ตอนที่ 2218 ง่ายดายที่สุดในโลก!

อัจฉริยะสมองเพชร

ในสรวงสวรรค์ก็มีความแตกต่างไม่น้อยระหว่างศิษย์ธรรมดากับศิษย์สายตรง

ถึงจางเซวียนจะไม่ได้รับเขาเป็นศิษย์สายตรง แต่จัวเหยียนก็ยินดีปรีดาแล้วที่ได้เป็นศิษย์ของอาจารย์ผู้เก่งกาจระดับนี้

“ในเมื่อคุณเรียกขานผมว่าอาจารย์ ผมก็ควรถ่ายทอดอะไรให้คุณบ้าง” จางเซวียนส่งโทรจิตหาจัวเหยียน “ผมจะให้เทคนิควรยุทธที่เหมาะสมกับสภาวะร่างกายของคุณ ขอแค่คุณขยันหมั่นเพียรฝึกฝนตามนั้น ในอนาคตคุณก็มีโอกาสที่จะได้เป็นเทพเจ้าสวรรค์สร้าง”

จางเซวียนคุ้นเคยดีกับเทคนิควรยุทธที่ต่ำกว่าระดับเทพเจ้าสวรรค์สร้างลงไป ซึ่งตอนที่เขาใช้หอสมุดเทียบฟ้าตรวจสอบสภาวะร่างกายของจัวเหยียนก่อนหน้านี้ ก็ได้ความคิดบางอย่าง

จางเซวียนใช้เวลาไม่นานก็เสร็จสิ้นการถ่ายทอดเทคนิควรยุทธให้เด็กหนุ่ม

หลังจากซึมซับรายละเอียดทั้งหมดแล้ว จัวเหยียนตาโตด้วยความยินดีปรีดา เขารีบโค้งคำนับอย่างงามให้จางเซวียนอีกครั้งเพื่อแสดงความสำนึกในบุญคุณ

วรยุทธของเขาอาจอ่อนด้อย แต่เขาก็มาจากตระกูลผู้ทรงเกียรติและมีโอกาสได้สัมผัสกับเทคนิคการต่อสู้อันไร้เทียมทานมากมาย แต่ในแง่ของความเป็นสุดยอด ไม่มีเทคนิคไหนเทียบได้กับสิ่งที่ท่านอาจารย์เพิ่งถ่ายทอดให้

ขอแค่เขาตั้งใจฝึกฝน ก็คงฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นนักรบระดับเทพเจ้าขั้นสูงได้สำเร็จ และในอนาคตอันใกล้ก็คงพัฒนาได้มากกว่านี้!

มูลค่าของเทคนิควรยุทธที่ไร้เทียมทานนั้นเรียกได้ว่าประเมินค่ามิได้!

แต่อีกฝ่ายมอบให้เขาโดยไม่เรียกร้องสิ่งใดตอบแทน…นี่คือครูบาอาจารย์ที่แท้จริง!

เขาเป็นคนไม่เอาไหนในสายตาของใครๆตลอดมา นี่เป็นครั้งแรกที่ใครคนหนึ่งให้คุณค่าตัวเขา ซึ่งนั่นทำให้เขาเกิดความรู้สึกสับสนปนเปที่อธิบายได้ยาก

จางเซวียนเดินเข้าไปพยุงชายหนุ่มให้ลุกขึ้น

วิ้งงงง!

หอสมุดเทียบฟ้ากระตุก หน้าหนังสือสีทองหน้าหนึ่งปรากฏ

จางเซวียนตาโต

ดูเหมือนการเดินทางมาสภาปรมาจารย์ของเขาจะไม่สูญเปล่า หน้าหนังสือสีทองหน้านี้จะช่วยคุ้มกันตัวเขาจากผู้เชี่ยวชาญส่วนใหญ่ในสรวงสวรรค์ได้

ไม่เพียงเท่านั้น การได้สัมผัสกับสภาปรมาจารย์ของสรวงสวรรค์และรูปแบบการสอนของปรมาจารย์คนอื่นๆก็ทำให้เขาได้รับความรู้ความเข้าใจใหม่เกี่ยวกับการศึกษา และได้เข้าถึงความสัมพันธ์ระหว่างอาจารย์กับลูกศิษย์ด้วย

จ้าวหย่าเป็นคนถือเนื้อถือตัว การถ่ายทอดความรู้แบบกระชับรัดกุมจึงดีที่สุด เจิ้งหยางเป็นคนตรงไปตรงมาและไม่กลัวใคร จึงเหมาะกับการถ่ายทอดความรู้แบบตรงเข้าประเด็น หวังหยิ่งมีนิสัยละเอียดอ่อนและช่างสังเกต รายละเอียดต่างๆจึงสำคัญกับเธอเมื่อเธออยากเรียนรู้อะไรสักอย่าง หยวนเทาเป็นคนใจกว้างและไม่ชอบเรื่องจุกจิก การถ่ายทอดความรู้แบบเน้นภาพรวมจึงเหมาะกับเขา ส่วนหลิวหยางไม่ได้มีความแข็งแกร่งหรือข้อบกพร่องใดๆเป็นพิเศษ แต่มีหัวใจเด็ดเดี่ยวมุ่งมั่นเหมือนจัวเหยียน…

บุคลิกลักษณะเฉพาะตัวของลูกศิษย์แต่ละคนของจางเซวียนลอยเข้ามาในหัว ทำให้เขายิ้มออก

ลู่ชงเป็นคนดื้อดึงและมีน้ำอดน้ำทน ซึ่งหากตัดสินใจสิ่งใดแล้ว ก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนใจเขาได้

เว่ยหรูเหยียนเป็นคนเย็นชาและชอบเก็บงำความรู้สึก เธอจะเปิดเผยความรู้สึกที่แท้จริงกับคนที่สนิทสนมด้วยเท่านั้น ความเป็นความตายของผู้ที่อยู่ไกลตัวไม่เคยทำให้เธอใส่ใจ

จางจิ่วเซี่ยวออกจะทะเยอทะยานอยากประสบความสำเร็จ ซึ่งหลังจากได้เป็นลูกศิษย์ของเขา ก็ประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่

ขงซือเหยามาจากตระกูลดัง และนั่นทำให้เธอมองสิ่งต่างๆจากมุมมองที่สูงส่งกว่าคนอื่นๆ

ตั้นเฉี่ยวเทียนไร้เดียงสาและมองโลกในแง่ดี แม้จะอยู่ท่ามกลางความขัดแย้ง ก็รับมือกับมันได้โดยไม่สูญเสียความเป็นตัวของตัวเอง น้ำใจและความบริสุทธิ์ของเขาถือเป็นเพชรล้ำค่าที่หายากในโลกใบนี้

ไป๋เหรินชิงเหมือนกับลู่ชงเรื่องการตัดสินใจเด็ดเดี่ยวมุ่งมั่น แต่ไม่เหมือนตรงที่เธอไม่เคยระงับอารมณ์และความรู้สึกของตัวเอง มักแสดงทุกอย่างออกมาชัดเจนเสมอ ไป๋เหรินชิงจึงไม่เคยเก็บงำความแค้นฝังใจกับใคร เธอเลือกที่จะโอบกอดความหวังไว้มากกว่า

ลูกศิษย์แต่ละคนของจางเซวียนมีบุคลิกและนิสัยเฉพาะตัว เขาจึงออกแบบเทคนิควรยุทธและวิธีการฝึกฝนที่เหมาะสมกับความต้องการของแต่ละคน ดูแลทุกคนเป็นการส่วนตัว แม้เวลาที่เขาใช้ไปกับบรรดาลูกศิษย์จะมีจำกัด แต่การลงทุนลงแรงนั้นถือว่ามากมาย

เขาไม่ได้สอนลูกศิษย์ด้วยความหวังว่าในอนาคตจะได้สิ่งตอบแทน เพราะสายสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาถือเป็นผลตอบแทนอันยิ่งใหญ่ที่สุดแล้ว

ทั้งหมดที่จางเซวียนหวังก็คือหวังว่าลูกศิษย์ทุกคนของเขาจะประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ในอนาคตเพราะความรู้ต่างๆที่เขาถ่ายทอดให้

นี่คือความหมายที่แท้จริงของการเป็นครูบาอาจารย์ เป็นความสัมพันธ์ที่บริสุทธิ์ที่สุดระหว่างครูกับลูกศิษย์คนหนึ่ง

“ดอกไม้ไม่ได้ร่วงลงจากต้นเพราะมันไร้หัวใจ แต่มันตั้งใจปล่อยตัวเองให้ร่วงลงสู่ผืนดินของฤดูใบไม้ผลิเพื่อบ่มเพาะดอกไม้รุ่นต่อไป…” จางเซวียนพึมพำ

ฟิ้ววววว!

พลังจิตวิญญาณพุ่งเข้าหาจางเซวียนด้วยความเร็วดุเดือด ยังไม่ทันที่ใครจะรู้ตัว เขาก็ก้าวข้ามด่านคอขวดขั้นสุดท้าย เข้าสู่วรยุทธระดับเทพเจ้าสวรรค์สร้าง

“เขาได้เป็นเทพเจ้าสวรรค์สร้างแล้ว?”

“แต่เมื่อครู่นี้เขาไม่ได้ทำอะไรเลยนะ!”

“ผมลำบากลำบนแทบตายเพื่อให้สำเร็จวรยุทธระดับเทพเจ้าสวรรค์สร้าง แต่ทำไมสำหรับเขา…ทุกอย่างถึงง่ายดายนัก?”

“สงสัยเหลือเกินว่าแรงบันดาลใจแบบไหนที่ทำให้เขาฝ่าด่านวรยุทธได้ปุบปับแบบนั้น…”

ทุกคนงงจนพูดไม่ออกกับภาพที่เห็นตรงหน้า

การได้เป็นเทพเจ้าสวรรค์สร้างคือเป้าหมายที่นักรบส่วนใหญ่หมายตาและทุ่มเททั้งชีวิตเพื่อไขว่คว้า ความยากเย็นของการฝ่าด่านวรยุทธนั้นไม่ใช่เรื่องเล่นๆ พวกเขาต้องใช้เวลาเตรียมตัวหลายปี แถมด้วยทรัพยากรกองใหญ่เป็นภูเขาเลากาเพื่อพยายามฝ่าด่านวรยุทธ แต่ถึงอย่างนั้น ทั้งกระบวนการก็ยังเต็มไปด้วยอันตราย

แต่ชายหนุ่มคนนี้ฝ่าด่านวรยุทธได้ขณะที่กำลังสนทนากับพวกเขา!

นี่คงเป็นการฝ่าด่านวรยุทธที่หักมุมและง่ายดายที่สุดในโลก!

พลังงานสวรรค์ไหลเวียนไปตามทางเดินพลังปราณของจางเซวียนเหมือนน้ำที่ไหลเอื่อยอยู่ในลำธารสงบนิ่ง เกิดเสียงกรุ๋งกริ๋งราวกับระฆัง

จางเซวียนกำลังอยู่ในสภาวะที่ตัวเขาอธิบายได้ยาก

ความสัมพันธ์ที่บริสุทธิ์ที่สุดระหว่างอาจารย์กับลูกศิษย์ทำให้ทั้งสองฝ่าย ‘ให้’ กันและกันโดยปราศจากความเห็นแก่ตัว มีแต่ความผูกพันเหนียวแน่นที่ไร้ความละโมบและความเย้ายวนใจอื่นๆเท่านั้นที่จะคงความแข็งแกร่งและเด็ดเดี่ยวไว้ได้

ในตอนแรก เขารับหวังหยิ่งกับลูกศิษย์คนอื่นๆไว้เพียงเพื่อไม่ให้ตัวเองถูกไล่ออกจากโรงเรียนหงเทียน แต่หลังจากที่ได้รู้จักทุกคนดีขึ้น ความรู้สึกที่จางเซวียนมีให้เด็กๆเหล่านั้นก็ล้ำลึกขึ้นเรื่อยๆ ยังไม่ทันที่เขาจะรู้ตัว เขาก็จมดิ่งลงไปในหลุมดำแบบถอนตัวไม่ขึ้น

สำหรับลูกศิษย์ของเขา เขาเต็มใจให้ทุกอย่าง และเด็กๆเหล่านั้นก็พร้อมเสียสละตัวเองเพื่อเขาเช่นกัน

นี่คือสายสัมพันธ์ซึ่งก่อเกิดจากความรู้สึกล้ำลึกของทั้งสองฝ่าย แม้จะไม่ได้มีสายเลือดเดียวกัน แต่ความผูกพันกลับเหนียวแน่นกว่านั้น

ดอกไม้ไม่ได้ร่วงหล่นจากต้นเพราะมันไร้หัวใจ แต่มันตั้งใจปล่อยให้ตัวเองร่วงลงสู่ผืนดินของฤดูใบไม้ผลิเพื่อบ่มเพาะดอกไม้รุ่นต่อไป

ขณะที่พลังจิตวิญญาณไหลเวียนไปทั่วร่างของจางเซวียน ทั้งจิตวิญญาณ กายเนื้อ และพลังปราณของเขาก็ได้รับการขัดเกลาอย่างรวดเร็ว จางเซวียนรีบกลืนยาเม็ดแก่นสารเทพเจ้าขั้นกลางที่เหลือลงไปเพื่อให้มั่นใจว่าจะมีพลังงานมากพอสำหรับการฝ่าด่านวรยุทธ

เพราะวรยุทธของเขาเพิ่มสูงขึ้น สภาวะร่างกายจึงเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ด้วย

“นายน้อยยังเจ๋งเหมือนเดิม” ซุนฉางเปรยอย่างภาคภูมิใจ

ไม่ว่าจะเป็นในทวีปแห่งปรมาจารย์ มิติเบื้องบน หรือสรวงสวรรค์ นายน้อยของเขาก็ยังเป็นดวงดาวที่เจิดจรัสแจ่มจ้าที่สุด

นายน้อยเหมือนหิ่งห้อย เขาปล่อยแสงเจิดจ้าที่ทำให้เป็นจุดสนใจของผู้คนในทุกหนแห่งที่ไป ราวกับไม่มีอะไรในโลกนี้จะบดบังความเจิดจรัสของเขาได้

ทุกคนที่อยู่ในห้องพากันจับจ้องจางเซวียนด้วยสีหน้าต่างๆกันไป มีทั้งตกตะลึง อิจฉาตาร้อน และยำเกรง

ส่วนผู้ที่ดีอกดีใจที่สุดในห้องก็ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากจัวเหยียน เขารู้สึกว่าตัวเองส้มหล่นครั้งใหญ่ที่ได้พบคนแบบนี้ และตัดสินใจแล้วว่าจะตั้งใจฝึกฝนอย่างหนักต่อไปเพื่อไม่ให้ท่านอาจารย์ต้องอับอาย

เขาจะขยันหมั่นเพียรฝึกฝนจนประสบความสำเร็จแบบที่ท่านพ่อก็ยังทำไม่ได้ ต่อให้จางเซวียนก็จะต้องประหลาดใจเมื่อได้พบตัวเขาอีกครั้ง

แต่แน่นอนว่านั่นเป็นเรื่องของอนาคต

“เทพเจ้าสวรรค์สร้างเป็นแบบนี้นี่เอง” จางเซวียนพึมพำเมื่อพลันเข้าใจกระจ่าง

ตอนที่เขาได้เป็นเทพเจ้า พลังปราณของเขาปรับตัวเข้ากับอำนาจของสรวงสวรรค์จนกลายเป็นพลังงานสวรรค์ และเมื่อเขาก้าวข้ามขีดจำกัดเดิมจนได้เป็นเทพเจ้าสวรรค์สร้าง พลังงานสวรรค์นั้นก็แปรสภาพไปเป็นพลังงานสวรรค์สร้าง

การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ก่อให้เกิดความแตกต่างใหญ่หลวงในเรื่องพละกำลัง

เทพเจ้าสวรรค์สร้างสามารถเข้าถึงเสี้ยวหนึ่งของพลังโดยธรรมชาติของสรวงสวรรค์ได้ และถึงแม้พลังที่พวกเขาเรียกมาได้จะมีจำกัด แต่ก็สามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงให้เกิดกับสภาพแวดล้อม

แต่สำหรับนักรบระดับเทพเจ้า พวกเขาต้องพึ่งพาวรยุทธของตัวเองเท่านั้น

จางเซวียนรู้สึกได้ว่าตัวเองแข็งแกร่งกว่าเดิม แม้ที่ผ่านมาเขาจะเผชิญหน้ากับนักรบระดับเทพเจ้าสวรรค์สร้างขั้นกลางด้วยความยากลำบาก แต่ด้วยพละกำลังที่มีอยู่ในเวลานี้ ก็มั่นใจว่าจะต่อสู้ได้อย่างสมน้ำสมเนื้อแม้แต่กับนักรบระดับเทพเจ้าสวรรค์สร้างขั้นสูง!

ยิ่งไปกว่านั้น ชีวิตของเขาจะเปลี่ยนไปด้วย อายุขัยจะเพิ่มขึ้นจาก 100 ปีไปเป็น 1,000 ปี

พันปีในสรวงสวรรค์เทียบเท่ากับ 1 ล้านปีในทวีปแห่งปรมาจารย์ ซึ่งแม้แต่ประวัติศาสตร์ของทวีปแห่งปรมาจารย์ก็ยังมีมาไม่ยาวนานขนาดนั้น…

หากมองด้วยมุมมองของผู้คนในทวีปแห่งปรมาจารย์ ตัวเขาก็เรียกได้ว่าเป็นอมตะ

เมื่อคิดขึ้นได้ จางเซวียนเพ่งสมาธิเข้าสู่การรับรู้จิตวิญญาณและใช้ประสาทสัมผัสสำรวจจนทั่ว เขาพบว่าสามารถรับรู้ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในรัศมี 100 เมตรได้อย่างชัดเจน

เพราะจางเซวียนกินยาเม็ดแก่นสารเทพเจ้าขั้นกลางที่เหลืออยู่ไม่มากจนหมดแล้ว จึงไม่อาจยกระดับวรยุทธให้สูงกว่านี้ได้อีก เขาระบายลมหายใจยาวและค่อยๆลืมตา

เป็นอีกครั้งที่เขาขาดแคลนทรัพยากรสำหรับการฝึกฝนวรยุทธ

ถ้าเขามียาเม็ดแก่นสารเทพเจ้ามากพอและหาวิธียกระดับวรยุทธให้จิตวิญญาณและกายเนื้อได้ ก็น่าจะสามารถผลักดันวรยุทธไปจนได้เป็นเทพเจ้าสวรรค์สร้างขั้นสูง และอาจทำได้ถึงขั้นฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นราชันย์เทพเจ้า!