ส่วนที่ 6 ภาคลมประจิมรุนแรง ตอนที่ 17 ยืนกลางหิมะ

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ทั่วทั้งต้าลู่รู้ว่าแม้แต่จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่ก็ยังให้ความเคารพประมุขผู้เฒ่าตระกูลถังพอสมควร

เฉินฉางเซิงได้รู้จากถังซานสือลิ่วว่าถึงแม้ประมุขผู้เฒ่าตระกูลถังจะสบถด่าตระกูลเทียนไห่ทุกวัน แต่คำด่าพวกนั้นน้อยครั้งจะพูดถึงตัวจักรพรรดินี

เมื่อจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่ส่งราชโองการเชิญประมุขผู้เฒ่าตระกูลถังไปจิงตู ประมุขผู้เฒ่าตระกูลถังปฏิเสธที่จะรับราชโองการ นี่เป็นท่าทีแข็งกร้าวซึ่งเห็นได้ว่ามีปัญหาในความสัมพันธ์ของพวกเขาอยู่บ้าง

ประมุขผู้เฒ่าตระกูลถังไม่ชอบจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่ ในสายตาเขานางเป็นจักรพรรดินีมาร

แต่จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่สร้างความกลัวในใจเขาอยู่เสมอ และในบางแง่มุมก็เป็นความชื่นชม

เฉินฉางเซิงกล่าว “เพื่อเห็นแก่ชาถ้วยนี้ ข้าหวังว่าท่านจะฟังข้าสักสองประโยค”

หากเขาพูดสองประโยคนี้ออกมาตามใจหลังจากเข้ามาในจวนเก่า เขาย่อมสามารถทำให้ประมุขผู้เฒ่าตระกูลถังได้ยินมันอย่างแน่นอน

แต่ได้ยินใช่ว่าจะรับฟัง

เขาต้องการให้ประมุขผู้เฒ่าตระกูลถังรับฟังคำพูดของเขาอย่างจริงจัง

ให้คำพูดพวกนี้เข้าหู เข้าไปถึงใจ

ประมุขผู้เฒ่าตระกูลถังยังไม่พูดอะไร บางทีเป็นการยอมรับเงียบๆ

“ประมุขผู้ใหญ่ตระกูลถังไม่ได้ป่วยแต่ถูกพิษ”

นี่คือประโยคแรกของเฉินฉางเซิง

สีหน้าของประมุขผู้เฒ่าตระกูลถังไม่เปลี่ยนไป ราวกับไม่ได้ยินคำพูดนี้

“ประมุขรองตระกูลถังสมคบกับเผ่ามาร”

นี่เป็นประโยคที่สองของเฉินฉางเซิง

ประมุขผู้เฒ่าตระกูลถังหรี่ตาลงเล็กน้อย จากนั้นก็วางถ้วยชาลงบนโต๊ะช้าๆ

เขามองที่เฉินฉางเซิง น้ำเสียงไร้อารมณ์ใดๆ “กระบี่ขององค์สังฆราชแหลมคมจริงๆ ทางกระบี่ชัดเจนแต่ท่านไม่ควรใช้มันในวันนี้”

สองประโยคนี้เป็นกระบี่จริงๆ

พวกมันคือเพลงกระบี่รอบรู้ที่เฉินฉางเซิงเตรียมตัวมาเป็นเวลานาน

นี่เป็นเพลงกระบี่ที่เขาเรียนมาจากซูหลี

ประมุขผู้เฒ่าตระกูลถังรู้จักซูหลีมาหลายปีและมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับเขา ดังนั้นจะไม่รู้จักเพลงกระบี่นี้ได้อย่างไร

ดังนั้นนี่เป็นครั้งแรกที่ประมุขผู้เฒ่าตระกูลถังเรียกเขาว่า ‘องค์สังฆราช’

เริ่มจากตอนนี้ นี่ไม่ใช่ผู้อาวุโสกับผู้เยาว์ ไม่มีโจ๊กกับผักดอง รินชาดื่มชา หรือความสัมพันธ์เก่าระหว่างเพื่อนเล่นไพ่นกกระจอก

“ข้าไม่ได้จงใจใช้กระบี่ออกมาแต่ถูกบีบให้ใช้มันป้องกันตัว”

เฉินฉางเซิงไม่ได้รับผลกระทบจากท่าทีของประมุขผู้เฒ่าตระกูลถัง กล่าวอย่างสุขุม “บนเทือกเขาในคืนนั้น ตระกูลถังเป็นฝ่ายแรกที่ลงมือโจมตี จากนั้นในเมืองฮั่นชิวและเมื่อคืนก่อน มีคนต้องการจะสังหารข้า เมื่อเป็นเช่นนี้ข้าไม่มีเหตุผลที่จะไม่ตอบโต้”

ประมุขผู้เฒ่าตระกูลถังตอบอย่างกระชับ “หลักฐาน”

แม้ว่าเฉินฉางเซิงจะเป็นสังฆราช เขาก็ไม่อาจกล่าวโทษตระกูลถังโดยไร้หลักฐานได้

ที่นี่คือจวนเก่าตระกูลถัง ไม่ใช่ศูนย์บัญชาการกองทัพซงซาน คู่ต่อสู้ของเขาไม่ใช่พวกอ๋องหรือขุนพลเทพแต่เป็นประมุขผู้เฒ่าตระกูลถัง

“ข้าไม่มีหลักฐาน” เฉินฉางเซิงไม่รอให้ประมุขผู้เฒ่าตระกูลถังแสดงความเห็นแต่กล่าวต่อ “นอกจากคำพูดของราชามาร ข้าไม่มีหลักฐานแม้เพียงน้อยนิด และคำพูดของราชามารย่อมเป็นไปได้ว่าจงใจสร้างความขัดแย้ง แต่ข้ามีพยาน องค์หญิงเผ่ามารหนานเค่อ นางในตอนนี้ออกจะปัญญาอ่อนอยู่บ้างดังนั้นนางย่อมไม่อาจโกหก”

ประมุขผู้เฒ่าตระกูลถังหรี่ตาลงกว่าเดิม มันไม่ได้ดูเหมือนกับตาของจิ้งจอกเฒ่าแต่เหมือนกับแผ่นหินแกร่งบนเทือกเขาที่ผ่านพายุและถูกลมกัดกร่อนมานานนับปีไม่ถ้วน

“แล้วองค์สังฆราชต้องการให้ข้ารับปากเรื่องใด”

“ข้าต้องการเวลาหนึ่งชั่วยาม”

“เวลานั้นเป็นของตัวมันเองเสมอมา”

“ข้าต้องการเวลาหนึ่งชั่วยามของเมืองเวิ่นสุ่ย”

เฉินฉางเซิงมองไปที่ประมุขผู้เฒ่าตระกูลถังและกล่าว “ในเวลาหนึ่งชั่วยามนี้ ข้าจะหาตัวประหลาดจากพรรคฉางเซิง มันคือหลักฐาน”

เวลาหนึ่งชั่วยามของเมืองเวิ่นสุ่ยคืออะไร เขาไม่ได้อธิบายความหมายแต่เจตนานั้นชัดเจน ในเวลาหนึ่งชั่วยามนี้เขาหวังว่าตระกูลถังจะมอบการควบคุมเมืองเวิ่นสุ่ยให้นิกายหลวง และเมื่อนิกายหลวงทำการตรวจค้นไล่ล่า ตระกูลถังจะไม่ยุ่งเกี่ยว

นี่เป็นคำขอที่เหลวไหลพิลึกพิลั่นอย่างไม่ต้องสงสัย

เป็นเวลานับปีไม่ถ้วนที่ไม่มีใคร ไม่แม้แต่จักรพรรดิไท่จงหรือจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่สามารถที่จะควบคุมเมืองเวิ่นสุ่ยได้อย่างแท้จริง

นี่คือสิ่งที่เฉินฉางเซิงต้องการ แม้ว่ามันจะเป็นเวลาสั้นๆ แค่หนึ่งชั่วยาม มันก็ยังเป็นสิ่งที่ตระกูลถังไม่อาจยอมรับได้

ผลการเจรจาดูเหมือนจะเห็นได้ล่วงหน้าก่อนที่จะเริ่มด้วยซ้ำ

แต่เฉินฉางเซิงก็ยังเสนอมันออกไป เพราะเขาหวังว่าผู้อาวุโสนี้จะสามารถเปลี่ยนมุมมองประมุขผู้เฒ่าตระกูลถังได้

น่าเสียดายที่ความหวังของเขาไม่อาจเป็นจริง

“สามวันก่อนเขานั่งตรงที่เจ้านั่งและคำพูดที่เขากล่าวก็มีความหมายเดียวกับเจ้า แต่ข้าไม่รับปาก”

ประมุขผู้เฒ่าตระกูลถังมองเขาอย่างเรียบเฉย “เว้นแต่องค์สังฆราชจะโน้มน้าวเขาให้เปลี่ยนแซ่ได้ ก็ไม่มีอะไรให้พูดกันอีก”

เฉินฉางเซิงนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนที่จะถาม “แม้ว่าท่านจะเข้าใจดีว่ามีปัญหาในตระกูลถัง และรู้ดีว่าหลักฐานอยู่ในเมืองเวิ่นสุ่ยอย่างนั้นหรือ”

“เจ้าคิดหรือว่าข้าสนเรื่องพวกนี้ องค์สังฆราช เจ้ายังเยาว์เกินไป เจ้าไม่รู้หรอกว่าคนชราอย่างเราเคยพบเรื่องดำมืดชั่วร้ายเช่นใดมาบ้าง หากข้าไม่อยากจะเชื่อมัน ข้าก็ไม่เชื่อมัน หากเจ้าต้องการจะเปลี่ยนความคิดข้า เจ้าก็ต้องจ่ายค่าตอบแทนที่เหมาะสม”

ประมุขผู้เฒ่าตระกูลถังมองไปที่ร่มเก่าที่พิงประตูอยู่และกล่าว “แค่ทำให้ข้านึกถึงก็มากเกินพอแล้ว”

เฉินฉางเซิงคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วกล่าว “ข้าหวังว่าท่านจะคิดเรื่องนี้ต่อไป”

ประมุขผู้เฒ่าตระกูลถังตอบ “ข้าตัดสินใจแล้ว”

เฉินฉางเซิงตอบ “ท่านไม่จำเป็นต้องรีบร้อน ข้ารอได้”

ประมุขผู้เฒ่าตระกูลถังกล่าว “ข้าไม่ชอบให้คนนอกอยู่ในบ้านของข้า”

เฉินฉางเซิงตอบ “ข้าสามารถรอนอกจวนเก่า”

ประมุขผู้เฒ่าตระกูลถังกล่าว “ตามใจเจ้า”

เฉินฉางเซิงลุกขึ้นและออกจากห้องไป ก้าวข้ามธรณีประตู คว้าร่มเก่าและออกจากลานบ้าน

ในขณะที่เขาพูดกับประมุขผู้เฒ่าตระกูลถัง หิมะเริ่มตกหนักขึ้นเรื่อยๆ หินปูพื้นในตอนนี้ปกคลุมด้วยหิมะหนานุ่ม ทำให้รู้สึกสบายเมื่อเหยียบลงไป

ร่มกางออก เฉินฉางเซิงออกจากจวนเก่าใต้การนำของผู้พิทักษ์ชรา

ราชันแห่งหลิงไห่กับพวกรอเขาอยู่

เฉินฉางเซิงส่ายหน้า

ไม่มีใครประหลาดใจ เพราะพวกเขาเดาได้ล่วงหน้าว่าประมุขผู้เฒ่าตระกูลถังไม่มีทางรับปากกับคำขอร้องนี้

คำขอของสังฆราชตามเหตุผลแล้วเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการฉีกม่านดำและหาตัวการที่วางแผนร้ายแต่…

ถ้าหากว่าตัวการเป็นประมุขผู้เฒ่าตระกูลถังเล่า ต่อให้ไม่ใช่ เมืองเวิ่นสุ่ยก็เป็นของตระกูลถังและตระกูลถังก็คือประมุขผู้เฒ่าตระกูลถัง หากสังฆราชต้องการจะเปิดม่านที่คลุมเมืองเวิ่นสุ่ย นี่ไม่เท่ากับการเปลื้องผ้าประมุขผู้เฒ่าตระกูลถังออกดูหรอกหรือ ประมุขผู้เฒ่าตระกูลถังย่อมไม่มีทางเห็นด้วย

พวกเขาเตรียมที่จะนำเฉินฉางเซิงกลับขึ้นรถม้าและเดินทางกลับไปยังอารามเต๋าเพื่อวางแผนว่าจะทำอะไรต่อไป

เฉินฉางเซิงส่ายหน้าอีกครั้ง เขาหันกลับไปทางจวนเก่าตระกูลถังและเริ่มยืนรอกลางหิมะเช่นนี้เอง

ดวงตานับไม่ถ้วนมองไปที่เขา ตอนแรกก็สับสนสงสัย จากนั้นก็เปลี่ยนเป็นตกใจอย่างรวดเร็ว

สังฆราชตั้งใจจะยืนกลางหิมะและรอประมุขผู้เฒ่าตระกูลถังเปลี่ยนใจอย่างนั้นหรือ