บทที่ 1368 เจ้าเหนือหัวคนใหม่

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

“วังมหาพันภพ**?!”**

ใบหน้าของเจ้าเมฆาม่วง เจ้าภูเขาเหลยยิงและเจ้าอินทรีทองเต็มไปด้วยความตกตะลึง พวกเขารู้ที่มาของป้ายนั้นดี

ยิ่งไปกว่านั้นยังรู้ว่าวังมหาพันภพเป็นตัวแทนของอะไร

วังมหาพันภพเป็นหนึ่งในขั้วอำนาจสูงสุดที่ทรงพลังที่สุดในมหาพันภพ ในสมัยโบราณพวกเขาคือตัวแทนของมหาพันภพที่เข้าโรมรันกับจักรวรรดิปีศาจต่างมิติ

แม้ว่าในปัจจุบันจะไม่ค่อยมีใครได้ยินข่าวของพวกเขา แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะหายไป พวกเขาหมอบต่ำราวกับอสูรร้ายในมุมมืดของมหาพันภพ…

ทว่าไม่มีใครสงสัยรากฐานนี้ แม้แต่ห้าเผ่าโบราณยังเกรงกลัวเมื่อเผชิญหน้ากับวังมหาพันภพ

แม้ว่าพวกเขาจะมีขั้วอำนาจอยู่เบื้องหลัง แต่ก็ไม่มีอะไรเทียบได้กับวังมหาพันภพ… ไม่แปลกใจเลยที่มู่เฉินไม่ได้วางกลุ่มสนับสนุนพวกเขาอยู่ในสายตา ด้วยวังยิ่งใหญ่สนับสนุนเขาก็ไม่มีใครกล้าแตะต้องเขาหรอก

ทว่าวังมหาพันภพมักจะเก็บงำประกาย ไม่ค่อยเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องในมหาพันภพ แต่ทำไมมู่เฉินถึงมีป้ายของวังยิ่งใหญ่นั้นได้?

ที่สำคัญที่สุดยังเป็นป้ายราชันสังหารปีศาจอีกด้วย!

มีข่าวลือว่ามีราชันสังหารปีศาจมีเพียงหนึ่งเดียวและป้ายสำคัญก็ไม่เคยทิ้งไว้ให้ใคร แล้วมู่เฉินไปเอาป้ายราชันสังหารปีศาจมาจากไหน?

เจ้าเมฆาม่วง เจ้าภูเขาเหลยยิงและเจ้าอินทรีทองแลกเปลี่ยนสายตากัน พวกเขามองเห็นความงุนงงในดวงตากันและกัน

“พวกข้าไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าจะมีราชันสังหารปีศาจคนใหม่แห่งวังมหาพันภพ” สายตาของเจ้าเมฆาม่วงวูบไหวขณะที่พูด

มู่เฉินตอบสบายอารมณ์ว่า “ตอนนี้ก็รู้แล้วนี่?”

ขณะที่พูดเขาก็ยิ้มมองไปที่ทั้งสาม “สงสัยว่าเป็นของปลอมเหรอ? งั้นไปรายงานพวกที่อยู่เบื้องหลังพวกเจ้าเลยสิ”

เมื่อเห็นว่ามู่เฉินไม่มีความกลัว หัวใจทั้งสามก็สั่นสะท้านแล้วดิ่งลง มู่เฉินน่าจะรู้ผลของการแสร้งทำเป็นราชันสังหารปีศาจแห่งวังมหาพันภพ หากเขาถูกตรวจสอบโดยวังมหาพันภพ จากนี้ไปเขาจะไม่มีช่วงเวลาที่ดีอีกเลย

ทว่าเขาก็ยังกล้าที่จะนำออกมา นั่นหมายความว่าเขาจะต้องไม่กลัวการสอบสวนของวังมหาพันภพ…

หรือว่าเจ้าหนุ่มนี่คือราชันสังหารปีศาจคนที่สองของวังมหาพันภพ? หากเป็นเช่นนั้นพวกเขาก็ได้แต่กลืนความเสียใจลงไปย่อยในท้องได้เท่านั้น เนื่องจากขั้วอำนาจที่อยู่เบื้องหลังพวกเขาไม่กล้าที่จะยั่วยุวังยิ่งใหญ่อย่างแน่นอน

เพียงแค่คิดใบหน้าของทั้งสามก็น่าเกลียดราวกับกินแมลงวันเข้าไป

มู่เฉินยิ้มเมื่อเห็นทั้งสามคนกล้ำกลืนความแค้น เหตุผลที่เขานำชื่อของวังมหาพันภพออกมาก็ชัดว่าต้องการข่มขู่ขั้วอำนาจที่อยู่เบื้องหลังทั้งสาม ในระดับหนึ่งเขาถือว่าแกล้งข่มขู่แต่ก็ทำโดยชอบธรรม เพราะจากการพูดคุยของเขากับทางวัง เขาไม่ได้มีอำนาจใดๆ ในฐานะราชันสังหารปีศาจแต่เขามีตำแหน่ง

หากจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนเหล่านั้นต้องการทำอะไรกับเขา พวกเขาก็ต้องคิดเกี่ยวกับวังมหาพันภพสักหน่อย

ขณะที่ทั้งสี่คนกำลังสนทนากัน ผู้คนในที่ราบเป่ยยู่ก็หายจากอาการตกตะลึงและเริ่มรู้ว่าป้ายสีทองนี้เป็นตัวแทนของอะไร

ดังนั้นเมื่อขั้วอำนาจน้อยใหญ่มองไปที่จอมยุทธ์ตำหนักมู่ ดวงตาก็ลุกโชนด้วยความอิจฉา

นั่นคือวังมหาพันภพ! ขั้วอำนาจยอดสุดที่ทรงพลังที่สุดในมหาพันภพ!

ไม่มีใครคิดว่าตำหนักมู่จะมียักษ์ใหญ่แบบนี้ยืนเบื้องหลัง ถ้าพวกเขารู้เรื่องนี้ละก็ ต่อให้เจ้าเมฆาม่วงให้ความกล้า พวกเขาก็ไม่กล้ายั่วยุตำหนักมู่หรอก

นอกจากนี้ด้วยการสนับสนุนที่ทรงพลังเช่นนี้พร้อมกับพรสวรรค์และไม่อาจหยั่งรู้ของประมุขมู่ สามารถจินตนาการได้ถึงอนาคตของตำหนักมู่ได้เลย

จอมยุทธ์ตำหนักมู่อึ้งไปกับสายตาเหล่านั้น เนื่องจากสถานการณ์นี้เกินความคาดหมายเช่นกัน

“ประมุขได้ป้ายราชันสังหารปีศาจจากวังมหาพันภพได้ยังไง?” พวกหลิ่วเทียนเต้าอดไม่ได้ที่จะถามออกมาด้วยความตื่นเต้น

พวกเขารู้ถึงผลของการแสร้งทำเป็นราชันสังหารปีศาจแห่งวังมหาพันภพ กลัวว่ามู่เฉินจะปลอมแปลงขึ้นมา หากเป็นเช่นนั้นก็จะดึงดูดปัญหาใหญ่ให้กับที่ตำหนักมู่แน่!

มั่นถัวหลัวส่ายหัว นางไม่รู้เรื่องนี้เช่นกัน

ขณะที่ทุกคนกำลังกระวนกระวาย หลิงซีก็ยิ้มบาง “นี่เป็นความจริงตอนนี้มู่เฉินเป็นราชาสังหารปีศาจคนที่สองของวังมหาพันภพ”

“ซี้ด!”

เมื่อได้ยินคำยืนยันจากหลิงซี หลิ่วเทียนเต้าและคนอื่นๆ ก็สูดอากาศเย็นเข้าปอดพร้อมกับความตื่นเต้นกระจายบนใบหน้า

เนื่องจากพวกเขารู้ดีว่าด้วยภูมิหลังดังกล่าวตำหนักมู่จะเติบโตแบบฉุดไม่อยู่ในอนาคต

ไม่ต้องพูดถึงเกี่ยวกับจักรวรรดิเหนือ แม้แต่ทั้งทวีปเทียนหลัวก็ไม่มีใครกล้าปลุกปั่นตำหนักมู่ของพวกเขา!

ที่ราบเป่ยยู่ตกอยู่ในความโกลาหล ภายใต้สายตาจ้องมองร้อนแรงโดยรอบ มู่เฉินก็มองไปที่เจ้าเมฆาม่วง เจ้าภูเขาเหลยยิงและเจ้าอินทรีทอง ก่อนจะชี้แผนที่บนท้องฟ้า “ตอนนี้มีใครคัดค้านเกี่ยวกับการแบ่งดินแดนหรือไม่”

หลังจากหยุดคิดชั่วครู่เขาก็พูดต่อว่า “แน่นอนว่าถ้ากลุ่มที่อยู่เบื้องหลังพวกเจ้ามีความคิดเห็นใดๆ ก็ให้มาพูดกัน”

ใบหน้าของเจ้าเมฆาม่วง เจ้าภูเขาเหลยยิงและเจ้าอินทรีทองกระตุก แต่กลับไร้เสียง ตำหนักมู่ครอบครองพื้นที่ครึ่งหนึ่งของจักรวรรดิเหนือ นี่เป็นการโจมตีอย่างมีนัยสำคัญ แต่พวกเขาจะทำอะไรได้?

มู่เฉินเอาชนะพวกเขาสามคนได้ แม้ว่าขั้วอำนาจที่อยู่เบื้องหลังพวกเขาจะทรงพลัง แต่จะมีพลังมากกว่าวังมหาพันภพได้หรือ?

พลังแข็งแกร่งที่สุด ไม่ว่าพวกเขาจะรู้สึกฝืนใจมากแค่ไหนก็ทำได้เพียงกัดฟันและทนกลืนลงไป

เมื่อทุกคนเห็นทั้งสามตกอยู่ในความเงียบงัน หัวใจทุกดวงก็สั่นสะท้านเพราะพวกเขารู้ว่าสถานการณ์ในจักรวรรดิเหนือจะเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงหลังจากวินาทีนี้

สถานการณ์ที่ไม่มีใครกล้าที่จะท้าทายผู้นำทั้งสามสิ้นสุดลง ตำหนักมู่กลายเป็นขั้วอำนาจใหญ่แห่งจักรวรรดิเหนือแท้จริง

เมื่อมู่เฉินเห็นว่าแต่ละคนกล้ำกลืนฝืนทนอย่างไร เขาก็พยักหน้าด้วยความพึงพอใจ “ในเมื่อเป็นเช่นนี้นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปดินแดนเหล่านั้นจะเป็นของตำหนักมู่ข้า”

ขณะที่พูดเขากวาดสายตาไปยังกลุ่มต่างในที่ราบเป่ยยู่ แต่ละคนก็ลดศีรษะลงไม่กล้ามองไปที่เจ้าเหนือหัวคนใหม่

“ขั้วอำนาจในดินแดนดังกล่าวห้ามเคลื่อนไหว หลังจากที่ตำหนักมู่ของข้าจัดการทุกอย่างเรียบร้อย พวกเจ้าจะถือว่าเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของตำหนักมู่”

เสียงของมู่เฉินสะท้อนออกไป ทำให้เกิดความปั่นป่วนอีกระลอก

เจ้าเมฆาม่วง เจ้าภูเขาเหลยยิงและเจ้าอินทรีทองใบหน้าไม่น่าดูอีกครั้ง มู่เฉินไม่เพียงแต่จะยึดครองเขตแดน ยังจะลากขั้วอำนาจใต้บัญชาพวกเขาไปด้วย

เทียบกับสีหน้าน่าเกลียดของทั้งสามผู้นำ กลุ่มเหล่านั้นไม่เพียงแต่ไม่ต่อต้าน กลับยังรู้สึกมีความสุขมากเสียอีก

ท้ายที่สุดไม่ว่าพวกเขาจะอยู่ที่ไหนก็ยังคงต้องส่งบรรณาการให้กับขั้วอำนาจที่อยู่ภายใต้ เมื่อเทียบกับผู้นำสามคนเก่า ตำหนักมู่มีศักยภาพมากกว่าอย่างชัดเจน ถ้าได้เข้าร่วมก็มีโอกาสยิ่งใหญ่กว่าในอดีต

การมีต้นไม้ใหญ่อยู่ข้างหลังสามารถป้องกันพวกเขาจากความหนาวเย็นได้และการมีวังมหาพันภพย่อมดีกว่าสำนักเมฆาม่วง ภูเขาเหลยยิงและคฤหาสน์อินทรีทองคำ!

พวกที่ไม่ได้อยู่ในขอบเขตของตำหนักมู่ก็ตกอยู่ในความเงียบ พากันมองไปที่คนที่เข้าร่วมด้วยความอิจฉา

วิหคสง่างามเกาะอยู่บนต้นไม้ที่ยอดเยี่ยม พวกเขาทั้งหมดหวังว่าจะได้มีที่พึ่งที่ดีขึ้น

มู่เฉินไม่ได้สนใจเกี่ยวกับทั้งสามคนอีกต่อไป เขามองไปรอบๆ คลี่ยิ้ม “งั้นวันนี้จบการประชุมกันดีไหม?”

เขาไม่ใช่ว่าไม่ต้องการจะครอบครองจักรวรรดิเหนือทั้งหมด แต่เขารู้ว่าตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาที่ดีที่สุด ขอบเขตที่ได้มาครึ่งหนึ่งตำหนักมู่ก็ต้องใช้เวลาพอสมควรในการย่อยแล้ว

นอกจากนี้หากความกระหายของเขามีมากเกินไป อาจทำให้ขั้วอำนาจที่อยู่เบื้องหลังสามคนอดเคลื่อนไหวไม่ได้ เวลานั้นต่อให้มีชื่อวังมหาพันภพ ตำหนักมู่ก็ยังคงอยู่ในตำแหน่งอันตราย

ความโกรธเกรี้ยวของจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนไม่ใช่เรื่องที่จะทนได้

ดังนั้นมู่เฉินจึงหยุดเรื่องนี้ให้สิ้นสุดลงชั่วคราว เมื่อไรที่เขาเข้าสู่ระดับเทียนจื้อจุนก็ไม่จำเป็นต้องกลัวขั้วอำนาจเหล่านั้น ดินแดนจักรวรรดิเหนือทั้งหมดจะตกอยู่ภายใต้การควบคุมของเขาโดยธรรมชาติ

เมื่อเห็นความเผด็จการของมู่เฉิน เจ้าเมฆาม่วง เจ้าภูเขาเหลยยิงและเจ้าอินทรีทองก็กลืนความโกรธลงไปและฝืนยิ้มออกมา “ในเมื่อประมูขมู่ชนะแล้ว ก็ช่วยกำจัดสิ่งเหล่านี้ให้พวกข้าด้วย”

พวกเขายังคงได้รับผลกระทบจากของเหลวสีดำ ความสามารถในการกัดกร่อนที่น่ากลัวทำให้คลื่นหลิงในร่างกายของพวกเขาตกอยู่ในสภาวะสับสนวุ่นวาย เป็นเรื่องยากมากที่จะกำจัดออก

มู่เฉินมองไปที่พวกเขาก็ยิ้ม “ไม่ต้องกังวลสิ่งนี้ไม่ฆ่าพวกเจ้าหรอก ด้วยพลังที่มีสักครึ่งปีก็น่าจะเพียงพอที่จะกำจัดออกไปได้เอง”

เห็นได้ชัดว่าเขาไม่มีเจตนาที่จะช่วยเหลือ ถึงยังไงมู่เฉินก็ไม่ชอบทั้งสามคน ถ้าไม่ใช่เพราะเขาระแวงขั้วอำนาจที่อยู่เบื้องหลังทั้งสาม เขาอาจจะฆ่าพวกเขาไปแล้วก็ได้

ดังนั้นแม้ว่าจะฆ่าไม่ได้ เขาก็ไม่ใส่ใจที่จะทรมานคนเหล่านี้สักเล็กน้อย

เมื่อทั้งสามคนเห็นสายตาล้อเลียนของมู่เฉิน พวกเขาก็รู้สึกเดือดดาลในใจ แต่พวกเขาก็ไม่กล้าที่จะหัวร้อน พวกเขาเค้นเสียงออกมาก่อนที่จะหันหลังกลับจากไป

“ไป!”

สามเสียงดังก้องในที่ราบเป่ยยู่ ขณะที่ออกไปอย่างรวดเร็วพร้อมกับแบกความพ่ายแพ้ไป

เมื่อขั้วอำนาจที่ยังคงอยู่ภายใต้สามสำนักเห็นสิ่งนี้ พวกเขาก็ทำได้เพียงลดศีรษะลงตามหลังออกไป ทว่าท่าทางของพวกเขาหดหู่ลงหลายส่วนเลยทีเดียว

มู่เฉินยืนอยู่บนท้องฟ้ามองลงไปบนที่ราบเป่ยยู่ นอกเหนือจากสมาชิกตำหนักมู่แล้ว ยังมีกลุ่มต่างๆ ที่อยู่ในดินแดนที่ถูกแบ่งใหม่ ซึ่งในอนาคตจะอยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของตำหนักมู่

ตอนนี้แต่ละกลุ่มรู้สึกร้อนๆ หนาวๆ เนื่องจากก่อนหน้านี้มีบางคนเคยพยายามขัดขวางตำหนักมู่ พวกเขากลัวว่ามู่เฉินจะคิดบัญชีแค้นเอา

มู่เฉินกวาดตามองก็รู้ว่าพวกเขารู้สึกไม่สบายใจ ดังนั้นเสียงนุ่มนวลก็สะท้อนออกมา “ข้าจะไม่ไล่บี้เรื่องในอดีต ตราบใดที่พวกเจ้ามีคุณูปการในอนาคตก็จะได้รับการปฏิบัติเช่นเดียวกับสมาชิกตำหนักมู่ แน่นอนว่าถ้าใครมีความคิดกบฏ การลงโทษของตำหนักมู่ก็หนักหนาสาหัสเช่นกัน”

เมื่อได้ยินคำพูดของมู่เฉิน ทุกคนต่างก็ชื่นชมยินดี เสียงความเคารพสะท้อนไปทั่วที่ราบเป่ยยู่

“เราจะปฏิบัติตามคำสั่งของท่านประมุข!”

มองฉากยิ่งใหญ่ตระการนี้ พวกหลิ่วเทียนเต้าก็รู้สึกโล่งใจมาก เนื่องจากพวกเขารู้ว่าหลังจากวันนี้ชื่อของตำหนักมู่จะดังเป็นพลุแตกไปทั่วทวีปเทียนหลัว…

ชื่อของมู่เฉินจะถูกจัดให้อยู่ในอันดับต้นๆ ของทวีปเทียนหลัว…

มั่นถัวหลัวเงยหน้าขึ้นมองร่างเงาอ่อนเยาว์ด้วยรอยยิ้ม

“เจ้าน้องชาย…ทำสำเร็จจริงๆ…”