ส่วนที่ 6 ภาคลมประจิมรุนแรง ตอนที่ 18 รับร่มของเจ้ากลางหิมะ

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

มหามุขนายกอันหลินก้าวออกไปละวางเสื้อคลุมไว้บนบ่าของเฉินฉางเซิง

เวลาผ่านไปช้าๆ พายุหิมะไม่มีทีท่าว่าจะอ่อนลงแต่กลับรุนแรงขึ้น เปลี่ยนเมืองเวิ่นสุ่ยให้กลายเป็นสีขาวกว้างไกล อุณหภูมิต่ำลงอย่างรวดเร็ว

ชั้นหิมะบนร่มหนาขึ้นเรื่อยๆ แต่มือของเฉินฉางเซิงที่กำด้ามร่มยังคงมั่นคง ไม่สั่นไหวเลยสักน้อย

เป็นธรรมดาที่เขาไม่มีเจตนาจะจากไป

ชุดยาวสีเข้ม เสื้อคลุมสีขาวกับร่มเก่าโทรมกลายเป็นภาพที่สบายตาอย่างมาก

แต่เมื่อพวกเขาก็นภาพนี้คนของทั้งนิกายหลวงและตระกูลถังยิ่งเป็นกังวลมากขึ้นเรื่อยๆ

บรรยากาศตึงเครียดค่อยๆ ก่อตัวรอบจวนเก่า แม้แต่เนินเขาด้านหลังก็ยังกลายเป็นเย็นเยียบคุกคามขึ้นมา

ในตอนนี้ยังไม่มีใครสามารถยืนยันได้ว่าจริงๆ แล้วเฉินฉางเซิงกำลังคิดอะไร

เขาต้องการจะใช้ความจริงใจทำให้ประมุขผู้เฒ่าตระกูลถังหวั่นไหวอย่างนั้นหรือ หรือเขาวางแผนที่จะใช้ฐานะสังฆราชของเขากดดันตระกูลถังทั้งหมด

ไม่ว่าอย่างไร หากเขายังยืนอยู่กลางหิมะเช่นนี้ ต้องเกิดความผิดพลาดขึ้นอย่างแน่นอน

ในยามที่บรรยากาศนอกจวนเก่าตึงเครียดมากขึ้นเรื่อยๆ ราชันแห่งหลิงไห่มีสีหน้าเคร่งขรึมมากขึ้นเรื่อยๆ แม้แต่ปฏิคมจวนเก่าก็เริ่มหน้าซีด เสียงหนึ่งพลันดังขึ้นในหูของทุกคน

เป็นเสียงรองเท้าทหารย่ำลงบนหิมะอ่อนนุ่ม

นายทหารคนหนึ่งเดินออกมาจากถนนหิมะ

นายทหารคนนี้มีหนวดเคราที่เกาะเต็มไปด้วยหิมะ บดบังอายุที่แท้จริง

ใต้สายตาของยอดฝีมือนับไม่ถ้วน กลางหิมะปั่นป่วน เขาเดินตามสบายมาถึงข้างกายเฉินฉางเซิง

จากนั้นเขาก็ยื่นมือออกไปดึงร่มของเฉินฉางเซิง

……

……

หลายปีก่อน…

เฉินฉางเซิงยืนอยู่บนจุดสูงสุดของสุสานโจว ถือร่มในยามที่สายลมโหยหวนอยู่รอบกาย แบกรับฟ้าที่ถล่มลงมา

ชั่วขณะต่อมาเขาปรากฏตัวห่างไปหมื่นลี้ในทุ่งหิมะของเผ่ามาร เขาสามารถมองเห็นโครงร่างของเมืองเสวี่ยเหล่าที่อยู่ไกลออกไป

ในตอนนั้น เขายังอยู่ในท่าคุกเข่าข้างหนึ่งในขณะที่ถือร่มเอาไว้

เขาได้ยินเสียงฝีเท้า จากนั้นก็เสียงพูด

“อ้า นั่นกระบี่”

คนผู้นั้นดึงร่มกระดาษทองในมือของเขาไป

จากนั้นก็ดึงกระบี่ออกมาจากร่ม

ขุนพลมารคนหนึ่งล้มลง

เงาบนท้องฟ้ามีรอยขาดเกิดขึ้น

……

……

หลายปีต่อมา…

เมื่อพายุหิมะอยู่เหนือเมืองเวิ่นสุ่ย เฉินฉางเซิงก็ถือร่มอีกครั้งหนึ่ง

เสียงฝีเท้าดังขึ้นอีกครั้งด้านหลังเขา

คนผู้นี้ไม่พูดอะไรแต่คว้าร่มในมือเขาไปตรงๆ

ในตอนนั้น เฉินฉางเซิงเข้าใจผิดคิดว่าคนผู้นั้นกลับมา

แต่ว่าไม่ใช่

เขายังรู้ว่าคนที่มาวันนี้เป็นใคร

ด้วยเหตุผลบางอย่างตอนที่หลัวปู้คว้าร่ม เฉินฉางเซิงรู้สึกเบาลงมาก ราวกับเขาได้แบ่งรับน้ำหนักจำนวนมากไป

ลั่วลั่วเคยบอกเขาในสำนักฝึกหลวงว่าจักรพรรดิขาวเคยบอกนางว่านางมีชีวิตที่มีความสุข เพราะเมื่อท้องฟ้าถล่มลงมา จะมีคนที่สูงกว่ายืนรับมันแทนนาง

เขาสูงกว่าลั่วลั่ว ดังนั้นเมื่อเผชิญหน้ากับมือสังหารเผ่ามารหรือในเวลาใดก็ตาม เขาจะเป็นคนที่แบกรับท้องฟ้าแทนนาง

ตอนอยู่ในสวนโจวก็เป็นเช่นนี้

มีแต่ตอนนี้เองที่คนที่สูงกว่าเขาปรากฏกาย

ไม่แต่ตอนนี้เองที่มีคนรับร่มไปจากมือเขา

บนทุ่งหิมะ ซูหลีเอาร่มของเขาไป

วันนี้เป็นหลัวปู้ที่รับร่มของเขาไป

หลัวปู้ย่อมไม่อาจเทียบกับซูหลีได้

แต่เขาเกิดมาพร้อมพฤติกรรมเช่นนี้

ไม่ว่าจะเป็นหน้าที่ กระบี่หรือร่ม ตราบใดที่ส่งต่อถึงมือเขา ก็สามารถวางใจได้

เห็นหลังหลัวปู้ เฉินฉางเซิงก็เข้าใจเรื่องมากมาย เขารู้สึกตกใจทีเดียวและก็รู้สึกเศร้าทีเดียว

เขาเข้าใจในที่สุดว่าเหตุใดโก่วหานสือ กวนเฟยไป๋และแม้แต่ถังซานสือลิ่วถึงมีท่าทีแบบนั้นในยามที่พูดถึงคนผู้นี้

เขายังเข้าใจว่าทำไมคนผู้นี้ถึงพลันเปลี่ยนท่าทีที่มีต่อเขาตอนที่อยู่คอกม้าผาชัน

คิดแล้ว เฉินฉางเซิงก็เริ่มมีความรู้สึกอิจฉาที่เกิดขึ้นได้ยาก

เขาไม่ได้อิจฉาหลัวปู้ แต่อิจฉาคนที่ได้รู้จักหลัวปู้มาเป็นเวลานานและคนที่ได้เป็นเพื่อนกับหลัวปู้

คนพวกนั้นรวมถึงโก่วหานสือ กวนเฟยไป๋ และศิษย์สำนักกระบี่หลีซานคนอื่น หรือแม้แต่เจ๋อซิ่วกับถังซานสือลิ่ว

พวกเขาเป็นศิษย์ร่วมสำนัก หากพวกเขายังไม่ได้พบกัน พวกเขายังมีโอกาสได้เป็นเพื่อนกันในอนาคต

แต่มันเป็นไปไม่ได้ที่เขากับหลัวปุ้จะสามารถมีความสัมพันธ์เช่นนั้นได้

……

……

หลัวปู้ถือร่มเก่าเดินเข้าจวนเก่า

เฉินฉางเซิงยังคงนิ่งเงียบ ดังนั้นคนของนิกายหลวงย่อมไม่ทำอะไร น่าแปลกที่คนของตระกูลถังก็ไม่พยายามที่จะหยุดเขา

ในหิมะปั่นป่วน ร่างของเขาหายไปหลังประตู

ประมุขผู้เฒ่าตระกูลถังมองไปที่เขาและกล่าว “ข้าไม่คิดว่าเจ้าจะมา”

หลัวปู้คำนับตามแบบผู้เยาว์และกล่าว “ท่านรู้ว่าข้าชอบเข้าร่วมความสนุกอยู่เสมอ”

ประมุขผู้เฒ่าตระกูลถังกล่าวอย่างเรียบเฉย “หากบิดาเจ้าพบว่าเจ้าปรากฏตัว เขาย่อมไม่ยินดีเป็นแน่”

หลัวปู้พูดอย่างหมดหนทาง “ข้ามักทำสิ่งที่ทำให้ท่านพ่อไม่ยินดีอยู่เสมอ ตอนนี้เมื่อคิดดูแล้ว ข้าเป็นคนอกตัญญูจริงๆ”

ท่าทีที่ประมุขผู้เฒ่าตระกูลถังมีต่อเขาเห็นได้ชัดว่าเป็นกันเองกว่าที่มีต่อเฉินฉางเซิง เขากล่าวอย่างเป็นกันเอง “หากเจ้ารู้สึกว่าตัวเองอกตัญญูจริง ทำไมเขาไม่ขับเจ้าออกจากตระกูล ทำไมทุกครั้งที่เขาดื่มมากเกินไปเขาถึงได้นำลายมือที่เจ้าเขียนไว้ตอนเด็กมาอวดให้ทุกคนดู”

หลัวปู้ยิ้มอย่างขมขื่นและกล่าว “โอ้ การอวดโอ่ของบิดามักสร้างความอับอายให้แก่บุตร”

ประมุขผู้เฒ่าตระกูลถังพลันกล่าว “เมื่อเจ้ารู้สึกว่าบิดาเจ้าทำให้ผู้คนปวดหัว ทำไมเจ้าไม่เปลี่ยนมาใช้แซ่ของข้าแทน”

หลัวปู้รู้สึกสิ้นกำลังกว่าเดิม “ใช่ว่าข้าเป็นหวังผ้อเสียหน่อย ท่านอย่าได้ล้อข้าเล่นเลย”

ประมุขผู้เฒ่าตระกูลถังถาม “เจ้าไม่คิดหรือว่าแซ่ของเจ้านั้นแปลกมาก”

หลัวปู้หัวเราะและกล่าว “คำว่า ‘ชิวซาน’ แปลกตรงไหน ข้าคิดว่ามันเพราะดี”

……

……

แซ่ ‘ชิวซาน’ ไม่ธรรมดาแต่ก็มีชื่อเสียงมาก

เพราะตระกูลดังในแดนใต้ หนึ่งในสี่ตระกูลใหญ่ ก็คือตระกูลชิวซาน

เพราะตระกูลชิวซานมีบุคคลที่โดดเด่นชื่อชิวซานจวิน

เขาเป็นศิษย์ส่วนตัวของประมุขสำนักกระบี่หลีซาน ได้รับสืบทอดจากซูหลี เป็นหัวหน้าของเจ็ดคำโคลงแห่งแดนเทพ มีเลือดแท้มังกรในกาย

เขาเป็นแบบอย่างในใจของเด็กสาวนับไม่ถ้วน เป็นผู้นำผู้บำเพ็ญตนรุ่นเยาว์อย่างไม่ต้องสงสัย

ในทุกแง่มุม เขาไร้ตำหนิแทบจะเรียกได้ว่าสมบูรณ์แบบ

จากนั้นเขาก็หายตัวไปห้าปี

มีแค่สามคนที่รู้ว่าเขาหายไปอยู่ไหนมาห้าปี

หลังจากหิมะตกเหนือสะพานหน่ายเหอในจิงตู เขาก็ปิดบังชื่อแซ่ขึ้นเหนือ ในดินแดนรกร้างเต็มไปด้วยหิมะ เขาต่อสู้กับเผ่ามารนานห้าปี

หลัวปู้ก็คือชิวซานจวิน

เขาคือแม่ทัพใหญ่แห่งผาชันและเป็นต้นสนแห่งหลีซาน

……

……

ก่อนหน้านี้ประมุขผู้เฒ่าตระกูลถังได้พูดกับเฉินฉางเซิงว่าช่วงไม่กี่ปีมานี้มีคนนอกแค่ห้าคนเข้ามาในจวนเก่า

ในช่วงไม่กี่ปีมานี้ คนที่โดดเด่นที่สุดในโลกมนุษย์ มีศักยภาพมากที่สุด ก็บังเอิญมีห้าคนเช่นกัน

ซูหลี หวังผ้อ สวีโหย่วหรง เฉินฉางเซิงและคนสุดท้ายย่อมต้องเป็นชิวซานจวิน

ยิ่งไปกว่านั้น ด้วยความสัมพันธ์ระหว่างตระกูลของพวกเขา นอกจากหวังผ้อแล้ว เขาเป็นคนที่เข้าจวนเก่าบ่อยที่สุด

“เจ้ามาทำอะไร” ประมุขผู้เฒ่าตระกูลถังถาม

ชิวซานจวินตอบ “วันนี้ข้ามาเพื่อทวงคำสัญญาที่ท่านมีต่ออาจารย์ปู่เล็ก”