เมื่อได้ยินเอ่ยถามออกมาเช่นนี้ ใบหน้าของปี้อิ่งก็เผยร่องรอยของความประหลาดใจออกมา แต่หลังจากที่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก็ถอนหายใจออกมาแล้วตอบกลับ

“เซียนจื่อไม่ได้เอ่ยผิดไป ที่สูญเสียไปนั้นไม่ใช่กายเดิมของนักพรตเซวี่ยซา แต่ว่าเป็นกายที่หลอมขึ้นมาเท่านั้น ข้าเองก็ได้ข่าวก่อนที่จะเข้ามายังดินแดนนี้ไม่นาน ก่อนหน้านั้นนักพรตเซวี่ยซาในตอนที่กำลังผจญภัยเกิดอุบัติเหตุเข้า ถึงแม้ว่าร่างจะปลอดภัยดี แต่พลังลมปราณเสียหายอย่างหนัก ก็เลยส่งร่างจุติมาแทน ร่างจุติแปลงกายนี้เป็นนักพรตเซวี่ยซาหลอมรวมขึ้นมาหลายหมื่นปีก่อนหน้านี้ มาตอนนี้สูญเสียไปท่ามกลางการต่อสู้ของผู้แข็งแกร่งเช่นนี้ ชายชราเองก็ไม่รู้ว่าจะกลับไปอธิบายกับสหายเก่าผู้นี้เช่นไรดี”

“เพียงแค่ร่างจุติที่ถูกทำลายลงเท่านั้น อย่างไรแล้วก็ดีกว่ากายเดิมของนักพรตเซวี่ยซาที่ถูกทำลายลงหลายเท่านัก ข้าเชื่อว่าถ้าหากกลับไปแล้ว พี่ปี้ชดเชยให้แก่พี่เซวี่ยซามากหน่อย ก็คงสามารถปลอบประโลมได้อยู่” ชายชุดเกราะสีเงินเมื่อเก็บประจุสายฟ้ารอบผิวกายกลับมา ก็ลุกขึ้นยืนแล้วเอ่ยออกมาประโยคหนึ่ง

เขาในเวลานี้ สีหน้าดีกว่าเมื่อก่อนมากนัก

“หวังว่าจะเป็นเช่นนี้แล้วกัน พี่เหลย ท่านไม่เป็นอะไรจริงๆ ใช่หรือไม่ ต้องการให้ข้าช่วยเหลือหรือไม่” ปี้อิ่งส่ายศีรษะออกมา แล้วมองไปยังชายชุดเกราะสีเงินที่หัวของภูตผีสีดำยังคงกัดอยู่ที่ไหล่ของเขา เอ่ยถามออกอย่างห่วงใยอยู่หลายส่วน

“ไม่เป็นอะไร ปีศาจเหล่านี้ไม่อาจที่จะเอาออกได้ในทันที รอข้ากลับไปใช้เวลามากขึ้นสักเล็กน้อย ก็สามารถใช้เพลิงชะตาชีวิตแท้ค่อยๆ เอาพวกมันออกมา แต่ว่าการต่อสู้ในครั้งนี้ ทำให้เสียสมบัติล้ำค่าที่ใช้ปกป้องชีวิตไปหลายชิ้น” ชายหนุ่มชุดเกราะเอ่ยออกมาด้วยรอยยิ้มขมขื่น

“นักพรตเหลย คู่ต่อสู้ของท่านใช้อิทธิฤทธิ์แบบใดกัน ถึงขั้นบีบบังคับท่านมาจนถึงก้าวนี้ได้” หานลี่ในที่สุดก็เอ่ยถามออกมาด้วยความสงสัย

“อิทธิฤทธิ์อื่นของหญิงสาวคนนั้นไม่นับว่ามีอะไร มีเพียงแค่เคล็ดวิชาที่ใช้ขับเคลื่อนผีได้เท่านั้นที่ทำให้ผู้อื่นปวดหัวขึ้นมา เงาของภูตผีเหล่านี้เมื่อไม่มีเงาไม่มีรูปร่างแล้ว ก็อยู่ติดกับกายของหญิงสาวคนนี้ในทันที ทำให้ร่างกายของเธอกลายเป็นไม่มีทางที่จะถูกทำร้ายได้เลย ข้าพยายามใช้เคล็ดวิชาทั้งหมดที่มีแล้ว แต่ก็ยังไม่อาจทำลายอิทธิฤทธิ์นี้ได้ ก็เลยจำใจต้องยอมแพ้แล้วหนีออกมา” ชายชุดเกราะสีเงินเอ่ยออกมาด้วยความไม่เต็มใจ

“เงาภูตผี ดูเหมือนว่านี้จะเป็นสิ่งที่เรียกว่าความพิเศษของวรยุทธ์ในแดนยมโลก พี่เหลยเผชิญหน้ากับอิทธิฤทธิ์ที่แปลกประหลาดเช่นนี้เป็นครั้งแรก ต่อให้พ่ายแพ้ไปก็นับว่าเป็นเรื่องที่มีเหตุผลอยู่” เหวินซินเฟิ่งเอ่ยปลอบประโลมด้วยน้ำเสียงอบอุ่น

ชายชุดเกราะสีเงินส่ายศีรษะออกมา แต่ก็ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมาอีก

“แพ้ชนะได้ตัดสินไปแล้ว พวกเราก็ไม่จำเป็นต้องอยู่ที่นี่ต่อไปแล้ว รีบกลับไปยังฐานที่ตั้งกันเดี๋ยวนี้เถอะ ต่อไปก็เพียงแต่รอคอยอย่างเงียบสงบสักหลายวัน คอยดูว่าพวกภูตผีเหล่านี้ทำตามที่สัญญาจริงหรือไม่ก็พอแล้ว พวกเราไปกันเถอะ”

ปี้อิ่งส่งเสียงเรียกทุกคน แล้วเก็บกระดานหมากรุกเข้ามาในทันที จากนั้นก็เป็นผู้นำทุกคนกลับมา

คนอื่นๆ แน่นอนว่าบินตามติดมา

หลังจากนั้นหนึ่งเดือน ตรงทะเลสาบลึกลับแห่งหนึ่ง พื้นผิวทะเลสาบสีเขียวที่ดูเหมือนว่าจะเงียบสงบก็แตกกระจายออกมาราวกับกระจก เรือยักษ์สีดำก็พุ่งออกมาจากในนั้น หลังจากที่แวบวาบไปมาแล้ว ก็ปรากฏขึ้นตรงสุดขอบฟ้า หลังจากที่พร่ามัวขึ้นอีกครั้ง ก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย

บนเรือลำยักษ์สีดำนั้น หุ่นเชิดวรยุทธ์สูงกำลังเดินลาดตระเวนไปมาทั้งสองด้านของเรือ

ส่วนในส่วนลึกของเรือยักษ์ ภายในห้องลับที่มีชั้นของเขตต้องห้ามเป็นชั้นๆ อยู่ หานลี่กำลังนั่งทำสมาธิอยู่บนฟูก ในมือถือแผ่นหยกสีเงินจางๆ อยู่ ครุ่นคิดเงียบเชียบไม่ส่งเสียงอันใดออกมา

ในตอนที่การต่อสู้ของผู้แข็งแกร่งจบลงไปไม่นาน เขาก็ติดตามกลับไปยังหอสะสมคัมภีร์ซึ่งเป็นที่ตั้งของสาขาหลักของกลุ่มพันธมิตรการค้า ในที่สุดปี้อิ่งก็ทำตามสัญญา ส่งมอบเคล็ดวิชาลับของตระกูลเซียนให้แก่เขา

เคล็ดวิชาลับแดนเซียนนี้เรียกว่า “หยวนกังจ้าว” เมื่อเขาได้ยินอีกฝ่ายแนะนำออกมาโดยประมาณแล้ว ในที่สุดก็ตัดสินใจเลือกออกมา

เมื่อเทียบกับเคล็ดวิชาลับแนวโจมตีของตระกูลอื่นแล้ว หานลี่ที่มีอิทธิฤทธิ์ศักดิ์สิทธิ์และดาบสังหารวิญญาณสวรรค์ทมิฬอยู่ในมือ ก็ไม่ได้ขาดวิธีการโจมตี แต่หยวนกังจ้าวชื่อนี้เมื่อฟังแล้วดูเหมือนจะง่ายดาย แต่จริงๆ แล้วกลับเป็นวิชาควบคุมพลังของสวรรค์และโลกเพื่อสร้างการป้องกัน

ถึงแม้ว่าจะไม่รู้ว่าจะมีพลังเพียงไหน แต่ในเมื่อเป็นเคล็ดวิชาลับจากแดนเซียนแล้วจะต้องมีความพิเศษอยู่บ้าง

มีเพียงความยุ่งยากเดียวก็คือ…แววตาของหานลี่เป็นประกายขึ้นมา ถือแผ่นหยกเอาไว้ในมือ นิ้วมือหนึ่งชี้ลงไปในนั้น

ชั่วขณะนั้นแผ่นหยกก็ส่งเสียงดังหึ่งๆ ออกมา ชิ้นส่วนของอักษรจ้วนทองลอยออกมาจากด้านในนั้น หลังจากที่หมุนวนอย่างรวดเร็วแล้ว ก็ก่อตัวขึ้นเป็นคัมภีร์หนาแน่นอยู่กลางอากาศด้านหน้าของเขา

อักษรจ้วนทองเหล่านี้ปรากฏออกมาให้เห็น และก็กะพริบวาบขยายใหญ่หดเล็กไม่นิ่ง ราวกับว่ามีจิตวิญญาณอยู่ในนั้น แสดงให้เห็นถึงเอกลักษณ์ของอักษรจ้วนทองของแดนเซียน

ดวงตาของหานลี่หรี่ลงเล็กน้อย หลังจากที่มองไปยังคัมภีร์นี้ระยะหนึ่งแล้ว ก็ขมวดคิ้วขึ้นแล้วส่ายหัวไปมา

ถึงแม้ว่าอักษรจ้วนทองเหล่านี้ส่วนใหญ่แล้วเขาจะรู้จักหมด แต่เมื่อรวมกันเป็นประโยคแล้ว ความหมายกลับดูคลุมเครือยากที่จะเข้าใจ คาดว่าถ้าหากต้องการจะเข้าใจให้ถ่องแท้แล้ว ก็คงจะไม่ใช่เรื่องที่จะทำได้ในระยะเวลาอันสั้น

หานลี่ในใจคิดออกมาเช่นนี้ นิ้วมือก็ชี้ลงไปยังแผ่นหยกอีกครั้ง

“ปัง” ดังออกมา ม้วนคัมภีร์สีทองกลางอากาศพร่ามัวแล้วหายไปในอากาศ

หานลี่ครุ่นคิดถึงเรื่องของไฟ มือข้างหนึ่งพลิกขึ้นมา แผ่นหยกสีแดงอีกแผ่นหนึ่งปรากฏขึ้นในมือของเขา

และเมื่อใช้นิ้วมือลูบลงไปยังแผ่นหยกนี้สองครั้ง ใบหน้าก็เต็มไปด้วยความยินดี

แผ่นหยกนี้เป็นสมบัติล้ำค่าที่เขาได้มาจากเสื้อคลุมอรหันต์เทียนติ่งจากพระราชวังเทียนติ่งในวันนั้น

เขาแต่เดิมต้องการเพียงแต่คัดลอกคาถาที่บันทึกไว้ในนั้น แต่ปิงพั่วกลับรู้สึกขอบคุณสำหรับความช่วยเหลือของเขา จึงได้นำแผ่นหยกนี้มอบให้แก่เขา

แผ่นหยกนี้บันทึกเคล็ดวิชาระดับสูงเอาไว้อยู่เช่นกัน เป็นเคล็ดวิชาฝึกฝนพลังสายฟ้าที่อรหันต์เทียนติ่งได้รับมาในปีนั้น

หานลี่เองก็มีพลังขับไล่ปีศาจของสายฟ้าในระดับสูงด้วยเช่นกัน ว่าไปแล้วเคล็ดวิชานี้จึงเหมาะสำหรับเขาแล้ว

และเมื่อเทียบกับเคล็ดวิชาลับแดนเซียนหยวนกังจ้าวแล้ว เคล็ดวิชานี้กลับเข้าใจได้ง่ายกว่ามาก

หานลี่นำแผ่นหยกนี้วางลงบนหน้าผาก แล้วเริ่มทำความเข้าใจกับมันอย่างเงียบๆ เหมือนกันกับก่อนหน้านี้

ก่อนหน้านั้นหนึ่งปีกว่า เขาได้ทำความเข้าใจกับเคล็ดวิชานี้ไปกว่าครึ่งแล้ว คาดว่าใช้เวลาอีกเพียงแค่ครึ่งปีก็จะสามารถเข้าใจเคล็ดวิชานี้ได้ทั้งหมด เมื่อถึงเวลานั้นก็สามารถเริ่มฝึกฝนวิชาสายฟ้าปราบมารได้แล้ว

เมื่อในใจของหานลี่คิดอกมาเช่นนี้แล้ว เขาก็ใช้จิตสัมผัสกวาดมองไปยังแผ่นหยก ขณะเดียวกันดวงตาทั้งสองก็ปิดลง เริ่มต้นทำความเข้าใจต่อไป

เรือลำยักษ์สีดำก็ยังคงแล่นต่อไปยังทิศทางที่กำหนดเอาไว้แล้ว

ในขณะเดียวกัน ภายในห้องโถงใหญ่ของทะเลสาบยักษ์เบื้องล่าง ปี้อิ่งที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ ใบหน้ากำลังครุ่นคิดถึงอะไรบางอย่าง

เบื้องหน้าของเขา มีสี่ผู้อาวุโสของกลุ่มพันธมิตรการค้าในชุดที่แตกต่างกันออกไปอยู่

เหวินซินเฟิ่งเองก็รวมอยู่ในนี้ด้วย เอ่ยออกมาช้าๆ

“เช่นนี้แล้ว สำนักโลหิตกระดูกการกระทำของพวกเขาครั้งนี้รวดเร็วยิ่งนัก ถึงกับจับปีศาจชั่วร้ายได้เร็วถึงเพียงนี้

“ใช่แล้ว ได้ยินมาว่าสำนักโลหิตกระดูกเป็นผู้นำของหลายสำนักใหญ่ รวบรวมมหายานสิบสองท่าน สร้างเขตอาคมกักขังปีศาจเอาไว้ในถนนที่ปีศาจร้ายนั้นจะเดินทางเอาไว้ก่อน จากนั้นก็ใช้อาคมดึงดูดให้มันเข้าไปยังในนั้น จากนั้นก็ลงมือพร้อมกัน แต่ว่าไม่รู้ว่ามีจุดประสงค์ใด พวกเขาถึงได้ส่งเทียบเชิญมาให้ชายชรา เชิญให้ข้าจับตาดูการต่อสู้กับปีศาจในครั้งนี้ ใช่แล้ว ได้ยินมาว่ายังเชิญท่านเหอต้าจากหุบเขาลั่วเทียน ฮูหยินหลิงอวิ๋นจากเขาวั่นกู่” ปี้อิ่งเอ่ยออกมาด้วยท่าทางที่ไม่เปลี่ยนไป

“หืม ยังจะมีจุดประสงค์ใด สำนักเซวี่ยเต้าพวกนี้มักจะมีใจหวาดระแวงพวกเราอยู่เสมอ กว่าครึ่งแล้วก็คงจะคิดอาศัยการต่อสู้ในครั้งนี้แสดงพลังของตนเองออกมาให้พวกเราได้เห็น ไม่เช่นนั้นแล้วผู้อาวุโสจวินก็ล่วงลับไปแล้ว เหตุใดยังต้องมาเชิญพี่ปี้ให้ไปอีกสักรอบหนึ่งด้วยตนเองอีก” ชายชราสวมชุดคลุมสีเขียวเอ่ยออกมาพร้อมกับพ่นลมหายใจ

“แต่ไม่ว่าจะอย่างไร สำนักกระดูกโลหิต สำนักเซวี่ยเต้าก็ยังคงเป็นกองกำลังที่ใหญ่ที่สุดในแผ่นดินใหญ่ของเรา ข้าเองก็ไม่อาจที่จะปฏิเสธเรื่องนี้ได้ พี่มู่ หุบเขาลั่วเทียนและเขาวั่นกู่จัดการเรื่องนี้อย่างไรกัน” เหวินซินเฟิ่งขมวดคิ้วแล้วเอ่ยถามออกมา

“จากข้อมูลที่สืบถามมา ท่านเหอต้าและฮูหยินหลิงอวิ๋นต่างก็รับปากที่จะไปดูการต่อสู้นี้แล้ว” ชายชราชุดคลุมสีเขียวเอ่ยตอบออกมาอย่างไม่ต้องคิด

“ในเมื่อทั้งสองท่านได้รับปากแล้ว ชายชราเองก็คงจะไม่อาจปฏิเสธออกไปได้ ไม่เช่นนั้นหากว่าตกไปอยู่ในสายตาของผู้อื่นแล้ว จะเสียหายไปถึงหน้าตาของกลุ่มพันธมิตรเราได้ เอาหล่ะ จัดเตรียมเขตอาคมส่งตัว อีกไม่กี่วันข้าจะออกเดินทางไปดูสักหน่อย ข้าเองก็สงสัยเหมือนกันว่าปีศาจร้ายตัวนี้สังเวยโลหิตไปมากถึงเพียงนี้ตกลงแล้วใช้วิธีการใดกัน ถึงกลับกล้าที่จะทำเรื่องที่ทำให้ทวยเทพโกรธเช่นนี้ได้” หลังจากที่ปี้อิ่งครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดก็ยกมือขึ้นตบลงบนโต๊ะแล้วเอ่ยออกมา

“ในเมื่อพี่ปี้ตัดสินใจแล้ว ข้าเองก็คงจะไม่ดีนักที่จะขัดขวาง เพียงแต่เผื่อเอาไว้ พี่ปี้อย่างไรแล้วก็ระวังตัวเอาไว้บ้าง” หลังจากที่เหวินซินเฟิ่งพยักหน้าแล้ว ก็เอ่ยเตือนออกมาอย่างเคร่งขรึมประโยคหนึ่ง

“วางใจได้ ข้าเพื่อการต่อสู้ของผู้แข็งแกร่งแล้ว เดิมก็เตรียมวิธีการรักษาชีวิตเอาไว้หลายอย่างแล้ว ล้วนแต่ไม่ได้ใช้ในการต่อสู้ในครั้งนั้นเลย และต่อให้จะพบเจออันตรายอะไรที่นั่น ก็ยังพอที่จะมีทางหลบหนีอยู่บ้าง”

ปี้อิ่งยิ้มออกมาเล็กน้อยแล้วเอ่ยตอบกลับ

เมื่อได้ยินปี้อิ่งเอ่ยออกมาเช่นนี้ เหวินซินเฟิ่งและคนอื่นๆ ถึงได้สงบใจลงได้

ถัดมา ปี้อิ่งและผู้อาวุโสในกลุ่มพันธมิตรทั้งหลายก็ปรึกษากันถึงเรื่องของการใช้ทรัพยากรในดินแดนเล็กๆ คนอื่นๆ ก็ทยอยกันบอกลาแล้วออกจากห้องโถงไป

เหลือเพียงแค่ปี้อิ่งคนเดียวนั่งเงียบๆ อยู่บนเก้าอี้

แต่ว่าชายชราในเวลานี้ รอยยิ้มบนใบหน้าพากันหายไปจนหมด กลับกันสีหน้าเปลี่ยนไปดูมืดมนไม่มั่นคงขึ้นมา

“ความลับสวรรค์แตกออกมาแล้ว ด่านเคราะห์ครั้งใหญ่ก็คงจะอยู่ไม่ไกลแล้วถึงจะถูก เดิมนั้นคิดว่าคงจะเกี่ยวข้องกับราชายมโลกทั้งสิบ แต่ว่าข้าก็กลับออกมาจากการต่อสู้ของผู้แข็งแกร่งได้อย่างปลอดภัยแล้ว เป็นด่านเคราะห์ครั้งใหญ่ยังมาไม่ถึง หรือเป็นเพราะว่าคราวที่แล้วระมัดระวังจนทำให้ด่านเคราะห์ครั้งนี้เปลี่ยนไปแล้ว”

ปี้อิ่งเงยหน้าขึ้นมองยังกลางอากาศด้านบน เอ่ยพึมพำกับตนเองออกมา จากนั้นก็จมลงสู่ความครุ่นคิดอีกครั้ง

หลังจากนั้นครึ่งเดือน หานลี่ก็ปรากฏตัวขึ้นบนกองหิน แล้วมองไปยังกลุ่มของหุ่นเชิดที่กำลังทำความสะอาดแท่นบูชาโบราณเก่าที่ถูกฝังลึกอยู่ใต้ดินอย่างระมัดระวัง

ในขณะเดียวกัน ปี้อิ่งก็นำทหารองค์รักษ์จำนวนหนึ่ง มาปรากฏตัวยังเมืองใหญ่อีกฟากหนึ่งของแผ่นดินใหญ่นภาสีเลือด

ในเทือกเขาห่างออกไปจากเมืองนี้ไม่ไกลนัก ลิ่วอี๋และปิงเฝิงที่หลบซ่อนตัวอยู่ใจกลางเขาเล็กๆ นั่งขัดสมาธิเผชิญหน้ากันเพื่อฟื้นฟูลมปราณ

ลิ่วอี๋ในทุกช่วงระยะเวลาจะหยิบเอาขวดเล็กๆ ออกมาจากอ้อมแขนแล้วเอาของเหลววิญญาณหยดเข้าปาก จากนั้นก็หลับตาลงนั่งทำสมาธิฟื้นฟูลมปราณอีกครั้ง

ทั้งสองถึงแม้ว่าจะดูเหมือนว่าจะไม่ได้เกิดความเสียหายที่ใด แต่ว่าใบหน้าที่ดูเหนื่อยล้านั้น ผู้ใดก็สามารถมองออกได้ในพริบตา

ไม่น่าแปลกที่ทั้งสองจะมีท่าทางเช่นนี้ ผู้ใดก็ตามที่ถูกศัตรูผู้แข็งแกร่งที่ไม่อาจต้านทานได้ไล่ตามเป็นเวลานานถึงเพียงนี้ ไม่ว่าจะเป็นปราณแท้หรือจิตวิญญาณเกรงว่าก็คงรับไม่ไหว

นักพรตลิ่วอี๋ เจ้าคิดว่าพวกเราจะทนได้อีกนานเท่าไหร่กัน” ปิงเฝิงจู่ลืมตาคู่สวยแล้วถามออกมาประโยคหนึ่ง