“ปุก!”

หลัวซิวเหาะไปด้านหน้า หอกยุทธ์มังกรดำแทงออกไป ปลายหอกรูปมังกรแทงเข้าไปที่ศีรษะของมัน

เศษจิตสำนึกของหงเทียนหนีออกไปไกล ศีรษะที่แตกกระจายนั้นรวมตัวขึ้นใหม่อย่างรวดเร็ว ตะโกนขู่ด้วยความโกรธ “เจ้าอย่าบังคับข้า!”

“เจ้าเร่รอนอยู่นับหมื่นนับพันปี กลัวตายเสียยิ่งกว่าข้า เจ้าคิดหรือว่าจะสามารถขู่ข้าได้?” หลัวซิวไม่ได้สนใจแต่อย่างใด ครอบครองความได้เปรียบในเวลานี้

แม้แต่การทำลายตนเองยังไม่สามารถข่มขู่อีกฝ่ายได้ สิ่งนี้ทำให้เศษจิตสำนึกของหงเทียนรู้สึกกังวลใจและตื่นตระหนกขึ้นแล้วมาจริง ๆ แล้ว

“เพียงแค่เจ้ายอมหยุดมือ พวกเราก็สามารถคุยกันดี ๆ ได้ ข้ายอมที่จะชดเชยบางอย่างให้” เป็นถึงผู้แข็งแกร่งราชาเทพผู้สูงส่งในสมัยโบราณ ในเวลานี้กลับต้องเอ่ยปากทำข้อตกลง เห็นได้ชัดว่าหงเทียนไม่อยากที่จะสลายกลายเป็นฝุ่นควันจริง ๆ

หลัวซิวไม่ได้ตามโจมตีต่อ เขาก็มีความกังวลเรื่องที่อีกฝ่ายจะทำลายตนเองอยู่บาง ถึงแม้ว่าร่างแยกนี้จะไม่กลัวตาย แต่หากสมบัติทั้งหมดต้องถูกทิ้งเอาไว้ที่นี่ วันหลังหากคิดจะมาที่อนัตตาไม่สิ้นเพื่อตามหามันอีก ดูเหมือนว่าจะเป็นไปไม่ได้

“หอกรบของข้ายังไม่ได้มีจิตภัณฑ์ หากเจ้ายินยอมที่จะถูกข้าผนึกให้เป็นจิตภัณฑ์ เรื่องที่เจ้าจงใจยึดร่างข้าจะถือว่าสิ้นสุดเท่านี้” หลัวซิวเอ่ยปากพูดเงื่อนไขของตนเอง

“ให้ข้าเป็นจิตภัณฑ์? เจ้าเลิกคิดไปได้เลย!” เศษจิตสำนึกของหงเทียนคำราม

เมื่อใดที่กลายเป็นจิตภัณฑ์ ตลอดชีวิตก็จะต้องถูกคนบังคับ เงื่อนไขเช่นนี้กับความหยิ่งผยองของราชาเทพจะตอบรับได้อย่างไร?

ในความเป็นจริงแล้ว ด้วยสถานะของจิตภัณฑ์ถือเป็นการเกิดใหม่ เศษจิตสำนึกของหงเทียนก็ใช่ว่าจะไม่เคยคิดเกี่ยวกับมันมาก่อน เขาเคยทดลองใช้ร่างของเศษจิตสำนึกเจ้าเป็นเจ้าตำหนักจื่อเซียว แต่ตำหนักจื่อเซียวแต่เดิมได้มีจิตภัณฑ์แล้ว เพราะได้รับบาดเจ็บและเข้าสู่การหลับใหล ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถกลายเป็นจิตภัณฑ์ของตำหนักจื่อเซียวได้

อีกทั้งต่อให้เขาสามารถสืบทอดกลายเป็นจิตภัณฑ์ แต่ก็จะไม่ยอมกลายเป็นจิตภัณฑ์ของอาวุธใดสุ่มสี่สุ่มห้าเป็นแน่ เพราะว่าการเติบโตของจิตภัณฑ์นั้น จะถูกจำกัดด้วยอาวุธ

“เช่นนั้นก็ไม่มีสิ่งใดต้องพูดอีก” หลัวซิวก้าวเข้ามาด้านหน้าก้าวใหญ่ เตรียมที่จะโจมตีต่อ

“เจ้าอย่าให้มันเกินไป ให้ข้ากลายเป็นจิตภัณฑ์ของเจ้านั่นเป็นไปไม่ได้ แต่ข้าสามารถมอบตำหนักจื่อเซียวให้เจ้าได้”

“เป็นเพียงแค่สมบัติไม่สมประกอบของราชาเทพชิ้นหนึ่งเท่านั้น ด้วยผลการฝึกตนของข้าก็ยังยากที่จะบังคับได้ จะเอาไปทำสิ่งใด?”

เพลิงอัคคีสีแดงเข้มพันรอบตัวหลัวซิว ราวกับเทพมารเพลิงอัคคี ก้มมองเศษจิตสำนึกของหงเทียน พูดด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น “จะกลายเป็นจิตภัณฑ์ของข้า หรือไม่ก็ตายไปพร้อมกับข้า เจ้าไม่มีตัวเลือกที่สาม”

“เจ้า……”

เศษจิตสำนึกของหงเทียนสีหน้าหม่นลงถึงขีดสุด เขาคาดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะโหดร้ายได้ถึงเพียงนี้ ไม่ได้มีทางเลือกที่สามให้เขาเลยด้วยซ้ำ

กลายเป็นจิตภัณฑ์ ไม่ใช่สิ่งที่เขาปรารถนา แต่ให้ตายไปพร้อมกับอีกฝ่าย เช่นนั้นที่เขาเร่ร่อนอยู่ที่นี่นานนับหมื่นนับพันปีจะไปมีความหมายอะไร?

หลัวซิวมองออกถึงความลังเลของเศษจิตสำนึกของหงเทียน นัยน์ตาก็พลันเป็นประกายขึ้นมา “หากเจ้ากลายเป็นจิตภัณฑ์ของข้า เมื่อข้าฝึกตนถึงแดนหนึ่งแล้ว เจ้าจะได้เติบโตไปพร้อมกับข้า ชนะก็ชนะด้วยกัน แพ้ก็แพ้ด้วยกัน”

“เฮอะ เจ้าจะไปรู้อะไร? หอกรบในมือเจ้าก็เป็นเพียงแค่ของขลังพรสวรรค์เท่านั้น รอจนเจ้าฝึกตนถึงแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์ก็จะทิ้งมันไม่ได้ใช้อีก หากข้ากลายเป็นจิตภัณฑ์ของมัน จะเอาอนาคตจากที่ใดมาพูด? ทั้งชีวิตถูกควบคุมด้วยของขลังพรสวรรค์ชิ้นหนึ่งและรับใช้เจ้ายุทธจักรผู้อ่อนแออย่างนั้นหรือ?” เศษจิตสำนึกของหงเทียนพูดเสียงเย็น

เป็นถึงผู้แข็งแกร่งระดับราชาเทพ ของทุกอย่างที่เขารู้ อีกทั้งวิสัยทัศน์และการหยั่งรู้นั้นมีมากเกินกว่าจะเทียบกับหลัวซิวได้

“ใครบอกว่าหอกรบของข้าเป็นเพียงของขลังพรสวรรค์? ภายในหอกยุทธ์มังกรดำมีผนึกเก้าชั้น ในวันนี้ยังไม่ได้คลายผนึกอย่างสมบูรณ์ ก็ยังมีพลังอำนาจที่แข็งแกร่งไม่เป็นรองสมบัติวิเศษ” หลัวซิวเอ่ย หากสามารถเอาเศษจิตสำนึกของราชาเทพผู้นี้ผนึกเป็นจิตภัณฑ์ได้ ย่อมต้องเป็นจบสุดที่ดีที่สุด สามารถทำให้พลังของเขาเพิ่มขึ้นมหาศาล