ประมุขผู้เฒ่าตระกูลถังมองตาเฉินฉางเซิงแล้วถาม “แม้ว่าเขาจะเป็นคนสอนจักรพรรดิกับสังฆราช เขาก็ยังไม่มีสิทธิ์หรือ”
เฉินฉางเซิงตอบอย่างสุขุม “เมื่อหนึ่งเป็นจักรพรรดิอีกหนึ่งเป็นสังฆราช เขาก็ควรปล่อยให้พวกเขาทำงานของตน”
เมื่อลูกอินทรีย์ออกจากรังและเริ่มเรียนรู้ที่จะบิน ต้นอ่อนที่โตพอจะต้านทานลมฝน พวกมันก็ควรถูกปล่อยให้เติบโตอย่างอิสระ
มีแต่ทางนี้อินทรีย์จึงสามารถบินสู่ขอบฟ้า ต้นไม้สามารถสูงเสียดฟ้ารับแดดรับฝนได้มากขึ้น
“ในวัดเก่าเมืองซีหนิง ตำราทั้งหมดถูกมอบให้ข้าส่วนสิ่งอื่นทั้งหมดถูกมอบให้ศิษย์พี่ ไม่ว่าครอบครัวจะมีสินทรัพย์มากแค่ไหน ก็ยังต้องส่งต่อให้กับทายาทในท้ายที่สุด”
เฉินฉางเซิงกล่าวต่อ “อย่าว่าแต่เรื่องที่มันไม่ใช่ทรัพย์สินของอาจารย์ แต่เป็นของโลกนี้”
ประมุขผู้เฒ่าตระกูลถังไม่ได้พูดอะไร
ปฏิคมจวนเก่าเดินออกมาและรีบเก็บจานชามทำความสะอาดโต๊ะ ไม่ทำให้เกิดเสียงแม้แต่นิดเดียว
ผ่านไปครู่หนึ่งกาน้ำชากับถ้วยชาสองใบก็ถูกวางบนโต๊ะ แต่ชายังไม่ถูกรินลงถ้วย
เฉินฉางเซิงคำนับอย่างเป็นทางการให้ประมุขผู้เฒ่าตระกูลถังตามแบบผู้เยาว์ จากนั้นเขาก็เดินไปที่โต๊ะและนั่งลงโดยไม่รอคำตอบ
เขายกกาน้ำชาขึ้นและรินใส่ถ้วยตรงหน้าประมุขผู้เฒ่าตระกูลถัง จากนั้นก็รินใส่ถ้วยตรงหน้าของตน
เขารู้สึกเหมือนกลับไปในอดีต ที่โต๊ะหินในสวนร้อยหญ้า ด้วยความรู้สึกนี้ ความตึงเครียดที่เหลืออยู่ก็หายไป เหลือไว้แต่ความสงบที่แท้จริง
ประมุขผู้เฒ่าตระกูลถังสัมผัสถึงความเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ของเขาได้อย่างชัดเจนและเผยความชื่นชมออกมา
“ข้าก้ไม่ชอบคำพูดที่ว่า ‘โลกนี้คือทรัพย์สินของข้า’ ” เขากล่าวกับเฉินฉางเซิง “แต่เจ้าคิดว่าเจ้ามีสิทธิ์ที่จะดูแลรักษาโลกนี้อย่างนั้นหรือ”
‘รักษา’ ก็คือรักษาโรค แต่มันก็ยังเป็นการรักษาการปกครอง โรคของบ้านเมืองอีกด้วย
เฉินฉางเซิงตอบ “ข้ามั่นใจว่าศิษย์พี่มีความสามารถ ส่วนข้านั้นกำลังเรียนรู้อยู่เช่นกัน”
ประมุขผู้เฒ่าตระกูลถังนิ่งเงียบไปเป็นเวลานานจากนั้นก็พลันถามขึ้น “เจ้าเข้าจวนเก่าครั้งแรกรู้สึกเช่นไร”
เฉินฉางเซิงครุ่นคิดกับคำถามนี้อย่างจริงจังแล้วตอบ “มันธรรมดากว่าที่ข้าคิดไว้ แม้แต่แผ่นป้ายไม้เหนือประตู ข้าก็พบว่ามันดูตั้งใจมาก ความตั้งใจนี้ก็ธรรมดา”
สำหรับตระกูลธรรมดาทั่วไป หรือแม้แต่ตระกูลกับพรรคที่มีชื่อเสียง แผ่นป้ายไม้เหนือประตูจวนเก่าตระกูลถังนั้นเป็นความรุ่งเรืองอย่างยิ่ง แต่สำหรับตระกูลถังความรุ่งเรืองนี้ออกจะดูจงใจแสดงออกอยู่บ้าง เพราะตระกูลถังไม่จำเป็นต้องใช้ของพวกนี้ ในทางกลับกันความรุ่งเรืองนี้มีแต่จะทำลายความลึกลับของตระกูลถังเท่านั้น ใช้คำพูดของเฉินฉางเซิงก็คือมันทำให้ตระกูลถังดูธรรมดา
ประมุขผู้เฒ่าตระกูลถังตอบ “เพราะจวนเก่าเป็นบ้านที่ธรรมดาเสมอมา สาเหตุที่มันไม่ธรรมดาก็เพราะประมุขของตระกูลถังอาศัยอยู่ที่นี่”
เฉินฉางเซิงเข้าใจความหมายของประมุขผู้เฒ่า
หลายคนเชื่อว่าความลึกลับของประมุขผู้เฒ่าตระกูลถังมาจากการที่เขาไม่เคยสู้กับใครและตระกูลถังน่ากลัวเกินไป ไม่ปล่อยคนที่กล้าแสดงความไม่เคารพแม้แต่คนเดียว ระดับความแข็งแกร่งที่แท้จริงของเขาคงไม่น่ากลัวอย่างที่คาดคิดไว้
แต่ความหมายของคำพูดประมุขผู้เฒ่าตระกูลถังที่บอกต่อเฉินฉางเซิงนั้นชัดเจนมาก
ตระกูลถังน่ากลัวก็เพราะประมุขทุกคนของตระกูลถังนั้นทรงอำนาจมาก รวมถึงประมุขผู้เฒ่าเช่นกัน
เฉินฉางเซิงตอบ “แต่เมื่อท่านยินยอมพบข้าในจวนเก่า ก็หมายความว่าท่านยินยอมที่จะรับฟังคำพูดของข้า”
ประมุขผู้เฒ่าตระกูลถังยอมรับ “หลายปีแล้วที่ข้าไม่พบคนนอก เจ้าเป็นคนนอกคนที่ห้าที่ข้าพบในจวนเก่าในช่วงหลายปีมานี้”
เฉินฉางเซิงรู้ว่าซูหลีกับหวังผ้อย่อมรวมอยู่ในห้าคนนี้ เขาไม่รู้ว่าม่ออวี่สามารถได้พบประมุขผู้เฒ่าตระกูลถังตอนที่นางมาเยือนเวิ่นสุ่ยหรือไม่ หากนางไม่ อีกสองคนเป็นใครกัน
“สวีโหย่วหรง ข้ามีความสัมพันธ์อันดีกับนาง” ประมุขผู้เฒ่าตระกูลถังอธิบาย “ข้ายินดีพบเจ้าวันนี้ส่วนใหญ่เป็นเพราะข้าสงสัยอยากรู้ว่าคนที่นางรักเป็นเช่นใดกัน”
ครั้งนี้เฉินฉางเซิงตกใจจริงๆ แค่สองวันก่อนที่เขาได้รู้ว่าก่อนที่นางจะกักตัว สวีโหย่วหรงได้มายังเวิ่นสุ่ยเพื่อตรวจอาการป่วยของประมุขสาขาหลักตระกูลถัง เขาไม่คาดคิดว่านางจะมีความสัมพันธ์กับตระกูลถังถึงขั้นนี้ เขาคิดอย่างสับสน แม้ว่าสวีโหย่วหรงจะเป็นเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์แห่งแดนใต้และมีฐานะสูงพอที่จะสนทนากับประมุขผู้เฒ่าตระกูลถัง แต่ก็ยังมีความต่างด้านอายุเกินไป แล้วพวกเขามีความคล้ายคลึงกันที่ใด ทำไมประมุขผู้เฒ่าตระกูลถังถึงได้พูดว่าเขามีความสัมพันธ์อันดีกับนาง
ประมุขผู้เฒ่าตระกูลถังกล่าว “ความสัมพันธ์บนโลกนี้มีมากมายหลายแบบ มิตรสหาย คนรัก เพื่อนร่วมรบ คู่ค้า… ความสัมพันธ์แต่ละอย่างต่างก็มีจุดอ่อนของตัวเอง มีพันธะของตัวเอง มีความยินยอมและหลอกลวงในหลายระดับ มีเพียงความสัมพันธ์เดียวที่จริงแท้และเรียบง่ายที่สุด ที่สามารถเห็นได้อย่างชัดเจนว่าอีกฝ่ายคิดอะไรโดยไม่จำเป็นต้องใช้สมองคิดให้มากนัก”
เฉินฉางเซิงถาม “เป็นความสัมพันธ์แบบใด”
ประมุขผู้เฒ่าตระกูลถังวางถ้วยชาลงและเคาะโต๊ะเบาๆ “เพื่อนเล่นไพ่นกกระจอก”
เฉินฉางเซิงตกอยู่ในความมึนงงอยู่นาน
ตอนนี้เองที่เขาสังเกตว่าโต๊ะตรงหน้าประมุขผู้เฒ่าตระกูลถังไม่ใช่โต๊ะทานอาหารธรรมดา โต๊ะนี้เป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสและทำจากไม้เถี่ยหลีที่ล้ำค่าที่สุด พื้นโต๊ะเรียบลื่นอย่างมาก แต่หากสังเกตให้ดีจะพบรอยข่วนตื้นๆ มากมาย พอจะเดาได้ว่ามีวัตถุแข็งๆ ขูดขีดอยู่ปีแล้วปีเล่า จากนั้นก็พบว่ามีกล่องแบนๆ อยู่ข้างโต๊ะ มันเอาไว้ใส่เหรียญเงินอย่างนั้นหรือ
อันที่จริงแล้วมันคือโต๊ะไพ่นกกระจอก
ประมุขผู้เฒ่าตระกูลถังน่าจะเล่นไพ่นกกระจอกบนโต๊ะนี้มานานหลายศตวรรษ กับขาไพ่มากมายนับไม่ถ้วน
และในบางครั้งเขาก็ได้พบกับข่าไพ่คนใหม่
นั่นก็คือเด็กสาวจากสถานศึกษาหนานซี
“โหย่วหรงชอบเล่นไพ่นกกระจอกหรือ” เฉินฉางเซิงพบว่าเรื่องนี้ยากที่จะคาดคิดได้
“นางไม่ใช่แค่ชอบเล่น นางยังเล่นได้ดีมากด้วย แม้แต่ข้าก็ไม่แน่ว่าจะเป็นคู่มือของนางได้ มีหลายครั้งที่ข้าคิดอยากเรียกเสี่ยวผ้อกลับมา”
ดวงตาของประมุขผู้เฒ่าตระกูลถังเป็นดั่งบ่อน้ำเก่าในลานบ้าน สงบนิ่งแต่ก็ลึกล้ำยากหยั่งถึง “แต่เห็นได้ชัดว่าเจ้าไม่ชอบเล่นไพ่นกกระจอก อย่าว่าแต่มีฝีมือเลย เมื่อเป็นเช่นนี้ข้าแนะนำว่าเจ้าไม่ควรนั่งอยู่ที่โต๊ะตัวนี้ตั้งแต่แรกแล้ว”
เมื่อกล่าวแล้วเขาก็ยกถ้วยชาขึ้นและจิบช้าๆ ไม่สนว่าชานั้นจะร้อนหรือเย็น
การยกถ้วยชาขึ้นเป็นกิริยาแสดงว่าส่งแขก ชาถ้วยนี้ดื่มไปครึ่งหนึ่งแล้ว ดังนั้นแขกย่อมรู้ว่าควรจากไปก่อนจะลำบาก
เฉินฉางเซิงไม่คิดเช่นนั้น
เขาเชี่ยวชาญในคัมภีร์เต๋า รู้ดาราศาสตร์และภูมิศาสตร์ เพลงกระบี่นับไม่ถ้วน แต่เขาไม่รู้ว่าจะสะกดคำว่า ‘ลำบาก’ อย่างไร
เขามองไปที่ประมุขผู้เฒ่าตระกูลถังและกล่าว “ท่านอาจไม่รู้จริงๆ ว่าข้าต้องการจะพูดอะไร”
ประมุขผู้เฒ่าตระกูลถังไม่พูดอะไร
ไม่ว่าลมจะแรงเพียงใด ก้นบ่อน้ำโบราณจะปั่นป่วนได้อย่างไร
หากประมุขผู้เฒ่าตระกูลถังไม่ต้องการฟัง ใครจะบังคับให้ฟังได้
“ท่านดื่มชาของข้า” เฉินฉางเซิงบอก
ประมุขผู้เฒ่าตระกูลถังถาม “แล้วไง มันก็เป็นชาของข้า”
เฉินฉางเซิงตอบ “ในวัดเก่าเมืองซีหนิง ศิษย์พี่เป็นคนต้มน้ำและรินชา ในช่วงหลายปีมานี้ข้ารินชาให้คนผู้เดียวเท่านั้น”
ประมุขผู้เฒ่าตระกูลถังถามขึ้นด้วยความสนใจทีเดียว “ใคร”
เฉินฉางเซิงนึกถึงคืนนั้นในสวนร้อยหญ้า อารมณ์ทุกชนิดผุดขึ้นมาในใจยามที่เขากล่าว “จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์”