ตอนที่ 945 เกาะโดดเดี่ยวกลางมหาสมุทร

คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด

ท่ามกลางผืนน้ำในเวลานี้ สตรีนางหนึ่งกำลังเกาะท่อนไม้ไว้อย่างแน่น ใบหน้าของนางก็ซีดเซียวและลมหายใจอ่อนแอลงอย่างมาก

สภาพแวดล้อมรอบตัวก็มืดสนิทและไม่อาจมองเห็นสิ่งใดได้ เพราะเหตุนั้น นางจึงทำได้เพียงส่งเสียงร้องขอความช่วยเหลือออกไปด้วยหวังว่าจะมีสหายบางคนได้ยินและเข้ามาช่วยชีวิตตน

ภายในคฤหาสน์เฟิงหัว เสียงของสตรีนางนั้นชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ และเป็นเสียงที่ฟังดูคุ้นหูสำหรับฉินอวี้โม่และสหาย

“ดูเหมือนว่าเสียงนี้จะเป็นเสียงของศิษย์นิกายหงส์แดงที่ยืนอยู่เคียงข้างท่านลุงฉินก่อนหน้านี้”

ฟู่อวิ๋นซิวไตร่ตรองครู่หนึ่งและนึกขึ้นได้ว่าเจ้าของเสียงร้องขอความช่วยเหลือนี้คือผู้ใด

เขาจดจำได้อย่างเลือนรางว่าก่อนหน้านี้มีศิษย์ของนิกายหงส์แดงนางหนึ่งที่หวาดกลัวจนไม่กล้าแยกตัวออกห่างไปจากฉินเทียน และดูเหมือนว่านางคือสตรีที่ฉินเทียนช่วยไว้ก่อนที่เรือจะล่ม

“นายหญิง ข้าจะไปเอง”

ฉินอวี้โม่ยังไม่กล่าวสิ่งใดทว่ามารยาพุ่งตัวออกไปก่อนแล้ว ภายในเวลาเพียงสั้น ๆ มันก็กลับมาอีกครั้งพร้อมด้วยสตรีที่อยู่ในสภาพอิดโรยนางหนึ่งในอ้อมแขน

แม้ข้างนอกจะมืดสนิท ทว่าก็ไม่มีสิ่งใดที่จะบดบังวิสัยทัศน์ของมารยาไปได้

“แค่ก…แค่ก…”

สตรีนางนั้นสำลักน้ำและไอออกมาเล็กน้อยก่อนใบหน้าที่ซีดเซียวจะดูสดใสมากขึ้น

เมื่อเงยหน้าขึ้นและพบว่าเป็นฉินอวี้โม่และสหายที่ช่วยตนไว้ แววตาของนางก็แสดงถึงความประหลาดใจเล็กน้อย

“ข้าจดจำพวกเจ้าได้ พวกเจ้าเป็นศิษย์ของนิกายหมื่นบุปผา”

ก่อนหน้านี้ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือก็ทำให้นางตรึงตาตรึงใจเป็นอย่างมาก เพราะถึงอย่างไรก็เป็นเรื่องยากที่ใครจะลืมเลือนบุคคลที่โดดเด่นสง่างามทั้งสองนี้ นอกจากนี้ ทั้งสองก็มีความสนิทสนมกับฉินเทียนอย่างเห็นได้ชัด นางกลัวว่าพวกเขาส่วนใหญ่จะพยายามแนบติดกับฉินเทียนตลอดเวลาเพื่อให้เขาคอยปกป้องคุ้มครอง เพราะเหตุนั้นนางจึงจดจำคนเหล่านี้ได้แม่น

“จะว่าไปแล้ว…พวกเจ้าได้พบกับท่านจอมยุทธ์ฉินเทียนรึไม่ ?”

นางพยายามลุกขึ้นอย่างกระตือรือร้นและเอ่ยถามด้วยสีหน้ากังวล

“ก่อนหน้านี้เกิดอะไรขึ้นรึ ?”

ฉินอวี้โม่บอกให้นางนั่งลงและเอ่ยถามด้วยแววตาจริงจัง ราวกับสัมผัสได้ว่านางทราบถึงสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้

อย่างไรก็ตาม นับว่าเป็นเรื่องแปลกจริง ๆ ที่ไม่เห็นวี่แววของผู้ใดและมีเพียงสตรีผู้นี้เท่านั้นที่ปรากฏตัวขึ้นมาลำพัง ฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ จึงหันมองหน้ากันเล็กน้อยขณะเริ่มเฝ้าระวังอยู่ในใจ

“ก่อนหน้านี้ตอนที่พวกเจ้าต่อสู้กับสิ่งมีชีวิตประหลาดกลางท้องฟ้า เรือของเราก็ถูกโจมตีจนพังพินาศ ตอนนั้นท่านจอมยุทธ์ฉินเทียนก็ช่วยชีวิตข้าไว้และคนอื่น ๆ ทั้งหมดจมลงไปในน้ำทะเล”

นางกล่าวสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ด้วยสีหน้าที่ยังหวาดผวาอย่างเห็นได้ชัด

ทุกคนบนเรือลำนั้นจมลงไปในน้ำทะเลและหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย รวมถึงบุรุษวัยกลางคนสองคนจากชายฝั่งทางเหนือที่ทำหน้าที่นำทางทุกคนก็หายตัวไปเช่นกัน

ศิษย์นิกายหงส์แดงผู้นี้ก็ได้รับการช่วยเหลือจากฉินเทียนและทำได้เพียงเกาะท่อนไม้ลอยคอกลางทะเลโดยที่ไร้หนทางอื่น

บนอากาศเต็มไปด้วยตัวตนที่น่าสะพรึงกลัวมากมายนับไม่ถ้วนและนางไม่กล้าเหาะขึ้นไปบนอากาศแม้แต่น้อย

อีกทั้งรอบตัวก็ยังเต็มไปด้วยหมอกหนาปกคลุม สตรีผู้โดดเดี่ยวจึงไม่ทราบเลยว่าควรหันไปในทิศทางใด

“แล้วหลังจากนั้นเกิดอะไรขึ้นล่ะ เหตุใดจึงเหลือเพียงเจ้าคนเดียว ?”

อวิ๋นซื่อเทียนอดเอ่ยถามด้วยความสงสัยไม่ได้ ในเมื่ออีกฝ่ายกล่าวว่าฉินเทียนช่วยชีวิตนางไว้ แล้วเหตุใดตอนนี้ถึงมีนางเหลือรอดเพียงคนเดียว ?

“หลังจากที่ท่านจอมยุทธ์ฉินเทียนช่วยข้าไว้ เขาก็ต้องการกลับไปตั้งหลักก่อน ทว่าไม่อาจทราบได้เลยว่าต้องมุ่งหน้าไปในทิศทางใด เราทำได้เพียงหาทางหลีกเลี่ยงไปจากสิ่งมีชีวิตที่น่าหวาดกลัวเหล่านั้นและเตร็ดเตร่ไปอย่างไร้ทิศทาง ในตอนแรกก็ยังไม่เกิดอะไรขึ้น ทว่าจู่ ๆ ก็มีคนกลุ่มหนึ่งปรากฏตัวเมื่อสองก้านธูปก่อน…”

เมื่อเล่ามาถึงตอนนี้ สีหน้าของนางก็เหยเกยิ่งกว่าเดิม

“คนพวกนั้นแข็งแกร่งมากและเปิดฉากโจมตีเราทันทีที่พบหน้า ดูเหมือนพวกเขาเหล่านั้นคุ้นชินกับหมอกรอบตัวและไม่ได้รับผลกระทบจากมันแม้แต่น้อย ข้านั้นอ่อนแอเกินกว่าจะช่วยอะไรได้ ท่านจอมยุทธ์ฉินเทียนจึงขัดขวางคนพวกนั้นไว้และบอกให้ข้าหาทางหนีออกไปโดยเร็วที่สุด ทว่าการที่ท่านจอมยุทธ์ฉินเทียนช่วยชีวิตข้าไว้ครั้งหนึ่งแล้ว ข้าก็ไม่มีทางทอดทิ้งเขาและหนีเอาตัวรอดไปเพียงลำพังได้ ข้าจึงอยู่รับมือกับคนเหล่านั้นไปพร้อมกับเขา…”

แม้นางจะหวาดกลัวและมีความแข็งแกร่งในระดับธรรมดา นางก็มิใช่คนเห็นแก่ตัวและเนรคุณ

เมื่อเผชิญกับวิกฤตร้ายแรง ฉินเทียนก็ต้องการที่จะช่วยถ่วงเวลาเพื่อให้นางหลบหนีเอาตัวรอดไปก่อน ทว่าแทนที่จะทำเช่นนั้น นางเลือกที่จะต่อสู้เคียงข้างฉินเทียนอย่างสุดความสามารถ

“เคราะห์ร้ายที่ฝ่ายตรงข้ามมีจำนวนมากเกินไป เราทั้งสองจึงตกเป็นฝ่ายที่เสียเปรียบมาก ยิ่งไปกว่านั้น ยิ่งอยู่ในหมอกหนานานเพียงใด พลังมายาในร่างของเราก็เหมือนจะอ่อนแอลงเรื่อย ๆ เมื่อเห็นว่าสถานการณ์ไม่สู้ดีนัก ท่านจอมยุทธ์ฉินเทียนจึงผลักข้าออกไปโดยตรง”

แววตาของสตรีตรงหน้าแสดงถึงความซาบซึ้งใจอย่างเต็มเปี่ยมและน้ำเสียงของนางก็เปี่ยมไปด้วยความจริงใจจนสามารถสัมผัสได้

“เดิมทีข้าก็อยากจะย้อนกลับไปช่วยเขา ทว่าเคราะห์ร้ายที่สภาพแวดล้อมรอบตัวมืดมิดเกินไปและไม่อาจสัมผัสถึงกลิ่นอายของคนเหล่านั้นได้เลย ข้าจึงหาทางกลับไปที่จุดเดิมไม่ได้ หลังจากนั้นก็มีคนกลุ่มหนึ่งปรากฏขึ้นมาอีก ข้าจึงดำลงไปในน้ำเพื่อหลบซ่อนตัว และท้ายที่สุดข้าก็พบท่อนไม้ก่อนลอยตัวมาจนถึงที่นี่”

ศิษย์นิกายหงส์แดงไม่คิดปิดบังสิ่งใดแม้แต่อย่างเดียว นางอธิบายทุกอย่างที่นางทราบกับฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ รวมถึงการประจันหน้าอย่างดุเดือดระหว่างพวกตนและกลุ่มคนลึกลับ

“ข้าขอร้องพวกเจ้าล่ะ…โปรดช่วยท่านจอมยุทธ์ฉินเทียนด้วยเถิด”

จู่ ๆ นางก็คุกเข่าลงและกล่าววิงวอนต่อทุกคน

แม้ไม่ทราบว่าตอนนี้ตนเองอยู่ที่ใด นางก็สัมผัสได้ว่าฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ มิใช่จอมยุทธ์ที่ธรรมดาเลย หากคนเหล่านี้ร่วมด้วยช่วยกัน เชื่อว่าจะต้องตามหาฉินเทียนจนพบได้อย่างแน่นอน

ศัตรูเหล่านั้นแข็งแกร่งยิ่งนักและเกรงว่าตอนนี้ฉินเทียนคงเพลี่ยงพล้ำต่อพวกเขาไปแล้ว ฉินเทียนช่วยชีวิตนางไว้ถึงสองครั้งทว่าตัวนางไม่ได้แข็งแกร่งมากพอ เพราะเหตุนั้นนางจึงทำได้เพียงหวังว่าคนอื่นที่มีฝีมือมากพอจะช่วยเขาได้สำเร็จ

“ลุกขึ้นเถอะ ไม่จำเป็นต้องกล่าวสิ่งใดอีก พวกเราจะหาทางช่วยท่านจอมยุทธ์ฉินเทียนอย่างแน่นอน”

ฉินอวี้โม่โบกมือเพื่อปล่อยพลังมายาของตนออกไปและยกตัวสตรีตรงหน้าให้ลุกขึ้นยืนตามเดิม

พวกนางเชื่อวาจาของสตรีผู้นี้มากถึงแปดในสิบส่วนและคิดว่าคงจะไม่มีถ้อยคำโกหกในวาจาของสตรีผู้นี้

ยิ่งไปกว่านั้น ฉินอวี้โม่และทุกคนสันนิษฐานไว้ก่อนแล้วว่าสถานการณ์ประหลาดที่เกิดขึ้นน่าจะเป็นฝีมือของคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง และสิ่งที่ได้ทราบตอนนี้ก็ช่วยยืนยันข้อสันนิษฐานดังกล่าวได้มากขึ้น

สิ่งที่เกิดขึ้นกับชายฝั่งทางเหนือเป็นแผนการสมคบคิดมาตั้งแต่ต้นและบางทีอาจจะต้องการล่อลวงให้ตัวแทนจากสามสำนักและเก้านิกายเดินทางมาที่นี่ แม้เป้าหมายของอีกฝ่ายยังไม่ชัดเจนนัก ทว่าหากคนจากสามสำนักและเก้านิกายเพลี่ยงพล้ำอยู่ที่นี่ มันก็จะมิใช่เรื่องดีสำหรับดินแดนมหาเทพอย่างแน่นอน

“เจ้าไปพักก่อนเถอะ พวกเราคาดการณ์กันไว้ว่าท่านจอมยุทธ์ฉินเทียนและคนอื่น ๆ น่าจะถูกจับตัวไปที่เกาะลึกลับนั่น หลังจากรุ่งสาง เราจะมุ่งหน้าไปที่เกาะแห่งนั้นและหาทางช่วยทุกคน”

ฉินอวี้โม่กล่าวก่อนขยิบตาส่งสัญญาณให้กับมารยาเพื่อให้มันพาสตรีผู้นี้ไปพักผ่อน

“ข้าคิดว่านางกำลังพูดความจริง”

หานโม่ฉือกล่าวขึ้นเบา ๆ และเชื่อว่าศิษย์ของนิกายหงส์แดงผู้นี้ไม่คิดโกหกหรือปิดบังข้อมูลใด

“กลุ่มคนที่ปรากฏตัวขึ้นมาอย่างกะทันหันคือใครกัน ?”

เซิ่งเซียวเอ่ยถามพลางขมวดคิ้วมุ่นและพยายามคาดเดาตัวตนของกลุ่มคนเหล่านั้น

“อาจจะเป็นพวกจอมยุทธ์ปีศาจ และเป็นไปได้ว่าจะเป็นคนของชายฝั่งทางเหนือที่ถูกพวกเขาควบคุมไว้เช่นกัน”

ฉินอวี้โม่ไตร่ตรองครู่หนึ่งก่อนกล่าวข้อสันนิษฐานของตนออกมา นางคิดว่าข้อสันนิษฐานเหล่านี้มีความเป็นไปได้สูงทีเดียว

จอมยุทธ์ปีศาจหายตัวไปเป็นเวลานานและเพิ่งปรากฏตัวในดินแดนเมื่อไม่นานมานี้ ทว่าถึงอย่างไรพวกเขาก็แทบไม่เคยก่อความวุ่นวายครั้งใหญ่ ยิ่งไปกว่านั้น คนของชายฝั่งทางเหนือก็คุ้นเคยกับพื้นที่บริเวณนี้เป็นอย่างมากและมักออกมาสำรวจมหาสมุทรเป็นประจำ เป็นไปได้มากว่าคนจากชายฝั่งทางเหนือจะถูกจอมยุทธ์ปีศาจควบคุมไว้และถูกส่งออกมาจับตัวพวกนาง

“แม่นางอวี้โม่หมายความว่าคนของชายฝั่งทางเหนือที่หายตัวไปกำลังถูกควบคุมโดยพลังบางอย่างงั้นรึ ?”

ฟู่อวิ๋นซิวใช้ความคิดเล็กน้อยและคล้อยตามว่าข้อสันนิษฐานของฉินอวี้โม่มีความเป็นไปได้มากทีเดียว ยิ่งไปกว่านั้น แผนการของจอมยุทธ์ปีศาจอาจเป็นการควบคุมทุกคนที่เดินทางมายังบริเวณเกาะลึกลับและใช้เป็นตัวหมากของพวกเขา

“จะเป็นเช่นนั้นจริงหรือไม่ เราจะได้ประจักษ์ในไม่ช้า อย่างไรก็ตาม หากคนเหล่านั้นถูกควบคุมไว้จริง มันก็คงจะเป็นปัญหาที่น่าปวดหัวไม่น้อย”

ประกายจิตสังหารปรากฏในแววตาของฉินอวี้โม่แวบหนึ่งและสีหน้ากลายเป็นจริงจังมากขึ้นทันที

หากคนเหล่านั้นถูกควบคุมโดยพลังลึกลับบางอย่างจริง มันก็มิใช่สิ่งที่ดีสำหรับพวกนาง นางเพียงหวังว่าพลังดังกล่าวจะไม่แข็งแกร่งจนเกินไป รวมถึงฉินเทียนและสหายคนอื่น ๆ จะยังไม่ตกอยู่ภายใต้อำนาจของการควบคุมนั้น หากเป็นเช่นนั้น ฝ่ายของนางก็ยังพอมีโอกาสเอาชนะได้