บทที่ 1369 ชื่อเสียงของตำหนักมู่

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

การต่อสู้แย่งชิงอำนาจบนที่ราบเป่ยยู่

จบลงด้วยตำหนักมู่ครอบครองดินแดนเกือบครึ่งหนึ่ง ผลลัพธ์นี้กวาดคลื่นไปทั่วจักรวรรรดิเหนือทั้งหมด

ไม่มีใครมองแง่ดีเกี่ยวกับตำหนักมู่ในตอนแรก เนื่องจากพวกเขาทราบดีว่าผู้นำทั้งสามจะต้องรวมพลังกันหยุดขั้วอำนาจใหม่อย่างที่เคยเกิดขึ้นในอดีต

ดังนั้นทุกคนจึงรู้สึกว่าความทะเยอทะยานของตำหนักมู่ก็คงเหมือนกับสำนักรุ่นก่อนๆ ที่ถูกลบออกไปภายใต้ความโกรธเกรี้ยวของผู้นำทั้งสาม

ดังนั้นผลลัพธ์บนที่ราบเป่ยยู่ครั้งนี้ทำเอาทุกคนตกตะลึงไป

พวกเขาจินตนาการไม่ออกว่าประมุขตำหนักมู่ที่อายุน้อยจะมีพลังลึกล้ำและไร้เทียมทานเพียงใดถึงได้สามารถต่อกรด้วยตัวเอง ซ้ำยังเอาชนะจอมยุทธ์ทั้งสามที่สัมผัสกับระดับเทียนจื้อจุนแล้วได้

ต้องรู้ว่าพลังของประมุขตำหนักมู่เกือบจะบรรลุระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็มเท่านั้น…

ขณะที่ทุกคนตกตะลึง บางคนก็ดวงตาแดงฉานเพราะคิดว่าการกระทำของตำหนักมู่เป็นการแสวงหาความตาย ผู้นำทั้งสามต่างมีขั้วอำนาจสูงสุดหนุนหลังพวกเขา ซึ่งทั้งสามนับว่าเป็นเพียงหุ่นเชิดเท่านั้น

แต่ในไม่ช้าความคิดของพวกเขาก็ดับวูบเมื่อวังมหาพันภพถูกพูดออกมา ไม่มีใครกล้ารู้สึกอิจฉามู่เฉินอีกต่อไป

เนื่องจากพวกเขารู้ว่าวังมหาพันภพเป็นยักษ์ใหญ่ที่แม้แต่ขั้วอำนาจสูงสุดอื่นๆ ก็ต้องยอมถอยออกมาได้

ตอนนี้พวกเขาเข้าใจแจ่มแจ้งแล้วว่าตำหนักมู่ไม่ใช่ขั้วอำนาจที่ไม่มีรากฐาน พวกเขาไม่เพียงแต่มีประมุขหนุ่มที่ลึกล้ำและไม่อาจหยั่งรู้ แต่พวกเขายังมีขั้วอำนาจสุดยอดคอยหนุนหลังอีกด้วย

ไม่ว่าในแง่ของขุมกำลังหรือการหนุนหลัง ตำหนักมู่ก็แข็งแกร่งกว่าสามผู้นำหลายขุม!

เผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้แบบนี้ ไม่น่าแปลกใจว่าทำไมแม้แต่สำนักเมฆาม่วง ภูเขาเหลยยิงและคฤหาสน์อินทรีทองถึงพ่ายแพ้ยับเยินแม้จะร่วมมือกัน

ขณะนี้ทุกคนในจักรวรรดิเหนือรู้ว่าผู้นำของที่นี่ไม่ใช่ประมุขทั้งสามอีกต่อไป แต่เป็นตำหนักมู่ที่เพิ่งก่อตั้งได้เพียงสองปี…

“จักรวรรดิเหนือกำลังจะเปลี่ยนแปลง”

ขั้วอำนาจน้อยใหญ่ต่างพากันถอนหายใจและเริ่มหาเส้นสายสร้างความสัมพันธ์กับตำหนักมู่

ทุกคนบอกได้ว่าอิทธิพลของตำหนักมู่จะพุ่งทะยานจนไม่อาจหลีกเลี่ยงได้

 

ในฐานะหนึ่งในห้าจักรวรรดิของทวีปเทียนหลัว

การเปลี่ยนแปลงมีนัยสำคัญนี้ โดยธรรมชาติไม่สามารถหลีกเลี่ยงความสนใจของเจ้าเหนือหัวจักรวรรดิอื่นๆ ได้

ทวีปเทียนหลัวเป็นมหาทวีปที่มีพื้นที่และทรัพยากรมากมาย ดังนั้นจึงดึงดูดความสนใจของขั้วอำนาจจำนวนมากในมหาพันภพ ทว่าเนื่องจากคนที่จับจ้องมีมากไปกลับทำให้ไม่มีใครกล้าที่จะเคลื่อนไหว ดังนั้นจึงมีกฎสร้างขึ้นมา ห้ามไม่ให้จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนเข้ามายุ่งกับการแย่งชิงอำนาจของทวีปเทียนหลัว

แต่ถึงอย่างนั้นเจ้าเหนือหัวส่วนใหญ่ในจักรวรรดิอื่นๆ ล้วนมีขั้วอำนาจสูงสุดยืนอยู่ข้างหลัง

ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผู้นำจักรวรรดิอื่นๆ จะแอบเฝ้าดูเหตุการณ์ในจักรวรรดิเหนือ พวกเขามีความสุขมากที่ได้เห็นเหตุการณ์จลาจล เนื่องจากพวกเขาอาจได้รับประโยชน์จากมัน

ดังนั้นเมื่อพวกเขาพบรู้ว่าตำหนักมู่เอาชนะสามขั้วอำนาจที่ยืนยงมานานได้ พวกเขาก็มีความคิดที่จะเคลื่อนไหว ทว่าแผนการของพวกเขาก็พังครืนไม่เป็นท่า เมื่อพวกเขาได้รับข้อมูลจากขั้วอำนาจที่อยู่เบื้องหลังว่าห้ามเข้ามายุ่งเกี่ยวกับจักรวรรดิเหนือ

ในข้อความระบุชัดเจนว่าประมุขมู่แท้จริงแล้วคือราชันสังหารปีศาจคนที่สองของวังมหาพันภพ

ข้อมูลนี้คล้ายกับถังน้ำเย็นราดรดใส่ทำให้พวกเขาตกใจไปเลยทีเดียว พวกเขาเคยคาดเดาที่มาของป้ายสังหารปีศาจ แต่ไม่มีใครคิดว่ามู่เฉินจะเป็นราชันสังหารปีศาจคนที่สองของวังมหาพันภพจริง

เพราะลือกันว่าราชันสังหารปีศาจทุกคนจะมีพลังเทียบเท่ากับจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งซึ่งถือเป็นเสาหลักของมหาพันภพ แต่ทำไมตอนนี้ถึงมีราชันขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มโผล่มา?

พวกเขาเคยได้ยินชื่อเสียงของมู่เฉินมาก่อน เนื่องจากชายหนุ่มคนนี้ได้รับความชื่นชมจากเทพจักรพรรดิอัคคีและเทพจักรพรรดิสงครามเมื่อตอนที่วังสวรรค์บรรพกาลปรากฏ มิหนำซ้ำยังได้รับผลประโยชน์สูงสุดจากวังโบราณมาอีกด้วย

แต่ในเวลานั้นมู่เฉินยังคงไม่มีอะไรน่าสนใจในสายตาของขั้วอำนาจเหล่านั้น ถ้าไม่ใช่เพราะพวกเขากลัวเทพจักรพรรดิอัคคีและเทพจักรพรรดิสงคราม พวกเขาคงจะเคลื่อนไหวเข้าแก่งแย่งวังสวรรค์บรรพกาลแล้ว

แต่ใครจะคิดว่าชายหนุ่มคนนี้จะขึ้นดำรงตำแหน่งราชันสังหารปีศาจแห่งวังมหาพันภพในเวลาเพียงปีเดียว นอกจากนี้เขายังยกระดับไปยังขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มอีกด้วย

แต่ไม่ว่าพวกเขาจะรู้สึกไม่เชื่อมากแค่ไหน พวกเขาก็ต้องยอมรับความจริงอันโหดร้ายนี้ก่อนที่จะตัดสินลงไป บางคนพยายามส่งสารแสดงความยินดีไปยังตำหนักมู่โดยแสดงความปรารถนาดีที่จะสนับสนุนประมุขมู่ในฐานะเจ้าเหนือหัวจักรวรรดิเหนือด้วย

ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ เหตุการณ์ของจักรวรรดิเหนือก็สะเทือนไปทั่วทวีปเทียนหลัว ทุกคนรู้ว่าตำหนักมู่คือเจ้าเหนือหัวคนใหม่และประมุขหนุ่มของพวกเขาก็คือราชันสังหารปีศาจแห่งวังมหาพันภพอีกด้วย…

 

ภูมิภาคทางเหนือ ตำหนักมู่

มู่เฉินมองไปที่ทูตที่จากไปพร้อมกับสารสีทองในมือ นี่เป็นการแสดงความยินดีอีกครั้งที่มาจากขั้วอำนาจของจักรวรรดิอื่น

“จนถึงตอนนี้มีขั้วอำนาจอย่างน้อยแปดแห่งจากจักรวรรดิอื่นๆ ที่มาแสดงความยินดีกับเรา” มั่นถัวหลัวส่ายหัวไปมาข้างหลังมู่เฉิน

ต้องรู้ว่าความวุ่นวายของจักรวรรดิเหนือเป็นโอกาสที่ดีที่สุดที่จะใช้ประโยชน์ แต่ตอนนี้คนเหล่านั้นไม่เพียงแต่ไม่ได้ทำอะไรเลย พวกเขายังส่งสารแสดงความยินดีมาอีกด้วย

“ดูเหมือนตำแหน่งของเจ้าในฐานะราชันสังหารปีศาจของวังมหาพันภพจะน่ากลัวจริงๆ” มั่นถัวหลัวยิ้มให้กับมู่เฉิน นางเข้าใจเหตุผลเบื้องหลังการกระทำเหล่านั้นโดยธรรมชาติ

มู่เฉินยิ้มขณะที่ทอดถอนหายใจ ชื่อของวังมหาพันภพมีประสิทธิภาพอย่างแท้จริง แต่น่าเสียดายที่เขาไม่มีอำนาจใดๆ มิฉะนั้นทำไมเขาต้องกลัวเผ่าฝูถูด้วย? แค่บุกเข้าไปช่วยเหลือมารดาก็จบ

“การเก็บเกี่ยวเป็นอย่างไร?” มู่เฉินหันไปมองมั่นถัวหลัว การเพิ่มขึ้นของดินแดนที่ครอบครองครึ่งหนึ่งของจักรวรรดิเหนือโดยมีขั้วอำนาจจำนวนมาก ซึ่งทั้งหมดจะอยู่ภายใต้การควบคุมของพวกเขา

“ราบรื่นดี” มั่นถัวหลัวพยักหน้า หลังจากที่มู่เฉินแสดงพลังและการสนับสนุนเป็นที่ประจักษ์ ก็ไม่มีใครในจักรวรรดิเหนือกล้าไม่พอใจ ดังนั้นการรวมตัวกันจึงค่อนข้างราบรื่น มิหนำซ้ำยังมีกลุ่มบางส่วนหวังที่จะเข้ามาอยู่ภายใต้การคุ้มครองของตำหนักมู่ด้วย

มู่เฉินพยักหน้ายืดเอว “ในเมื่อเป็นแบบนี้ ที่เหลือให้พวกเจ้าจัดการก็แล้วกัน”

เมื่อได้ยินคำพูดนั่น มั่นถัวหลัวก็กลอกตาทันที “นี่คิดจะโบ้ยงานอีกแล้วเหรอ”

“ข้าหาดินแดนให้พวกเจ้าแล้ว ก็ต้องปล่อยให้พวกเจ้าจัดการสิ!” มู่เฉินพูดก่อนที่จะหัวเราะเบาๆ “ข้าได้รับความเข้าใจขั้นสองของวิชาสามพิสุทธิ์ ดังนั้นก็ต้องเข้าสมาธิศึกษาสักหน่อย”

มั่นถัวหลัวส่งเสียงขึ้นจมูก แต่ก็ไม่บ่นอะไรต่อ เนื่องจากนางรู้ชัดเจนว่าหากตำหนักมู่ต้องการเติบโตก็จะต้องมีเสาหลักเพื่อรองรับไว้

ตอนนี้มู่เฉินแซงหน้านางไปแล้ว ดังนั้นจึงเป็นหน้าที่ของเขาที่จะเป็นเสาหลักนั้น

เขาเงยหน้าขึ้นก็เห็นถังปิงเดินเข้ามา เขารีบตบไหล่มั่นถัวหลัว “ฝากด้วยนะ”

พูดจบเขาก็วาบหายไปทันที

เมื่อมั่นถัวหลัวเห็นว่าเขาวิ่งเร็วแค่ไหน นางก็อดส่ายหัวไม่ได้ก่อนจะมองไปที่ถังปิงที่กำลังจะเดินเข้ามา พูดอย่างเปรี้ยวใจว่า “มีอะไรก็บอกข้าเลย เจ้านั่นหนีไปอีกแล้ว”

เมื่อถังปิงได้ยินคำพูดเหล่านั้น นางก็มองไปยังจุดที่มู่เฉินหายตัวไปด้วยความผิดหวัง ก่อนที่จะพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม

 

ทะเลสาบสวรรค์ทอดตัวยาวภายในวังโบราณ

ปลดปล่อยคลื่นหลิงออกมาอย่างไร้ขอบเขตทั่วทั้งบริเวณ

ในส่วนลึกมู่เฉินนั่งลงเตรียมตัวทำความเข้าใจกับวิชาสามพิสุทธิ์ขั้นสอง

ด้วยการรับรู้ เขาสัมผัสถึงขั้นสองของวิชาสามพิสุทธิ์แล้ว เขาต้องการเพียงโอกาสให้ก้าวไปสู่พัฒนาการ

“ในที่สุดข้าก็เข้าสมาธิได้สักที”

มู่เฉินพึมพำ เขาอยู่ที่ตำหนักมู่มาระยะหนึ่งเพื่อรักษาเสถียรภาพของสิ่งต่างๆ ดังนั้นเขาจึงละในแง่ของการเพาะบ่มไป ตอนนี้ทุกอย่างจัดการเรียบร้อย เขาจึงมีเวลาว่างสักที

พอพูดจบเขาก็ค่อยๆ หลับตาลง

 

ในขณะที่มู่เฉินเข้าสมาธิ

เขาไม่รู้เลยว่ามีร่างเงาร่างหนึ่งพุ่งมายังทิศทางของทวีปเทียนหลัวอย่างรีบร้อน

ภาพเงานั้นดูงดงามแฝงความเย็นชา นี่ก็คือชิงซวงซึ่งมู่เฉินเคยพบมาก่อนในแดนเซิ่งยวน

ยามนี้ชิงซวงมีสีหน้าหนักหน่วง นางมองแผนที่ในมือที่บอกจุดทวีปเทียนหลัวพลางกำหมัดแน่น

“มู่เฉิน ท่านน้าจิ้งมีปัญหาเข้าแล้ว!”