พวกของหานลี่ทั้งสองคนได้รับคำเชิญจากปี้อิ่งให้มาเข้าร่วมการต่อสู้ของผู้แข็งแกร่งในครั้งนี้ ถึงแม้ว่าจะรู้สึกประหลาดใจอยู่บ้างว่าเพราะเหตุใดเขาถึงได้รับคำขอร้องจากอีกฝ่าย แต่แน่นอนว่าย่อมไม่คัดค้าน ยืนอยู่ด้านข้างอย่างเงียบๆ ในทันที

แววตาของราชากระดูกที่อยู่ฝั่งตรงข้ามมีเปลวเพลิงสีเขียวสองลูกลุกโหมอยู่สองสามครั้งแล้วเหลือบมองไปยังพวกของหานลี่ทั้งสองคน และก็ไม่ส่งเสียงใดออกมาเช่นกัน

ราชาจ่วนหลุนเมื่อได้ยินปี้อิ่งรับปากเรื่องนี้แล้ว ใบหน้าก็เผยรอยยิ้มออกมา ก้มหน้าลงแล้ววิเคราะห์หมากรุกที่อยู่ด้านหน้าอีกครั้ง หลังจากนั้นเพียงครู่ ถึงได้วางหมากตัวต่อไป

ปี้อิ่งเมื่อเห็นหมากนี้ของอีกฝ่ายแล้ว ใบหน้าก็ดูเคร่งขรึมขึ้น ก้มหน้าลงไปมองยังหมากรุกแล้วครุ่นคิดขึ้นมา

หานลี่เมื่อเห็นสถานการณ์นี้ ก็มองไปยังกระดานหมากรุกด้วยความสนใจ

สุดท้ายแล้วหลังจากที่เขามองอย่างละเอียดอยู่สองสามครั้งแล้ว ก็ส่ายหัวออกมาอย่างตื่นตกใจในทันที

ถึงแม้ว่าหมากของเขาจะดูธรรมดา แต่ว่าเพียงแค่เหลือบมองก็สามารถรู้ได้ทันทีว่าความซับซ้อนของหมากด้านหน้านั้นทำให้ผู้คนประหลาดใจได้จนถึงขีดสุด และไม่ใช่สิ่งที่เขาจะสามารถคิดคำนวณออกมาได้

พลังความแข็งแกร่งของหมากระหว่างปี้อิ่งและราชาจ่วนหลุนผู้นี้ แน่นอนว่าในชีวิตเขาเคยเห็นเพียงแค่พวกเขาสองคนเท่านั้น

ไม่น่าเล่า ทั่งสองคนถึงได้มั่นใจที่จะใช้หมากรุกนี้มาตัดสินชนะแพ้สำหรับเรื่องสำคัญเช่นนี้

หานลี่เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ อดไม่ได้ที่จะเหลือบมองไปยังเหวินซินเฟิ่งที่อยู่ด้านข้าง

เห็นเพียงหญิงสาวคนนี้ใช้ดวงตาคู่สวยมองลงไปบนกระดานหมากรุกนี้ แล้วก็ค่อยๆ ย่นคิ้วขึ้น

พลังหมากรุกของหญิงสาวผู้นี้ก็ดูเหมือนจะแตกต่างจากธรรมดาทั่วไป…

หานลี่อดไม่ได้ที่จะยิ้มขมขื่นออกมาในใจ

และเพราะเช่นนี้ พวกของปี้อิ่งทั้งสองคนหลังจากที่ครุ่นคิดทุกย่างก้าวหน้าโต๊ะหินอยู่นาน ถึงได้วางหมากตัวถัดไป

เพียงพริบตาเดียว ก็ผ่านไปครึ่งชั่วยาม

ทันใดนั้นก็มีเสียงดังปึงปังอึกทึกลอยมาจากที่ไกลๆ ม่านลำแสงสองชั้นเหนือเทือกเขาขวาสุดสว่างวาบแล้วสลายไป คนสองคนก็บินออกมาจากด้านในนั้น ไล่ตามกันมายังเทือกเขาตรงกลางที่หานลี่และคนอื่นๆ อยู่

“นักพรตเหลยพ่ายแพ้แล้ว” หลังจากที่เหวินซินเฟิ่งเหลือบมองไปยังคนที่บินมาด้านหน้าชัดเจนแล้ว ใบหน้าก็อดไม่ได้ที่จะเปลี่ยนไปเล็กน้อย

หานลี่เองก็เหลือบมองไปด้วยความเคร่งขรึม

เห็นเพียงแค่คนที่อยู่ด้านหน้านั้นสวมใส่ชุดเกราะสีเงิน ที่เปลี่ยนไปเต็มไปด้วยรู อีกทั้งครึ่งกายยังเต็มไปด้วยเลือด และยังมีหัวผีแปลกประหลาดสีดำราวกับน้ำหมึกมากมาย คอยกัดอยู่ตรงผิวเนื้อที่มีเลือดโผล่ออกมา สีหน้าเปลี่ยนไปซีดขาวผิดปกติ

คนที่ตามติดมาด้านหลังนั้น กลับเป็นปีศาจสาวมีเสน่ห์ผิดปกติคนหนึ่ง

ท่าทางราวกับอายุสิบหกสิบเจ็ด กายสวมใส่เสื้อคลุมสีม่วง ลายล้อมไปด้วยหัวผีแปลกประหลาดนับร้อย สายลมทมิฬพัดตามติดมาตลอดทาง

หลังจากที่สว่างวาบขึ้นไม่กี่ครั้งแล้ว ทั้งสองคนก็ไล่ตามติดมายังกลางอากาศเหนือเทือกเขาที่หานลี่และคนอื่นๆ อยู่ เมื่อเห็นสถานการณ์ของปี้อิ่งและคนอื่นๆ ด้านล่างแล้วก็ตื่นตกใจขึ้นมา

แต่ชายชุดเกราะสีเงินก็ตอบสนองแล้วล้มลงทันที หลังจากที่ปีศาจสาวมีเสน่ห์กะพริบตาคู่สวยแล้ว ก็ลอยลงมาโดยที่ไม่ลังเล

หัวผีเหล่านั้นที่ล้อมรอบกายของหญิงสาวหลังจากที่พร่ามัวไปแล้ว ก็หายไปในอากาศราวกับฟองสบู่

“พี่เหลย ไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่” ปี้อิ่งเงยหน้าขึ้นมองชายชุดเกราะสีเงิน แล้วเอ่ยถามออกมาช้าๆ

“ขอบคุณพี่ปี้ที่เป็นห่วง ผู้แซ่เหลยไม่เป็นอะไร เพียงแต่ว่าการต่อสู้ก่อนหน้านี้ เกรงว่าคงจะทำให้พี่ปี้อิ่งผิดหวังแล้ว อิทธิฤทธิ์ของหญิงสาวคนนี้แปลกประหลาดเกินไปแล้ว แม้ว่าข้าจะพยายามอย่างสุดกำลังแล้ว แต่ว่าก็ยังด้อยกว่าอีกฝ่ายอยู่ขั้นหนึ่ง อดไม่ได้ที่ต้องทำลายม่านลำแสงแล้วหนีออกมา” ชายชุดเกราะสีเงินเอ่ยออกมาด้วยใบหน้าขมขื่น

“ไม่เป็นอะไร นักพรตหานและเหวินเซี่ยนจื่อชนะไปสองสนามแล้ว ในบรรดาราชายมโลกทั้งสิบอิทธิฤทธิ์ก็มีต่ำสูงต่างกัน ข้าแต่เดิมก็ไม่ได้คิดว่าจะต้องชนะทั้งห้าสนาม รักษาอาการบาดเจ็บของพี่เหลยสำคัญที่สุด!” ปี้อิ่งเอ่ยออกมาด้วยความอ่อนโยน ราวกับว่าไม่ได้สนใจในความพ่ายแพ้ของชายชุดเกราะสีเงินสักเท่าไหร่

“อะไรนะ นักพรตหานและเหวินเซียนจื่อเอาชนะคู่ต่อสู้ได้แล้ว นี่ช่างเป็นเรื่องประหลาดใจที่น่ายินดีจริงๆ หากว่าเป็นเช่นนี้ ผู้แซ่เหลยก็วางใจแล้ว เช่นนั้นข้าก็ขอฟื้นฟูลมปราณก่อนแล้ว” ชายชุดเกราะสีเงินเหลือบมองไปยังหานลี่และเหวินซินเฟิ่งด้วยความประหลาดใจ แล้วก็ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมาให้มากอีก นั่งลงทำสมาธิอยู่ข้างๆ

หลังจากนั้นเพียงครู่ ผิวกายของเขาก็ปล่อยลำแสงสีเงินออกมา ประจุสายฟ้าสีเงินพัวพันกันออกมา เพียงพริบตาเดียวก็นำเอาร่างกายของเขาจมหายไปในทันที

อีกด้านหนึ่งชายหนุ่มวัยกลางคนดูเหมือนว่าจะเอ่ยบางอย่างออกมากับปีศาจสาวมีเสน่ห์อยู่สองประโยค เมื่อเข้าใจกระบวนการการต่อสู้ก่อนหน้านั้นโดยประมาณแล้ว รอยยิ้มบนใบหน้าก็เพิ่มขึ้นสองส่วน

“ราชาจ่วนหลุน ตอนนี้ก็นับว่าพวกท่านเองก็ชนะไปแล้วสนามหนึ่ง แต่ตามที่ตกลงกันไว้ก่อนหน้านั้นแล้ว ทั้งสองคนเองก็จำต้องรออยู่ที่เทือกเขาแห่งนี้ด้วย ไม่ให้ไปรบกวนการต่อสู้ในแห่งสุดท้าย” หลังจากที่ปี้อิ่งเหลือบมองไปยังหญิงสาวแล้วก็เอ่ยออกมาในทันที

“วางใจได้ นี่เป็นเรื่องที่แน่นอนอยู่แล้ว ใช่แล้ว ลืมบอกแก่นักพรตไปแล้ว ราชาชีเชี่ยวที่เข้าร่วมการต่อสู้ในเทือกเขาแห่งสุดท้ายนั้น เป็นผู้ที่มีพลังความแข็งแกร่งสามอันดับแรกในหมู่ราชาทั้งสิบของพวกเรา อีกทั้งอิทธิฤทธิ์เกินกว่าปกติ และต่อให้ถามข้าเองแล้ว คู่ต่อสู้ของเขาหากว่าไม่อาจต่อสู้ได้แล้ว เกรงว่าคงจะไม่เพียงแต่พ่ายแพ้ไปอย่างง่ายดาย ไม่แน่ว่าแม้แต่ชีวิตก็อาจจะสูญเสียไปด้วย” ชายหนุ่มวัยกลางคนจู่ๆ ก็เอ่ยออกมาพร้อมกับเสียงหัวเราะ

“หากว่าราชาชี่เชี่ยวผู้นี้มีอิทธิฤทธิ์มากถึงเพียงนี้จริงๆ แล้วละก็ ผู้แซ่ปี้ก็ไม่ค่อยจะเชื่อนัก นักพรตเซวี่ยซาเองก็เป็นผู้แข็งแกร่งสิบอันดับแรกของดินแดนพวกเรา ไม่แน่ว่ากลับกันอาจจะเป็นสหายของนักพรตเองที่ถูกฆ่าไป” ท่าทีของปี้อิ่งเปลี่ยนไปเล็กน้อย แต่ว่าก็กลับมาเป็นปกติในทันที

“เช่นนั้นหรือ เช่นนั้นพวกเราก็มารอดูด้วยกันเถอะ” ราชาชี่เชี่ยวเมื่อได้ยินแล้ว ก็ส่งเสียงหัวเราะฮาฮาออกมา

ดังนั้นทั้งสองคนจึงกลับมาสนใจกระดานหมากรุกขึ้นมาอีกครั้ง

เวลาผ่านไปรวดเร็วอย่างยิ่ง!

คราวนี้ เมื่อรอแล้วก็รอเป็นเวลาถึงหนึ่งวันหนึ่งคืน ด้วยระยะเวลาที่ยาวนาน แม้แต่หานลี่เองก็อดไม่ได้ที่จะบ่นพึมพำขึ้นมาในใจ

แต่สิ่งที่ทำเขาพูดไม่ออกก็คือ

หมากรุกกระดานนี้ของปี้อิ่งและราชาจ่วนหลุนเดินมานานถึงเพียงนี้แล้ว ก็ไม่เห็นว่าจะมีท่าทีสิ้นสุดลงแม้แต่น้อย

และตอนนี้แต่ละก้าวของทั้งสองดูเหมือนว่าจะใช้เวลามากกว่าก่อนหน้านี้ถึงหลายเท่า

และในตอนที่หานลี่คิดว่าสถานการณ์เช่นนี้จะยังคงดำเนินไปกว่าครึ่งค่อนวัน ปี้อิ่งที่กำลังจะตัดสินใจวางหมากในมือลงบนกระดานนั้น จู่ๆ ท่าทีก็เปลี่ยนไปในทันที เงยหน้าขึ้นมองไปยังทิศทางของเทือกเขาลูกสุดท้ายในทันที

หานลี่รู้สึกสั่นไหวขึ้นมาในใจ จิตสัมผัสเองก็กวาดตามองไปทางนั้นเช่นกัน

เห็นเพียงแค่ม่านลำแสงเหนือเทือกเขาลูกสุดท้ายสว่างวาบแล้วหายไป จากนั้นสัตว์ประหลาดครึ่งมนุษย์ครึ่งแมงป่องก็ลอยออกมาจากในนั้น

สัตว์ประหลาดตัวนี้ครึ่งกายบนเป็นร่างของชายหนุ่มวัยกลางคน ครึ่งกายล่างเป็นร่างของแมงป่องยักษ์สีดำแดง มือข้างหนึ่งถือดาบที่มีระลอกคลื่นดำแปลกประหลาดแผ่ออกมา มืออีกข้างหนึ่งถือศีรษะที่ดูจะเหี่ยวเล็กกว่าคนทั่วไปอยู่หลายเท่า

ดวงตาทั้งคู่ของศีรษะนั้นปิดแน่น ใบหน้าเต็มไปด้วยความไม่อยากเชื่อ ราวกับว่าก่อนหน้าที่จะถูกตัดหัวลงนั้นยังไม่อาจเชื่อได้ว่าตนเองจะพ่ายแพ้จนต้องตาย

และถึงแม้ว่าศีรษะนั้นจะดูผอมบางราวกับมัมมี่ แต่หานลี่เหลือบมองเพียงแค่ครั้งเดียวก็มองออกว่าใบหน้านั้นเหมือนกันกับ ‘เซวี่ยซา’ ที่ออกเดินทางมาพร้อมกัน

ผู้แข็งแกร่งที่มีชื่อเสียงของแดนนภาสีเลือดผู้นี้ ถึงขั้นที่ต่อสู้หนึ่งต่อหนึ่งกับราชายมโลกจนถูกฆ่าทิ้งไปเสีย

ไม่เพียงแต่หานลี่และปี้อิ่งที่มองเห็นทุกอย่างนี้ เหวินซินเฟิ่งและชายชุดเกราะเองแน่นอนว่ามองเห็นถึงศีรษะที่อยู่ในมือของสัตว์ประหลาดได้อย่างชัดเจน สีหน้าก็เปลี่ยนไปจนไม่น่ามองจนผิดปกติ

หลังจากที่สัตว์ประหลาดนี้กะพริบวาบขึ้นแล้ว ก็ปรากฏตัวขึ้นกลางอากาศเหนือเทือกเขาของพวกเขาด้วยสีหน้าไร้ซึ่งอารมณ์ ร่างกายกลับลอยอยู่กลางอากาศแต่ไม่ได้ตั้งใจที่จะลงมา

“เฮ่อเฮ่อ ดูเหมือนว่ายังคงเป็นราชาชี่เชี่ยวที่เหนือกว่า สหายของพวกท่านตกอยู่ในมือเขาแล้วยังคงยืนหยัดอยู่ได้นานเพียงนี้ถึงเพิ่งจะถูกฆ่า เป็นผู้อาวุโสที่มีอิทธิฤทธิ์มากอย่างแท้จริง” ชายหนุ่มวัยกลางคนเมื่อเห็นฉากนี้เข้า ส่งเสียงหัวเราะเฮ่อเฮ่อออกมา

“ข้าเองก็ไม่คิดว่านักพรตเซวี่ยซาจะพ่ายแพ้จนตาย แต่ว่าผู้ชนะของผู้แข็งแกร่งในครั้งนี้ดูเหมือนว่าจะไม่ใช่ฝั่งของพวกท่าน” หลังจากที่ปี้อิ่งครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้ว ถึงได้เอ่ยออกมาประโยคด้วยใบหน้าที่ไร้ซึ่งอารมณ์

“ไม่ผิดแล้ว ถึงแม้ว่าราชาชี่เชี่ยวจะเป็นผู้ชนะ แต่ว่าหมากกระดานนี้มาถึงตอนนี้แล้วก็คงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเดินต่อไปแล้ว การต่อสู้ของผู้แข็งแกร่งในครั้งนี้เป็นแดนยมโลกของพวกเราชนะสองแพ้สาม” ชายหนุ่มวัยกลางคนหลังจากที่ผลักกระดานหมากรุกด้านหน้าของเขาออกไปแล้ว ก็เอ่ยยอมรับความพ่ายแพ้ออกมา

“ถ้าเช่นนั้นตามข้อตกลงของพวกเราก่อนหน้านั้น…”

ปี้อิ่งหรี่ตาทั้งคู่ขึ้น

“ทรัพยากรของดินแดนเล็กๆ นี้ เป็นของพวกเราสี่ส่วนที่เหลือจะเป็นของฝ่ายพวกท่าน แต่ถ้าหากนักพรตยังไม่พอใจกับผลลัพธ์นี้แล้วละก็ พวกเราสามารถต่อสู้กันใหม่ได้อีกครั้งหนึ่ง จนกว่าอีกฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะสามารถสะกดข่มอีกฝ่ายได้อย่างสิ้นเชิงถึงจะตัดสินว่าดินแดนเล็กๆ นี้จะเป็นของผู้ใด” ราชาจ่วนหลุนยิ้มจางๆ แล้วเอ่ยออกมา

“ไม่มีความจำเป็นแล้ว กลุ่มพันธมิตรของพวกเราสามารถได้รับทรัพยากรจากดินแดนนี้หกส่วนก็เพียงพอแล้ว แต่เพราะครั้งนี้นักพรตเซวี่ยซาถูกฆ่าจนตายไป ดูเหมือนว่าจะเป็นความผิดพลาดครั้งใหญ่” แววตาของปี้อิ่งกะพริบวาบอยู่สองสามครั้ง ก็เอ่ยตอบกลับมาเบาๆ

“บำเพ็ญเพียรมาจนถึงขั้นของพวกเราเช่นนี้แล้ว ใครจะไม่มีกลวิธีรักษาชีวิตสักหนึ่งหรือสองกลวิธีกันบ้าง พวกเขาทั้งสองคนในเมื่อเข้าร่วมการต่อสู้ของผู้แข็งแกร่งในครั้งนี้ แน่นอนว่าย่อมต้องเตรียมพร้อมทุกอย่างเอาไว้ให้พร้อมก่อนแล้ว ไม่เช่นนั้นแล้วถ้าหากเกิดการสูญเสียขึ้นจริงๆ แล้ว ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งแล้ว” ชายหนุ่มวัยกลางคนหาวขึ้นพร้อมกับเอ่ยออกมา ราวกับว่าไม่ได้ใส่ใจต่อการสูญเสียของราชาซยงซือแม้แต่น้อย

“หวังว่าจะเป็นเช่นนี้ แต่ว่าน่าเสียดายที่ในครั้งนี้ไม่อาจจะประลองฝีมือกับนักพรตได้จริงๆ ช่างเป็นเรื่องที่น่าเสียดาย หวังว่าต่อไปคงจะยังมีโอกาสอีก” ท่าทางบนใบหน้าของปี้อิ่งดูผ่อนคลายลง แล้วพยักหน้าออกมา

“ใช่แล้ว เปิ่นหวังยังหวังอีกว่าจะมีวันได้ประลองฝีมือกับนักพรตหานลี่ท่านนี้สักวัน เห่อเห่อ สามารถฆ่าราชาซยงซือได้ ทำให้โอกาสที่จะหลบหนีก็ยังไม่มี เห็นได้ว่าอิทธิฤทธิ์ของนักพรตหานท่านนี้เกรงว่าก็คงจะไม่น้อยไปกว่าราชาชี่เชี่ยว” ชายหนุ่มวัยกลางคนเมื่อได้ยินแล้ว กลับหันไปมองหานลี่อย่างลึกซึ้งแล้วเอ่ยออกมา

“ข้าเองก็เป็นแค่เพียงเรื่องบังเอิญ ไม่อาจรับคำชื่นชมเช่นนี้จากนักพรตได้” หานลี่หัวเราะฮาฮาออกมา ท่าทีดูราวกับเป็นคนพูดน้อย

“ในเมื่อชนะแพ้ได้ตัดสินแล้ว พวกเราทั้งหลายก็ขอออกเดินทางกันไปก่อนแล้ว แล้วจะรีบจัดการแบ่งเขตแดนออกมาในทันที” ราชาจ่วนหลุนเองก็ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมาอีก กลับหยัดกายลุกขึ้นมา แล้วเอ่ยคำบอกลา

ปี้อิ่งและคนอื่นๆ แน่นอนว่าย่อมไม่รั้งฝ่ายตรงข้ามเอาไว้ แล้วก็มองเห็นราชายมโลกทั้งสี่บินจากเทือกเขาไปยัง ‘เขากระดูกขาว’ ที่อยู่ไม่ไกลออกไป

“ปึง” ดังออกมา เขากระดูกที่อยู่ไกลๆ นั้น เมื่อราชายมโลกทั้งสี่เข้าไปแล้วก็สว่างวาบขึ้น ไอพลังสีดำม้วนออกมาในทันทีแล้วพุ่งไปยังดินแดนภูตที่อยู่ไกลออกไปอีก

“ดูเหมือนว่าราชาภูตเหล่านี้ตั้งใจที่จะรักษาสัญญาจริงๆ ไม่ได้ตั้งใจที่จะกลับคำ เช่นนี้ก็ดี ที่ผู้แซ่ปี้เตรียมตัวช่วยเอาไว้นั้นก็คงไม่จำเป็นต้องเคลื่อนไหว การต่อสู้ครั้งนี้ทำให้สูญเสียนักพรตเซวี่ยซาไปแล้ว หากว่ายังมีอะไรเกิดขึ้นกับนักพรตอื่นแล้วละก็ การต่อสู้ของผู้แข็งแกร่งในครั้งนี้ก็คงจะไม่คุ้มค่ากับความสูญเสียแล้ว” หลังจากที่ปี้อิ่งถอนหายใจยาวออกมาแล้วก็หยัดกายลุกขึ้นยืน

“พี่ปี้ ได้สูญเสียนักพรตเซวี่ยซาไปจริงๆ แล้วหรือ? ด้วยอิทธิฤทธิ์อันน่าสะพรึงกลัวของเขา ต่อให้จะไม่ชนะฝ่ายตรงข้าม แต่ก็ควรจะปกป้องตนเองได้ ข้ายังเคยได้ยินข่าวลือมาว่า นักพรตเซวี่ยซาเหมือนจะฝึกฝนวิชาแปลงกายอันน่าสะพรึงกลัวอย่างมากวิชาหนึ่ง ไม่เพียงรูปลักษณ์จะเหมือนกายเดิมไม่ผิดเพี้ยนแล้ว พลังความความแข็งแกร่งเองก็ไม่แตกต่างกันนัก” เหวินซินเฟิ่งจู่ๆ ก็เอ่ยถามออกมาด้วยท่าทางแปลกประหลาด