ตอนที่ 950 เหตุการณ์ในงานพิธีส่งมอบตำแหน่ง
ยามบ่าย
จวนตระกูลเสี่ยว
เต็มไปด้วยญาติสนิทมิตรสหาย
ผู้ที่มีคุณสมบัติดีพอจะปรากฏตัวในงานเลี้ยงจวนตระกูลเสี่ยววันนี้ได้ ต้องเป็นขุนนางระดับสูงในนครหลวงเท่านั้น แต่ละคนล้วนเป็นผู้ที่มีสถานะโดดเด่นทั้งสิ้น
แม้แต่องค์ชายและองค์หญิงหลายท่านก็มาปรากฏตัวเช่นกัน
นอกจากนี้ ยังมีตัวแทนจากเก้าในสิบตระกูลใหญ่ประจำนครหลวงมาร่วมแสดงความยินดีอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา
นอกจากผู้อาวุโสเสี่ยวเหยียนและเสี่ยวหู่ผู้อาวุโสหัวหน้าตระกูลสาขาเจ็ดแล้ว สมาชิกตระกูลเสี่ยวสาขาอื่น ๆ ล้วนออกมาต้อนรับขับสู้แขกเหรื่อเป็นอย่างดี
โดยเฉพาะเสี่ยวอี้กับเสียวหยวน ทั้งสองคนนี้มีสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส แววตาเป็นประกายระยิบระยับด้วยความคาดหวังและความตื่นเต้น
“ท่านอัครเสนาบดีจั่วเซียงมาแล้ว”
เมื่อบ่าวรับใช้หน้าประตูจวนส่งเสียงตะโกนดังกึกก้อง สายตาของทุกคนก็หันไปจ้องมองยังประตูทางเข้าจวนโดยทันที
พวกเขาคิดไม่ถึงเลยว่าท่านอัครเสนาบดีก็มาด้วย?
นี่คือเรื่องที่น่าประหลาดใจอย่างแท้จริง
เนื่องจากทุกคนทราบดีว่าท่านอัครเสนาบดีจั่วเซียงแทบไม่เคยเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับกิจการภายในตระกูลใดมาก่อน
“ฮ่า ๆๆ คิดไม่ถึงจริง ๆ ว่าท่านอัครเสนาบดีจะให้เกียรติมาร่วมพิธีครั้งนี้ด้วย ต้องขออภัยท่านด้วยที่พวกเราเตรียมพิธีการต้อนรับได้ไม่ดีพอ”
อัครเสนาบดีจั่วเซียงเพียงพยักหน้าเล็กน้อย ไม่แสดงท่าทีว่าจะสนทนากับเสี่ยวอี้และเสี่ยวหยวน นอกจากถามเสียงแข็งกระด้างว่า “ผู้อาวุโสเสี่ยวเหยียนอยู่ที่ใด?”
รอยยิ้มหายวับไปจากใบหน้าเสี่ยวอี้โดยทันที
“ท่านผู้เฒ่าอยู่ด้านหลังจวน เมื่อคืนนี้ไม่ค่อยได้พักผ่อน สุขภาพยังไม่แข็งแรง เมื่อถึงเวลาทำพิธีจึงจะออกมาขอรับ”
เสี่ยวอี้รีบปั้นหน้ายิ้มขึ้นมาอีกครั้ง
“ข้าจะไปพบท่านผู้เฒ่า”
พูดจบ อัครเสนาบดีจั่วเซียงก็ไม่รอให้เสี่ยวอี้กับเสี่ยวหยวนตอบรับคำใด รีบมุ่งหน้าไปทางสวนหย่อมด้านหลังจวนตระกูลเสี่ยวโดยเร็ว
ข้างกายชายชรามีองครักษ์สองคน
นับตั้งแต่ที่จั่วเซียงปรากฏตัวขึ้นจนกระทั่งร่างของเขาเดินหายลับไปทางด้านหลังจวน ตลอดเวลาเหล่านี้ล้วนเป็นภาพที่อยู่ภายใต้การจ้องมองของทุกคน ดังนั้น บัดนี้หลายคนจึงมองหน้าเสี่ยวอี้กับเสี่ยวหยวนและอดหัวเราะออกมาด้วยความขบขันไม่ได้
กำลังจะถึงกำหนดการทำพิธีแล้ว
บรรยากาศยิ่งตึงเครียดมากขึ้น
ทันใดนั้น เกิดเสียงฮือฮาดังขึ้นจากประตูทางเข้าจวนตระกูลเสี่ยว
หลังจากนั้น บ่าวรับใช้ก็รีบวิ่งเข้ามารายงานว่า “ท่านผู้อาวุโสทั้งหลาย ท่านพ่อบ้านขอรับ เร็วเข้า มีแขกคนสำคัญเดินทางมาถึงแล้ว พวกเขารออยู่หน้าประตู…”
เสียงพูดยังไม่ทันขาดหาย
“ไม่ต้องมากพิธี”
น้ำเสียงที่ดังกังวานอย่างมีอำนาจดังขึ้นในหูของทุกคน
หลังจากนั้น ดวงตาของพวกเขาก็ต้องเบิกโต
ชายฉกรรจ์สองคนเดินเข้ามาในตระกูลเสี่ยว
เมื่อเห็นโฉมหน้าของชายฉกรรจ์ทั้งสองคนนั้น ไม่ว่าจะเป็นเหล่าขุนนางระดับสูงหรือตัวแทนจากตระกูลใหญ่ทั้งหลาย พวกเขาล้วนมีสีหน้าตกใจสุดขีดด้วยกันทั้งสิ้น
เนื่องจากชายฉกรรจ์ทั้งสองคนนั้นคือจีหวูชวงกับลู่ซิน
ไม่มีใครคาดคิดจริง ๆ ว่าตัวแทนจากคณะทูตของกลุ่มพันธมิตรจักรวรรดิส่วนกลางจะมาปรากฏตัวในพิธีการครั้งนี้ ไม่ทราบว่าพวกเขามาเพื่อสนับสนุนตระกูลเสี่ยวใช่หรือไม่?
ไม่น่าเป็นไปได้
ความสัมพันธ์ระหว่างตระกูลเสี่ยวกับท่านทูตทั้งสองท่านนี้ดูเหมือนจะไม่เป็นมิตรกันสักเท่าไหร่นัก
“คารวะท่านทูตขอรับ”
เจิ้งเฉียนหัวหน้าตระกูลเจิ้งและหลิวซยง หัวหน้าตระกูลหลิวต่างก็รีบวิ่งมาคำนับทักทายทันที
“ไม่ต้องมากพิธี”
จีหวูชวงยังคงกล่าวย้ำคำเดิม
“พวกข้ามาที่นี่โดยไม่ได้แจ้งล่วงหน้า หวังว่าคงไม่เป็นการรบกวนพวกท่านมากเกินไป”
จีหวูชวงยิ้มเล็กน้อยระหว่างมองหน้าเสี่ยวอี้กับเสี่ยวหยวน
ผู้อาวุโสระดับสูงของตระกูลเสี่ยวทั้งสองหันมามองหน้ากันด้วยความตื่นเต้น สีหน้าท่าทางแทบจะสะกดกลั้นความดีใจเอาไว้ไม่อยู่อีกแล้ว
พวกเขารีบจัดโต๊ะให้จีหวูชวงกับลู่ซินนั่งอย่างรวดเร็ว
ทุกคนที่เห็นภาพนี้ต่างก็พูดอะไรไม่ออก
นี่หมายความว่าอย่างไร?
เมื่อมองดูจากสิ่งที่เห็น ดูเหมือนว่าชายฉกรรจ์ทั้งสองจากกลุ่มพันธมิตรจักรวรรดิส่วนกลางจะให้ความสำคัญต่อหัวหน้าตระกูลเสี่ยวสาขาย่อยมากทีเดียว
บรรดาขุนนางระดับสูงเหล่านี้ล้วนอยู่ในสงครามทางการเมืองมาหลายสิบปี พวกเขาย่อมได้กลิ่นความผิดปกติที่เกิดขึ้น
หลายคนอดคิดไม่ได้ว่าหรือพิธีการส่งมอบตำแหน่งหัวหน้าตระกูลคนต่อไปในวันนี้ของตระกูลเสี่ยวจะเกิดคลื่นใต้น้ำระลอกใหญ่ขึ้นมาแล้ว
หลังจากนั้น ยังคงมีผู้คนมาปรากฏตัวอย่างต่อเนื่อง
แม้แต่ผู้ที่ไม่ได้รับเทียบเชิญก็มาปรากฏตัวที่นี่เช่นกัน เพราะหวังที่จะได้ทำความรู้จักกับกลุ่มผู้มีอำนาจระดับสูง
ในที่สุด เวลาของการทำพิธีก็มาถึง
เสี่ยวเหยียนผู้อาวุโสหัวหน้าตระกูลสาขาใหญ่ปรากฏกายขึ้นต่อหน้าทุกคนด้วยชุดลำลองธรรมดา
“หืม? นี่มันอะไรกัน?”
“ทำไมผู้อาวุโสถึงสวมใส่เสื้อผ้าเช่นนี้…”
“หน้าตาของท่านผู้เฒ่าดูอมทุกข์มากเลยนะ”
“ท่านผู้เฒ่าดูไม่มีความสุขเอาเสียเลย”
“พิธีสำคัญเช่นนี้ แขกคนใหญ่คนโตมากันมากมาย อย่างน้อยก็สมควรสวมใส่เสื้อผ้าให้ถูกกาลเทศะใช่หรือไม่? หรือว่าเกิดอะไรบางอย่างที่พวกเราไม่รู้กันแน่?”
บรรดาแขกผู้มาร่วมงานต่างก็อดซุบซิบกันไม่ได้
ภายใต้การจ้องมองของดวงตาจำนวนมาก ผู้อาวุโสเสี่ยวเหยียนกลับมีสีหน้าไร้อารมณ์ เขาเดินขึ้นมาบนเวทีที่สร้างขึ้นไว้หลายวันแล้วอย่างช้า ๆ
“ขอบคุณทุกท่านที่ให้เกียรติมาร่วมพิธีส่งมอบตำแหน่งหัวหน้าตระกูลเสี่ยวคนต่อไปในวันนี้” ชายชราผู้มีเส้นผมและหนวดเคราเป็นสีขาวราวหิมะพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
เขายืนนิ่ง กวาดสายตามองโดยรอบ ก่อนจะประสานมือคำนับด้วยความสงบสุขุม จากเดิมที่เคยมีสง่าราศีราวกับพญาราชสีห์ผู้มากประสบการณ์ แต่บัดนี้ เสี่ยวเหยียนกลับเป็นเพียงชายชราไม้ใกล้ฝั่งคนหนึ่งไปเสียแล้ว
“วันนี้ ข้าจะขอก้าวลงจากตำแหน่งหัวหน้าตระกูลเสี่ยวอย่างเป็นทางการ และขอส่งมอบตำแหน่งนี้ให้แก่หัวหน้าตระกูลคนต่อไป ซึ่งก็คือ…”
เมื่อพูดมาถึงตรงนี้ ชายชราก็หยุดชะงักและกัดฟันกล่าวต่อ “ผู้ที่จะได้สืบทอดตำแหน่งหัวหน้าตระกูลเสี่ยวคนต่อไปก็คือเสี่ยวสือ คนหนุ่มรุ่นใหม่จากตระกูลเสี่ยวสาขาสอง… ข้าพูดจบแล้ว ขอให้ทุกท่านสนุกกับงานเลี้ยง”
เสียงพูดยังไม่ทันขาดหาย
เสียงอุทานด้วยความประหลาดใจก็ดังขึ้นทั่วงานเลี้ยง
ไม่ต่างจากมีคนโยนหินก้อนหนึ่งลงไปในบ่อน้ำที่เงียบสงบ
คำประกาศนี้อยู่นอกเหนือจากสิ่งที่แขกทุกคนคิดเป็นอย่างยิ่ง
เกิดอะไรขึ้นกันแน่?
ก่อนหน้านี้มีการประกาศว่าหัวหน้าตระกูลคนต่อไปคือเสี่ยวเย่ไม่ใช่หรือ?
เหตุไฉนถึงกลายเป็นเสี่ยวสือได้?
เสี่ยวสือเป็นคุณชายมีชื่อในนครหลวง หลายคนรู้จักเขาในฐานะหลานชายคนโตของหัวหน้าตระกูลเสี่ยวสาขาสอง แต่เขามีคุณสมบัติดีพอที่จะขึ้นมารับตำแหน่งหัวหน้าตระกูลใหญ่แล้วหรือ?
ทำไมเหตุการณ์ถึงเป็นเช่นนี้?
นี่คือความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันมากเกินไป
สายตาพิศวงจำนวนมากจ้องมองไปที่ผู้อาวุโสเสี่ยวเหยียน
เสี่ยวเหยียนเดินลงมาจากเวทีโดยไม่พูดคำใด
“ช้าก่อน”
เสี่ยวอี้ค่อย ๆ ลุกขึ้นยืนแสยะยิ้มและผายมือย้ำเตือนว่า “ท่านผู้เฒ่ารบกวนอยู่ร่วมงานก่อน ท่านลืมไปแล้วหรือ? เสี่ยวสือสืบทอดตำแหน่งหัวหน้าตระกูลจากท่าน ท่านผู้เฒ่ายังมีหน้าที่ส่งต่อเครื่องแต่งกายและอาวุธประจำตัวของหัวหน้าตระกูลให้เขาอีก”
“ไม่มีปัญหา”
ผู้อาวุโสเสี่ยวเหยียนพยักหน้า
ในไม่ช้า สายตาของผู้คนจำนวนมากก็จ้องมองเสี่ยวสือซึ่งสวมใส่ชุดเสื้อคลุมสีม่วงเข้มดูหรูหราก้าวเดินขึ้นมาบนเวทีด้วยความสง่าผ่าเผย
เสี่ยวสือเป็นชายหนุ่มอายุ 22 ปี ใบหน้าจัดได้ว่าหล่อเหลา แต่โชคร้ายที่มีสีหน้าชั่วช้า เพียงกวาดตามองวูบเดียว ก็รู้แล้วว่าชายหนุ่มเป็นคนที่บุคคลทั่วไปไม่สมควรคบหาด้วยเป็นอย่างยิ่ง
เสี่ยวสือกำลังยิ้มแย้มอย่างมีความสุข
เขาประสานมือคำนับขอบคุณแขกที่มาร่วมงาน ก่อนจะหันไปทางผู้อาวุโสเสี่ยวเหยียนและรับป้ายประจำตำแหน่งหัวหน้าตระกูล รวมถึงรับกระบี่หินผา ซึ่งถือเป็นกระบี่ประจำตำแหน่งหัวหน้าตระกูลเสี่ยวมาจากท่านผู้เฒ่า
หลังจากนั้น เสี่ยวสือก็ก้มศีรษะลงรอรับการสวมใส่มงกุฎประจำตำแหน่ง
นี่เป็นเพียงพิธีการเชิงสัญลักษณ์เท่านั้น
แต่กลับเป็นส่วนสำคัญที่สุดในพิธีการส่งมอบตำแหน่งหัวหน้าตระกูล
ผู้อาวุโสเสี่ยวเหยียนมีสีหน้าเรียบเฉย เขาจัดการนำมงกุฎสวมใส่ลงไปที่ศีรษะของชายหนุ่มอายุ 22 ปี
“หึหึ ขอบคุณท่านผู้เฒ่า”
เสี่ยวสือก้มหน้ายิ้มแย้มอย่างแสดงความเคารพ แต่ก็แอบกระซิบให้ได้ยินกันเพียงสองคนว่า “ท่านคงคิดไม่ถึงเลยล่ะสิว่าจะมีวันนี้ ก่อนหน้านี้ ท่านดูถูกข้านักไม่ใช่หรือ? เหอเหอเหอ ชีวิตคนเราก็เช่นนี้แหละนะ สุดท้ายท่านก็ต้องส่งมอบตำแหน่งของตนเองมาให้ข้าจนได้”
ดวงตาภายใต้คิ้วสีขาวของชายชราเป็นประกายวาวโรจน์ แต่มันก็ปรากฏขึ้นเพียงวูบเดียวเท่านั้นก่อนจางหายไป
พิธีการสวมมงกุฎเสร็จสิ้นลงแล้ว
เสี่ยวเหยียนกำลังจะเดินลงไปจากเวที
เสี่ยวสือผู้เป็นหัวหน้าตระกูลคนใหม่กลับพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยว่า “ท่านผู้เฒ่าได้โปรดอยู่ต่อ วันนี้ข้าได้ขึ้นเป็นหัวหน้าตระกูลเสี่ยวคนใหม่ ถือเป็นเกียรติต่อชีวิตข้าอย่างยิ่ง และข้าก็รู้ดีว่าความรับผิดชอบนี้ช่างใหญ่หลวงนัก”
“ปรากฏว่าเมื่อวานนี้ ข้าสามารถจับกุมตัวผู้ทรยศในตระกูลเสี่ยวได้พอดี คิดไม่ถึงเลยว่าเขาจะเป็นกบฏขายชาติ วันนี้ ข้าจะนำเลือดของเขามาล้างความโสมมออกจากป้ายตระกูลเสี่ยวของพวกเรา เด็ก ๆ นำตัวกบฏแผ่นดินที่สมควรตายออกมาเดี๋ยวนี้…”
หลังจากนั้น เจียซื่อมือกระบี่จากตระกูลเสี่ยวสาขาสองก็ควบคุมตัวชายคนหนึ่งที่ถูกจับมัดมือไขว้หลังเดินออกมาจากด้านหลังจวน
แขกผู้มาร่วมงานส่งเสียงอุทานออกมาด้วยความตกตะลึง
เนื่องจากบุคคลที่ถูกควบคุมตัวมานั้นคือเสี่ยวเย่