหยุดยั้งบุตรชายและลูกสะใภ้อย่างสุดความสามารถด้วย เพียงแต่ว่าคู่สามีภรรยาถูกผลประโยชน์บดบังหัวใจ หญิงชราจึงทำไม่สำเร็จก็เท่านั้น ปีนั้นหม่าขู่เสวียนเคยสะดุ้งตื่นมากลางดึก จึงพอจะรู้ความจริงของเรื่องนี้บ้างเล็กน้อย ดังนั้นลูกรักแห่งสวรรค์ที่ในอดีตแสร้งทำเป็นคนโง่ตลอดเวลาผู้นี้ถึงได้ให้ความสนใจเฉินผิงอันมากเป็นพิเศษ

เหนียงเนียงต้าหลี หรือก็คือไทเฮาในทุกวันนี้ รวมไปถึงอดีตฮ่องเต้ ต่างก็ทำเพื่อซ่งจี๋ซิน และก็ยิ่งเพื่อโชคชะตาแคว้นของต้าหลี

ส่วนราชครูชุยฉานก็คล้อยไปตามสถานการณ์ แล้วก็ได้เล่นหมากล้อมกระดานหนึ่งกับฉีจิ้งชุนด้วยเรื่องนี้ หากมองแค่ผลลัพธ์ ก็ถือว่าชุยฉานได้วางหมากฝีมือเทพเซียนอย่างแท้จริง

ส่วนเรื่องที่ว่าปีนั้นเป็นใครกันแน่ที่ซื้อเครื่องปั้นแห่งชะตาชีวิตของเฉินผิงอันไป แล้วเหตุใดถึงได้ถูกทุบแตก ด้วยเรื่องนี้สกุลซ่งต้าหลีได้จ่ายเงินเทพเซียนให้กับคนเบื้องหลังที่ซื้อเครื่องปั้นไปกี่มากน้อย หลี่หลิ่วไม่ค่อยรู้แน่ชัดนัก แล้วก็ไม่ยินดีจะไปสืบสาวเรื่องราวที่ไม่เกี่ยวข้องกับตัวเองเหล่านี้ โดยทั่วไปแล้ว เด็กคนหนึ่งที่ถือกำเนิดขึ้นมาในตรอกหนีผิง ราคาที่คนเดิมพันกับเครื่องปั้นย่อมไม่มีทางต่ำเกินไป เพราะตรอกหนีผิงเคยมีเฉาซีเซียนกระบี่ผู้ดูแลหอพิทักษ์เมืองของทักษิณาตยทวีปที่โดดเด่น ในข้อนี้จะช่วยทำให้ราคาเพิ่มขึ้น แต่ก็จะไม่สูงเกินไปนัก เพราะถึงอย่างไรตรอกหนีผิงก็เคยมีเฉาซีปรากฎตัวแล้วคนหนึ่ง ดังนั้นปีนั้นอดีตฮ่องเต้สกุลซ่งและราชสำนักต้าหลี รวมถึงคนซื้อเครื่องปั้นคนนั้นก็น่าจะไม่ได้เก็บเอามาใส่ใจสักเท่าไร แต่ว่าเมื่อเฉินผิงอันเดินทีละก้าวจนมาถึงทุกวันนี้ คาดว่าคงจะบอกได้ยากแล้ว ไม่แน่ว่าอีกฝ่ายอาจอดไม่ไหวพลิกบัญชีเก่าขึ้นมาเปิด ใช้เหตุผลต่างๆ นานามางัดข้อกับฮ่องเต้องค์ใหม่ของต้าหลีดูสักรอบ เพราะตามหลักปกติแล้ว เครื่องปั้นแห่งชะตาชีวิตของเฉินผิงอันแตกแล้ว อีกทั้งเขายังมีหน้ามีตาเช่นทุกวันนี้ หากยังไม่แตก แล้วยังถูกคนซื้อเครื่องปั้นพาออกไปจากถ้ำสวรรค์หลีจู จากนั้นก็ให้การอบรมปลูกฝังเป็นอย่างดี ก็ไม่ใช่ว่าเขาต้องสามารถกลายเป็นผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบนได้อย่างแน่นอนหรอกหรือ? ดังนั้นการชดเชยค่าเสียหายของราชสำนักต้าหลีในปีนั้นย่อมถูกมองว่าไม่ยุติธรรม แต่ก็แน่นอนว่าหากคนซื้อเครื่องปั้นเป็นคนตระกูลเซียนของแจกันสมบัติทวีป คาดว่าตอนนี้คงไม่กล้าเปิดปากพูดอะไร ได้แต่นินทาอยู่ในใจเท่านั้น แต่หากเป็นตระกูลเซียนของทวีปอื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งตระกูลเซียนยิ่งใหญ่ที่มีตัวอักษรจงอยู่ในชื่อสำนัก และยิ่งมาจากอุตรกุรุทวีปด้วยแล้วล่ะก็ ฮ่องเต้พระองค์ใหม่ของต้าหลีที่รากฐานยังไม่มั่นคงคงหนีไม่พ้นต้องเป็นบุตรที่ใช้หนี้แทนบิดาแล้ว

หลี่หลิ่วพลันเอ่ยว่า “เฉินผิงอันเป็นคนที่คุยได้ง่ายมากคนหนึ่ง”

แล้วนางก็เอ่ยต่อว่า “แต่ว่า ขณะเดียวกันเฉินผิงอันก็เป็นคนที่น่ากลัวมากคนหนึ่ง”

หยางเหล่าโถวหัวเราะ “ได้รับคำวิจารณ์เช่นนี้จากเจ้า หมายความว่าตลอดเวลาหลายปีที่ผ่านมาเฉินผิงอันไม่ได้มีชีวิตอยู่อย่างเสียเปล่าแล้ว”

หลี่หลิ่วขมวดคิ้ว “หากเฉินผิงอันตรวจสอบจนรู้แน่ชัด ศัตรูอันดับแรกก็จะอยู่ใกล้กับภูเขาลั่วพั่วและตรอกหนีผิงในระยะประชิดแล้ว”

อันดับแรกคือตระกูลหม่าแห่งตรอกซิ่งฮวา

อันดับที่สองก็คือเชื้อพระวงศ์สกุลซ่งต้าหลี

และเห็นได้ชัดว่าหม่าขู่เสวียนคือคนที่ผู้เฒ่าทุ่มเดิมพันก้อนใหญ่และให้ความสำคัญอย่างถึงที่สุด

ผู้เฒ่าหลุดหัวเราะพรืด “หากหม่าขู่เสวียนถูกคนวัยเดียวกันที่เครื่องปั้นแห่งชะตาชีวิตถูกทุบแตกฆ่าตาย ก็เท่ากับว่าช่วยลดการเดิมพันในช่วงหลังให้ข้าไปได้ ข้าควรจะขอบคุณเฉินผิงอันถึงจะถูก”

หลี่หลิ่วถอนหายใจ

นี่ก็คือคัมภีร์การทำการค้าของผู้เฒ่า

หยางเหล่าโถวหัวเราะ “อันที่จริงในอดีตเจ้าลัทธิเต๋าผู้นั้นเคยได้บอกกล่าวความจริงที่เป็นเรื่องใหญ่อยู่เหมือนกัน เพียงแต่ไม่รู้ว่าเฉินผิงอันคิดจนเข้าใจกระจ่างหรือยัง ยกตัวอย่างเช่นคนที่ทำเรื่องดี ไม่แน่เสมอไปว่าจะเป็นคนดี คนที่ทำเรื่องเลวร้ายก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะเป็นคนเลว”

หยางเหล่าโถวเงยหน้ามองท้องฟ้า “เจ้ารู้หรือไม่ว่าเหตุใดลัทธิพุทธถึงดูเหมือนไม่สนใจการดำรงอยู่หรือทิศทางการดำเนินไปของถ้ำสวรรค์หลีจูเลย?”

หลี่หลิ่วใช้ความเงียบเป็นคำตอบ

หยางเหล่าโถวถามเองตอบเองว่า “สมมติว่ายุคเสื่อมแห่งธรรมะมาถึง เจ้าคิดว่าสามลัทธิร้อยสำนัก ใครจะมีสภาพอนาถที่สุด?”

หลี่หลิ่วกล่าว “ลัทธิเต๋า หากไม่มีเส้นทางของการบินทะยาน แล้วก็ไม่มีปราณวิญญาณ วิธีการฝึกตนบนโลกก็ล้วนไม่มีค่าพอให้พูดถึง สภาพการณ์ของลัทธิเต๋าจะยากลำบากมากที่สุด ความสงบคล้อยไปตามธรรมชาติของมหามรรคาอันยาวไกลก็อาจจะกลายมาเป็นการคล้อยตามธรรมชาติที่ผู้คนไม่ทำอะไรเลยสักอย่าง สำหรับลัทธิเต๋าแล้ว มีความเป็นไปได้อย่างถึงที่สุดว่าจะกลายมาเป็นการแบ่งแยกทุกอย่างให้เป็นสองเช่นฟ้าและดิน คนและเทพอย่างที่เคยเกิดขึ้นในอดีตอีกครั้ง หันกลับมามองลัทธิขงจื๊อและลัทธิพุทธ กลับยังคงสามารถสืบทอดวิชาความรู้ต่อไปได้เป็นพันเป็นหมื่นปี ก็แค่ว่าแสงสว่างแห่งการสืบทอดเทียบกับในอดีตไม่ได้ก็เท่านั้น”

หยางเหล่าโถวพยักหน้ารับ “ดังนั้นเต๋าเหล่าต้า (เหล่าต้าหมายถึงคนโต ในที่นี้ก็คือลูกศิษย์ใหญ่ เต๋าเหล่าเอ๋อร์คือลูกศิษย์คนรอง) ถึงได้ร้อนใจ เต๋าเหล่าซาน (ศิษย์คนที่สาม) ถึงได้มาเป็นผู้ปกป้องมรรคาให้กับศิษย์พี่ใหญ่ด้วยตัวเอง เดินทางมาเยือนถ้ำสวรรค์หลีจูรอบหนึ่ง รับบทเป็นหมอดูเพื่อคอยจับตามองฉีจิ้งชุนไม่ให้คลาดสายตา”

หลี่หลิ่วถาม “เหตุใดท่านฉีถึงได้ไม่ใช้ปิ่นที่อาจารย์ของเขามอบให้?”

หยางเหล่าโถวกล่าว “นั่นถือเป็นของสำคัญของเจ้าอารามผู้เฒ่าจมูกโค แน่นอนว่าซิ่วไฉเฒ่าหวังดี แรกเริ่มแม้แต่ข้าก็ยังมองประวัติความเป็นมาของปิ่นชิ้นนั้นไม่ออก น่าจะเป็นเพราะแรกเริ่มฉีจิ้งชุนเองก็ไม่สังเกตเห็น ภายหลังฉีจิ้งชุนใช้กำลังของตัวเองแบกรับทัณฑ์สวรรค์ ปิ่นชิ้นนั้นถึงได้เผยความประหลาดออกมาเล็กน้อย แน่นอนว่าเจ้านักพรตจมูกวัวก็มีความคิดอยากจะทำให้บรรพจารย์เต๋าสะอิดสะเอียน น่าเสียดายที่ฉีจิ้งชุนไม่ยินดีเปลี่ยนจากกระดานหมากอันหนึ่งไปสู่กระดานหมากอีกอันหนึ่ง ตายก็คือตาย จึงเท่ากับว่ากระชากต้นตอเส้นสายทั้งหมดทิ้งไปโดยตรง”

สีหน้าของหยางเหล่าโถวเผยอารมณ์หวนระลึกถึง “ปีนั้นก็เป็นคนประเภทนี้ที่ทำให้ฟ้าดินของพวกเราพลิกคว่ำคะมำหงาย”

ผู้เฒ่าพูดกลั้วหัวเราะ “อย่าได้รู้สึกว่าวิถีทางโลกทุกวันนี้เละเทะไม่เป็นท่า อันที่จริงเมื่อหายนะใหญ่มาถึงอย่างแท้จริง ก็ยังจะมีคนประเภทนี้อีกมากมายหยัดยืนขึ้นมา นี่ก็คือคุณความชอบจากการอบรมสั่งสอนของลัทธิขงจื๊อ คนที่ชอบพูดว่าชาวบ้านโง่เขลา คือใคร? คือคนบนภูเขา ต่อมาก็คือบัณฑิต ในความเป็นจริงแล้ว ทำดีแต่กลับไม่รู้ว่าเป็นความดี ทำชั่วแต่กลับรู้ตัวว่าทำชั่ว นี่ต่างหากถึงจะเป็นจุดที่ร้ายกาจของลัทธิขงจื๊อ บุตรชายหญิงเลี้ยงดูพ่อแม่แก่ชรา พ่อแม่อบรมสั่งสอนบุตร จักรพรรดิขุนนาง อาจารย์ลูกศิษย์ ญาติสนิทมิตรสหาย เพื่อนบ้านใกล้เคียง วิถีทางโลกของลัทธิขงจื๊อก็เหมือนกับการเผาเครื่องปั้น ความรู้แทรกซึมไปตามฟ้าดิน มีความเหนียวแน่นมากที่สุด แม้ว่าเครื่องกระเบื้องจะแตกได้ง่าย แต่คุณสมบัติเดิมของดินกลับไม่เคยขาดหายไปไหน”

ผู้เฒ่าคิดแล้วก็กล่าวว่า “ก่อนหน้านี้เจ้าลูกกระต่ายหลี่ไหวส่งตำราส่วนหนึ่งมาที่ร้าน ข้าเปิดเจอประโยคหนึ่งในนั้นบอกว่า ‘ไอชื้นเย็นเยียบแผ่สู่พื้นผิวขุนเขา ต้นไม้ใบหญ้าหยัดตระหง่านกล้าแกร่ง’ เป็นอย่างไร? มีความหมายยิ่งใหญ่มากเลยใช่ไหม? เหตุใดคนอย่างหม่าหลันฮวาแห่งตรอกซิ่งฮวาที่มีจิตใจต่ำช้าถึงได้ห้ามปรามไม่ให้บุตรชายและสะใภ้ฆ่าคนชิงทรัพย์? นี่ก็คือนิสัยคนที่ซับซ้อน คือกฎเกณฑ์ที่อยู่นอกหน้ากระดาษของลัทธิขงจื๊อที่กำลังพันธนาการใจคน หลักการเหตุผลมากมาย อันที่จริงได้อยู่ในใจของคนในใต้หล้าไพศาลมานานแล้ว”

หลี่หลิ่วถามอย่างประหลาดใจ “เวลาหกสิบปีที่อาจารย์ฉีอยู่ในถ้ำสวรรค์หลีจู เขากำลังศึกษาความรู้เรื่องอะไรอยู่กันแน่?”

หยางเหล่าโถวกล่าว “แน่นอนว่าย่อมศึกษาความรู้ทั้งของสามลัทธิและร้อยสำนัก เรื่องการอ่านหนังสือของฉีจิ้งชุนนั้น ได้รับคำชื่นชมว่า ‘มองปราดเดียวเห็นทั้งหมด’ แต่โดยส่วนตัวแล้วเขาให้ความสนใจกับความรู้สามด้านมากเป็นพิเศษ นั่นคือการคิดคำนวณ เส้นสายเหตุการณ์และกฎหมาย”

หลี่หลิ่วถอนหายใจ

เป็นบัณฑิตคนหนึ่ง เหตุใดต้องใช้ชีวิตให้ลำบากเช่นนี้?

หยางเหล่าโถวหยิบเอาเส้นยาสูบออกมาหนึ่งหยิบมือ

หลี่หลิ่วเห็นภาพนี้แล้วก็ยิ้มอย่างเข้าใจ

น่าจะเป็นหลี่ไหวน้องชายของนางที่มอบมันให้กับผู้เฒ่า

เหตุผลนั้นง่ายดายมาก เพราะมองดูก็รู้แล้วว่าเส้นยาสูบพวกนั้นราคาถูก

หลังจากพูดคุยกันได้พักหนึ่ง

หลี่หลิ่วก็ลุกขึ้นยืน ร่างวูบหายไป นางเปลี่ยนใจตรงไปที่ภูเขาเสินซิ่วก่อน แล้วค่อยไปภูเขาลั่วพั่ว

……

หน้าผาภูเขาเสินซิ่ว ตั้งแต่บนจรดล่างมีตัวอักษรที่ใหญ่มากสี่ตัวสลักไว้ว่า ‘สวรรค์สร้างเสินซิ่ว’

สตรีสวมชุดสีเขียวมัดผมหางม้าคนหนึ่งนั่งอยู่บนขีดขวางขีดแรกของอักษร ‘สวรรค์’ (หรืออักษรตัวเทียน 天) เหมือนนั่งอยู่บนระเบียงของสวรรค์ ก้มหน้าหลุบตาลงต่ำมองโลกมนุษย์ที่อยู่บนพื้น

นางกินขนมช้าๆ

หลี่หลิ่วมาปรากฏตัวอยู่ข้างกายนางแล้ว แต่หร่วนซิ่วก็ไม่ได้หันหน้ามามอง

หลี่หลิ่วนั่งลงบนพื้น ทอดสายตามองไปไกล โยนของสองชิ้นที่อยู่ในมือออกไปอย่างไม่สนใจ

หร่วนซิ่วรับเอาไว้ แล้วเก็บผ้าเช็ดหน้าที่ห่อขนมลงไป

หลี่หลิ่วเอ่ยว่า “ถ้ำสวรรค์หนึ่งแห่ง ชื่อว่าถ้ำสวรรค์นาข้าว พื้นที่มงคลหนึ่งแห่ง ชื่อว่าพื้นที่มงคลพยับหมอก เมื่อเทียบกับถ้ำสวรรค์ใหญ่สิบแห่งและถ้ำสวรรค์เล็กสามสิบหกแห่งแล้ว นับว่าด้อยกว่า แต่พื้นที่มงคลกลับเป็นพื้นที่มงคลระดับกลางสำเร็จรูป ไม่ดีไม่เลว ทุ่มเงินสักหน่อยก็มีหวังว่าจะเลื่อนขั้นเป็นพื้นที่มงคลระดับสูง เพียงแต่ว่าในพื้นที่มงคลแห่งนี้ไม่มีคน มีเพียงภูตดอกไม้ใบหญ้า ภูตแห่งภูเขาหนองบึงเท่านั้น เพราะตาเฒ่าไม่ชอบคบค้าสมาคมกับใคร เจ้าเองก็น่าจะรู้ดี ตามคำสัญญา ในอนาคตตาเฒ่าจะให้เจ้าทำเรื่องสองเรื่อง จากนั้นก็อยู่ที่อารมณ์ของเจ้าแล้วว่าจะตัดสินใจทำหรือไม่ทำ จะทำอย่างไร”

หร่วนซิ่วแบมือ ก้มหน้าลงมอง

แผ่นหยกชิ้นหนึ่ง สลักคำว่า ‘มิใช่มังกรเขียวตรวจตราน้ำ พื้นดินกลายเป็นร่องน้ำกลายเป็นนา’ คือถ้ำสวรรค์นาข้าว มีอีกชื่อหนึ่งว่าถ้ำสวรรค์ต้นกล้าเขียว

ตราประทับหนึ่งชิ้น ริมขอบสลักคำว่า ‘กาลเวลาโลกมนุษย์เร่งรัด พยับหมอกมากนักที่แห่งนี้’ คือพื้นที่มงคลพยับหมอก

—-