มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 926
“เจ้าบอกว่าหอกรบของเจ้ามีผนึกพรสวรรค์?” เศษจิตสำนึกของหงเทียนได้ยินคำพูดนี้ สีหน้าก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย

สิ่งที่เรียกว่าผนึกพรสวรรค์ ก็คือผนึกธรรมชาติที่แผงอยู่ภายในสมบัติวิเศษพรสวรรค์

ตามคำพูดของหงเทียน สมบัติที่ครอบครองผนึกพรสวรรค์ มีศักยภาพในการเติบโตอย่างมาก

อย่างเช่นของขลังพรสวรรค์ชิ้นหนึ่งที่มีผนึกธรรมชาติ ตามการคลายของผนึกแต่ละขั้น สามารถกลั่นแปรให้เป็นสมบัติวิเศษพรสวรรค์ได้ จากนั้นบางทีอาจจะยังสามารถกลั่นต่อไปเพื่อเป็นอาวุธเทพพรสวรรค์ภายใต้การควบคุมของเทพมาร ยังสามารถเติมโตไปได้ถึงสิ่งล้ำค่าพรสวรรค์ ต่างก็มีขีดของความเป็นไปได้อยู่

หลัวซิวเปิดเผยหอกรบในมือ แพร่ขยายออร่าอันแข็งแกร่งที่เทียบเท่าสมบัติวิเศษ

“หืม? เป็นสมบัติวิเศษพรสวรรค์ชั้นล่างจริง ๆ ถึงได้มีออร่า……” เศษจิตสำนึกของหงเทียนเกิดความลังเลขึ้น กลายเป็นจิตภัณฑ์ถึงอย่างไรก็ยังสามารถมีชีวิตอยู่ หากว่าหอกรบเล่มนี้มีพลังงานมหาศาลเช่นนั้นจริง ๆ มันจะต้องมีวันหนึ่งบางทีอาจจะมีโอกาสได้ฟื้นฟูพลังต่อสู้ขั้นสูงอย่างเมื่อวันก่อน

ต่อให้ความเป็นไปได้จะมีต่ำมาก แต่มันก็ย่อมดีว่าสลายกลายเป็นหมอกควันไปอย่างนี้

ถ้าเป็นตอนที่เขาเพิ่งจะกลายเป็นเศษจิตสำนึกอันบอบบางนั้น เขายินยอมให้วิญญาณสลายไปเสียยังดีกว่ายอมไปเป็นจิตภัณฑ์ของผู้อื่น

แต่ว่าเวลานับหมื่นนับพันปีที่ผ่านมานั้น เขาต่างรอคอยแค่เพียงอากาศที่จะได้เกิดใหม่ เวลายิ่งยาวนานเท่าใด เขาก็ยิ่งกลัวความตายมากขึ้นเท่านั้น ไม่อยากให้การรอคอยนับหมื่นนับพันปีสูญเปล่าไปแบบนี้

“ได้ ข้ารับปากเจ้า”

ท่ามกลางตัวเลือกแห่งความเป็นความตาย ราชาเทพหงเทียนท้ายที่สุดก็เลือกที่จะปล่อยวางความหยิ่งในศักดิ์ศรีของราชาเทพผู้แข็งแกร่ง เลือกที่จะกลายเป็นจิตภัณฑ์เพื่อจะได้มีชีวิตอยู่ต่อไป

หลัวซิวเห็นว่าเขารับปากแล้ว แต่กลับไม่ได้คลายการป้องกันลง หอกยุทธ์มังกรดำถูกเขายกขึ้นมา กลายเป็นรูปร่างมังกรนิล อ้าปากกว้างพุ่งเข้าไปกลืนกินเศษจิตสำนึกของหงเทียน

หากอีกฝ่ายยินยอมพร้อมใจที่จะกลายเป็นจิตภัณฑ์จริง ๆ ก็จะยินยอมให้มังกรนิลกลืนกินแต่โดยดี จากนั้นจะผสานรวมเข้ากับหอกยุทธ์มังกรดำ เศษจิตสำนึกเกิดใหม่ในฐานะจิตภัณฑ์ ตลอดทั้งชาติภพไม่สามารถหลุดพ้นจากสถานะจิตภัณฑ์ของหอกรบได้

“ฮ่า ๆ คาดไม่ถึงจริง ๆ ข้าหงเทียนเป็นถึงราชาเทพผู้สูงส่ง แต่กลับต้องมามีจุดจบที่ต่ำต้อยเช่นนี้”

หงเทียนหัวเราะออกมาเสียงดัง หัวเราะให้กับความเศร้าโศกและเปล่าเปลี่ยว หากมีโอกาสเลือก เขามีหรือที่จะยินยอมกลายเป็นจิตภัณฑ์ของมหายุทธ์ตัวเล็ก ๆ คนหนึ่ง?

เขาไม่ได้ขัดขืน ปล่อยให้หอกยุทธ์มังกรดำกลืนกินเขา เศษจิตสำนึกกลายเป็นลำแสงสีม่วง ผนึกเข้ากลางหอกรบ ค่อย ๆ เริ่มผสานเข้ากับกฎความตายที่แฝงอยู่ในหอกรบ

“เจ้าหนู เจ้านามว่าอย่างไร?” เสียงของหงเทียนดังออกมาจากกลางหอกรบ

หลัวซิวยกมือขึ้นเรียก มังกรนิลแปรเปลี่ยนเป็นหอกรบและทิ้งตัวลงในมือเขา คิ้วของเขาเลิกขึ้นเล็กน้อย “ในเมื่อเจ้าเลือกที่จะเป็นจิตภัณฑ์ ความจริงควรเรียกข้าว่านายท่านมิใช่หรือ?”

“ต้องการให้ข้าเรียกเจ้าว่านายท่าน? นอกเสียจากในวันข้างหน้าเจ้าจะสามารถฝึกตนถึงแดนราชาเทพได้ถึงจะมีคุณสมบัติเพียงพอ!” หงเทียนพูดเสียงเย็นชา

เศษจิตสำนึกของหงเทียนหลอมรวมเข้ากับกฎที่อยู่ในหอกรบอย่างต่อเนื่อง หลัวซิวค้นพบด้วยความประหลาดใจว่า ท่ามกลางกฎความตายที่แฝงอยู่ภายในหอกรบ กลับมีออร่าความลึกลับของกฎปริภูมิดั้งเดิมปรากฏขึ้นมาอย่างเลือนราง

“ในช่วงเวลาที่ข้ายังอยู่ในจุดสูงสุดนั้นเคยฝึกตนกฎปริภูมิดั้งเดิมถึงแดนสำเร็จน้อยแดน ถึงแม้จะเหลือเพียงแค่เศษจิตสำนึกบาง ๆ เมื่อกลายเป็นจิตภัณฑ์ของหอกรบเล่มนี้ของเจ้า ก็ถือว่าครั้งนี้ยกผลประโยชน์ให้กับเจ้า”

เศษจิตสำนึกของหงเทียนหากว่ากลายเป็นจิตภัณฑ์อย่างสมบูรณ์ หอกยุทธ์มังกรดำก็เหมือนกับการลอกคราบครั้งหนึ่ง แฝงไปด้วยพลังแห่งกฎชั้นสองทั้งสองชนิดคือความตายและปริภูมิ

ห้วงความคิดของหลัวซิวกลับเข้าสู่ร่างต้น เงยหน้าขึ้นมองไปยังสี่ทิศ ภายในตำหนักจื่อเซียวมีปราณม่วงที่เข้มข้นแผ่กระจายไปทั่ว เทพมารอัสนีและเห้อหมิงภูตมรณะทั้งสอง ทำหน้าที่เป็นบ่าวผู้จงรักษ์ภักดีคอยคุ้มกันอยู่ข้างกายเขา

“ตำหนักจื่อเซียวแห่งนี้จะเก็บไปอย่างไร?” หลัวซิวเอ่ยถามหงเทียน

“ข้ากลายเป็นจิตภัณฑ์ของเจ้า นักยุทธ์เทพที่เป็นรูปธรรมของข้าก็เป็นของเจ้าด้วย” น้ำเสียงของหงเทียนมีความไม่พอใจเล็กน้อย แต่ก็ยังเอาวิชาชุดหนึ่งส่งต่อไปยังตัวหยั่งรู้ของเขา