บทที่ 951 หายนะของสกุลเสี่ยว

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

บทที่ 951 หายนะของสกุลเสี่ยว

เหตุไฉนอดีตผู้ที่ถูกยกให้เป็นหัวหน้าตระกูลคนต่อไปก่อนหน้านี้กลับถูกจับมัดเสียแล้ว?

แขกที่มาร่วมงานเลี้ยงตระกูลเสี่ยวต่างก็ส่งเสียงอุทานออกมาด้วยความตกตะลึง

เดิมที พวกเขาคิดว่าการเปลี่ยนตัวผู้สืบทอดตำแหน่งนั้นคือเรื่องที่น่าตกใจมากที่สุด

แต่คิดไม่ถึงเลยว่าสิ่งที่น่าตกใจมากกว่านั้นกลับเกิดขึ้นได้

นี่ถือเป็นเรื่องใหญ่

นี่ถือเป็นหายนะของตระกูลเสี่ยว

“เจ้า…”

บัดนี้ สีหน้าของผู้อาวุโสเสี่ยวเหยียนแปรเปลี่ยนไป

เขาเองก็กำลังตกตะลึงสุดขีด

หลังจากรับทราบข่าวว่าหลินเป่ยเฉินเสียชีวิตเมื่อคืนนี้ ความปั่นป่วนก็เกิดขึ้นทั่วนครหลวง และผลกระทบที่เกิดขึ้นก็ส่งผ่านมาถึงตระกูลเสี่ยวเช่นกัน

เสี่ยวเหยียนคิดว่าการตัดสินใจก่อนหน้านี้ของตนเองออกจะเป็นการวู่วามมากเกินไป

แม้ว่าเสี่ยวเย่จะเป็นผู้ที่มีพรสวรรค์ เป็นคนหนุ่มรุ่นใหม่ที่น่าจับตามองของตระกูลเสี่ยว มีจิตใจกล้าหาญเด็ดเดี่ยว มีศักยภาพมากพอที่จะคุมหางเสือเรือขนาดใหญ่ที่เรียกว่าตระกูลเสี่ยวให้รอดพ้นคลื่นลมไปได้ตลอดรอดฝั่งอย่างปราศจากความเป็นกังวล

แต่ชายชราคิดไม่ถึงเลยว่าการรีบร้อนผลักดันเสี่ยวเย่ขึ้นสู่ตำแหน่งเร็วเกินไป กลับเป็นการทำร้ายชายหนุ่มโดยตรง

เมื่อคืนนี้ แหล่งข่าวจำนวนมากแจ้งข้อมูลตรงกันว่า ผู้นำตระกูลเสี่ยวสาขาสองและสาขาสี่ได้ร่วมมือกันวางแผนร้ายบางอย่าง

ดังนั้น เพื่อป้องกันความปลอดภัยแก่ชีวิตของเสี่ยวเย่ ผู้อาวุโสเสี่ยวเหยียนจึงแอบส่งคนพาตัวชายหนุ่มหลบหนีออกนอกนครหลวง และในเวลาเดียวกันนี้ เขาก็ยอมอ่อนข้อก้มหัวให้แก่เสี่ยวอี้กับเสี่ยวหยวน และยินดีให้เสี่ยวสือขึ้นรับตำแหน่งโดยไม่ขัดขวาง

แต่ไหนแต่ไรมา ผู้อาวุโสเสี่ยวเหยียนเข้าใจว่าถึงอย่างไรพวกเขาก็ถือเป็นสายเลือดเดียวกัน เมื่อได้ตำแหน่งหัวหน้าตระกูลใหญ่ไปครอบครองแล้ว ความทะเยอทะยานของเสี่ยวอี้กับเสี่ยวหยวนก็คงได้รับการตอบสนองอย่างเพียงพอ และพวกเขาก็คงไม่ตามรังควานเสี่ยวเย่อีก

แต่ผู้ใดเลยจะคิดว่า…

ผู้อาวุโสเสี่ยวเหยียนเข้าใจดีถึงความโหดร้ายในจิตใจของมนุษย์ เพียงแต่เขาประมาทความชั่วร้ายของเสี่ยวอี้ เสี่ยวหยวนและพรรคพวกมากเกินไป

ตัวชั่วร้ายเหล่านั้นส่งคนไปตามจับตัวเสี่ยวเย่

นี่คือการคิดสังหารถอนรากถอนโคนชัด ๆ

บัดนี้ ผู้อาวุโสเสี่ยวเหยียนรู้สึกเลือดลมในร่างกายพลุ่งพล่าน ดวงตาของเขากลายเป็นสีแดงก่ำด้วยความโกรธแค้น

ชายชราคำรามออกมาด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าว “เสี่ยวสือ ข้าทนกับเจ้ามามากมายเกินพอแล้ว อย่าได้กำแหงให้มากเกินไปนัก เจ้าจงรู้จักผิดชอบชั่วดี หรือเจ้าอยากบีบบังคับให้ข้าทำลายตระกูลนี้ลงด้วยมือของตนเอง?”

“ฮ่า ๆๆ…”

รอยยิ้มเหยียดหยามปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเสี่ยวสือ “เหตุไฉนท่านผู้เฒ่าถึงพูดเช่นนี้ ท่านลืมไปแล้วหรือว่าบัดนี้ข้าคือหัวหน้าตระกูลใหญ่คนปัจจุบัน”

“ข้าไม่สน”

ผู้อาวุโสเสี่ยวเหยียนจ้องมองเสี่ยวสือที่ยืนอยู่บนเวทีและคำรามด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “ปล่อยตัวเสี่ยวเย่ออกมาเดี๋ยวนี้”

“ฮ่า ๆๆ เกรงว่าท่านผู้เฒ่าคงต้องผิดหวังเสียแล้ว”

รอยยิ้มเหยียดหยามยังคงปรากฏอยู่บนใบหน้าของเสี่ยวสือ ก่อนที่ชายหนุ่มจะกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ท่านผู้เฒ่า ท่านไม่ใช่หัวหน้าตระกูลของพวกเราอีกต่อไป ท่านจะเรียกชื่อข้าเฉย ๆ ไม่ได้เป็นอันขาด และท่านก็ไม่มีสิทธิ์มาออกคำสั่งกับข้าหรือใครได้ทั้งนั้น”

“เสี่ยวสือ เจ้ากล้าพูดกับผู้อาวุโสเช่นนี้เชียวหรือ?”

เสี่ยวหู่ระเบิดเสียงคำรามขึ้นมาด้วยความบันดาลโทสะ

เสี่ยวสือชำเลืองมองไปด้วยสีหน้าเรียบเฉย “พวกเราจับตัวคนผู้นี้มา เขากล้าส่งเสียงดังรบกวนการดำเนินพิธี ถือว่าไม่มีสถานะเป็นคนของตระกูลเสี่ยวอีกต่อไป…”

ทันใดนั้น มือกระบี่ที่สวมใส่ชุดเกราะจำนวนหนึ่งก็พุ่งทะยานออกมาจากสวนด้านข้างและล้อมกรอบเสี่ยวหู่ ผู้อาวุโสหัวหน้าตระกูลสาขาเจ็ดอยู่ตรงกลาง

“เจ้าเด็กชั่วร้าย เจ้าคิดจะทำสิ่งใด?”

เสี่ยวหู่คำรามเกรี้ยวกราด

“หึหึ อย่าขัดขืนเลยน่า เสี่ยวหู่” ผู้นำกลุ่มมือกระบี่ก็คือเสี่ยวเจิ้น เขากำลังพูดออกมาด้วยความเย้ยหยัน

ผู้อาวุโสเสี่ยวเหยียนโกรธแค้นจนตัวสั่นเทา

เขาชำเลืองมองเหล่านายทหารที่อยู่ทั่วงานเลี้ยง ก่อนกล่าวด้วยเสียงก้องกังวานว่า “พวกเจ้ายังยืนนิ่งเฉยอยู่ทำไมอีก เห็นได้ชัดว่าข้าถูกผู้อื่นกระทำการรังแกโดยไม่ได้รับความไม่ยุติธรรม เหตุไฉนถึงยังไม่รีบแสดงตัว!”

เสียงฝีเท้าพลันดังขึ้น

และสุดยอดมือกระบี่อีกหนึ่งหน่วยที่สวมใส่ชุดเกราะสีแดงสดก็พุ่งออกมาจากสวนด้านข้าง แสดงตัวตามคำสั่งชายชรา

นายทหารของทั้งสองฝ่ายเผชิญหน้ากัน

ในอากาศเต็มไปด้วยรังสีแห่งการฆ่าฟัน

“บัดนี้ ข้าคือหัวหน้าตระกูลเสี่ยว พวกเจ้ากล้าขัดขืนคำสั่งข้าหรือ?”

เสี่ยวสือคำรามออกมาด้วยความโกรธแค้น

บรรดามือกระบี่ในชุดเกราะสีแดงมีสีหน้าเรียบเฉย

เมื่อเห็นว่างานเลี้ยงเกิดความวุ่นวายขึ้นมาแล้ว สีหน้าของกลุ่มแขกเหรื่อก็เริ่มตึงเครียดขึ้นมาไม่น้อย บางส่วนเฝ้าดูเหตุการณ์ด้วยความลุ้นระทึก ในขณะที่อีกส่วนหนึ่งเฝ้าดูเหตุการณ์ด้วยความเศร้าและสัมผัสได้ถึงความตายที่กำลังจะเกิดขึ้น

สถานการณ์โดยรวมในนครหลวงเริ่มควบคุมไม่ได้แล้ว

สิ่งที่เกิดขึ้นกับตระกูลเสี่ยวในขณะนี้คงไม่ใช่ครั้งสุดท้าย

ทุกคนสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนว่าผู้อาวุโสเสี่ยวเหยียนกำลังรวบรวมพลังลมปราณ

ทันใดนั้น อัครเสนาบดีจั่วเซียงก็ลุกขึ้นยืนอย่างแช่มช้า

“วันนี้คือพิธีการส่งมอบตำแหน่งหัวหน้าตระกูลคนต่อไป นี่คืองานมงคล เหตุไฉนต้องรบราฆ่าฟันกันด้วย ข้ามาที่นี่ในฐานะผู้สงบศึก ท่านหัวหน้าตระกูลเสี่ยว ได้โปรดปล่อยตัวเสี่ยวเย่และผู้อาวุโสเสี่ยวเหยียนไปเถิด เรื่องราวในวันนี้ถือว่าเลิกแล้วต่อกัน มีอะไรก็ค่อย ๆ พูดค่อย ๆ คุยกันดีกว่า”

เขากล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม

คำพูดของอัครเสนาบดีจั่วเซียงย่อมมีน้ำหนักควรรับฟัง

ชายชราผู้นี้ดูแลบริหารบ้านเมืองมาหลายปี มีความสามารถทั้งด้านบุ๋นด้านบู๊ อีกทั้งยังกุมอำนาจอยู่ในมือไม่ใช่น้อย

ยามปกติ เมื่ออัครเสนาบดีจั่วเซียงพูดออกมา แม้แต่เหล่าหัวหน้าสิบตระกูลใหญ่แห่งนครหลวงก็ยังต้องรับฟัง

แต่ไม่ใช่วันนี้!

ทุกคนเห็นความลังเลปรากฏขึ้นบนสีหน้าของเสี่ยวสือ

วันนี้เป็นวันแห่งการถอนรากถอนโคน หากเสี่ยวสือปล่อยศัตรูตัวฉกาจให้หลุดมือไป ภายภาคหน้าตัวเขาเองอาจจะมีปัญหาได้

บรรยากาศปกคลุมด้วยความเงียบ

หากมีเข็มสักเล่มตกบนพื้นก็ยังได้ยิน

“แหม แหม แหม อัครเสนาบดีจั่ว นี่เป็นเรื่องภายในตระกูลของผู้อื่น เหตุไฉนท่านที่เป็นคนนอกถึงต้องยื่นมือเข้าไปแทรกแซง?”

เสียงหนึ่งพลันดังขึ้น

ทุกคนหันหน้ามองไปทางต้นเสียง

และพบว่าคนที่พูดออกมาก็คือจีหวูชวง

หัวใจของเหล่าแขกผู้มาร่วมงานกระตุกวูบ

เสี่ยวอี้และเสี่ยวหยวนจากตระกูลเสี่ยวเป็นคนของคณะทูตจากกลุ่มพันธมิตรจักรวรรดิส่วนกลางจริง ๆ หรือ?

บัดนี้ ต่อให้จั่วเซียงพูดอะไรออกมา มันก็คงไม่มีประโยชน์อีกแล้ว

แน่นอนเป็นที่สุดว่าเสี่ยวสือผู้ยืนอยู่บนเวทีเมื่อได้ยินเช่นนี้ก็แสยะยิ้มชอบใจ และหันไปมองหน้าจั่วเซียงด้วยความเหยียดหยาม “ท่านอัครเสนาบดีจั่ว นี่คือเรื่องภายในตระกูลเสี่ยว ท่านเป็นคนนอก อย่าได้เข้ามาก้าวก่ายจะเป็นการดีที่สุด”

จั่วเซียงเลิกคิ้วสูง

รอยย่นบนหน้าผากของเขาเพิ่มมากขึ้น

รอยยับย่นบนใบหน้าของชายชราไม่ต่างไปจากร่องรอยกระบี่ที่พัวพันกันอย่างดุเดือด

แต่อย่างไรก็ตาม เสี่ยวสือกลับไม่สนใจอัครเสนาบดีจั่วเซียงอีกแล้ว เขาหันหน้าไปออกคำสั่งกับกลุ่มนายทหารที่ยืนอยู่หน้าเวที

“ทำไมพวกเจ้ายังไม่ไปลากตัวเสี่ยวหู่มาอีก? หากเขาขัดขืน ก็ให้ฆ่าทิ้งซะ”

“ลงมือได้!”

“เจ้ากล้าหรือ?” ผู้อาวุโสเสี่ยวเหยียนระเบิดเสียงคำรามไม่ต่างจากพญาราชสีห์ ดวงตาเป็นประกายวาวโรจน์ ก่อนจะหันหน้าไปจ้องมองเสี่ยวเจิ้น “ข้าขอถามใจเจ้า เจ้าจะกล้าทำจริง ๆ หรือ?”

เมื่อถูกจ้องมองจากผู้อาวุโสเช่นนี้ ในหัวใจของเสี่ยวเจิ้นก็รู้สึกร้อนรนขึ้นมาทันที

ผู้อาวุโสเสี่ยวเหยียนเป็นหัวหน้าตระกูลเสี่ยวมายาวนานหลายปี ความจงรักภักดีย่อมหลงเหลืออยู่ในหัวใจของทุกคนบ้างไม่มากก็น้อย

แต่เมื่อเสี่ยวอี้เห็นเช่นนั้น เขาก็รีบยื่นมือเข้ามาแทรกแซงโดยเร็ว

เนื่องจากรู้ดีว่าโอกาสเช่นวันนี้คงหาครั้งที่สองไม่ได้อีกแล้ว ดังนั้น เสี่ยวอี้จึงกล่าวออกมาด้วยเสียงแข็งกร้าว “เสี่ยวเหยียน ท่านอาศัยความเป็นหัวหน้าตระกูลใหญ่ สมคบคิดแผนการชั่วร้ายกับเสี่ยวเย่ นอกจากทรยศตระกูลของพวกเรา ท่านยังคิดทรยศต่อประเทศชาติ เดิมทีพวกข้าเห็นแก่หน้าท่านจึงจะปล่อยปละละเว้นท่านไป ใครเลยจะคิดว่าจิตใจของท่านชั่วร้ายถึงเพียงนี้ พวกเราตัดหัวเสี่ยวเหยียน วันนี้อย่าปล่อยให้เขาหลบหนีออกนอกตระกูลเสี่ยวได้เด็ดขาด”

คำพูดยังไม่ทันจบประโยค

รังสีกระบี่ก็สาดประกายออกมาจากกลุ่มผู้คน มันมีความรวดเร็วปานสายฟ้าฟาดไม่อาจหยุดยั้ง พลังทำลายล้างพุ่งตรงมาที่ชายชราเสี่ยวเหยียน

นี่คือสิ่งที่ถูกเตรียมการไว้ก่อนล่วงหน้า

มือสังหารซ่อนตัวอยู่หลังกลุ่มนายทหารชุดเกราะและปลอมตัวเป็นมือกระบี่ระดับสามัญ

ก่อนหน้านี้ มือสังหารไม่แสดงตัว แต่เมื่อได้รับสัญญาณ ก็สามารถลงมือได้โดยทันที เมื่อกระบี่ถูกชักออกจากฝัก พลังทำลายล้างจากตัวกระบี่ก็ทำให้แม้แต่ก้อนหินที่อยู่ข้างทางกระเด็นออกไปไกลหลายวา

มือสังหารมีพลังอยู่ในขั้นยอดปรมาจารย์ตอนปลาย

นั่นคือสิ่งที่ปรากฏขึ้นในความคิดของจั่วเซียง

ตัวเขาเองยืนอยู่ไกลมากเกินไป คิดจะเข้าไปช่วยเหลือก็สายเกินการณ์

หมดหวังแล้ว!

บรรดาแขกเหรื่อล้วนมั่นใจว่าผู้อาวุโสเสี่ยวเหยียนคงทำได้เพียงรอรับความตายเท่านั้น

แต่ผู้ที่ตกตะลึงและเจ็บปวดใจมากที่สุดในเหตุการณ์นี้ ก็คือเสี่ยวเย่ผู้ถูกจับมัดและควบคุมตัวด้วยนายทหารห้าคน

ทุกสิ่งทุกอย่างผ่านการวางแผนมาเป็นอย่างดี

เลือดของผู้อาวุโสเสี่ยวเหยียนสาดกระจายเต็มพื้นหิน

นั่นคือสิ่งที่อยู่ในจินตนาการของทุกคน

แต่ลมหายใจต่อมานั้นเอง

เคร้ง!

ได้ยินเสียงโลหะปะทะโลหะดังขึ้น

ประกายไฟสาดกระจาย

แล้วเงาร่างของบุคคลผู้หนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้นเบื้องหน้าผู้อาวุโสเสี่ยวเหยียนราวกับเป็นภูตผี ชายฉกรรจ์คนนี้ยกมือขึ้นมาเล็กน้อย และสามารถคว้าจับกระบี่ของผู้ลอบสังหารได้อย่างแนบแน่นแม่นยำ…

“ในที่สุด หนูโสโครกก็โผล่หัวออกมาแล้ว”

ชายฉกรรจ์สะบัดข้อมือเพียงเล็กน้อย

เพล้ง! เพล้ง!

แล้วกระบี่ยาวที่อยู่ในมือของเขาก็แตกกระจายกลายเป็นเศษเล็กเศษน้อย

มือสังหารที่ลอบโจมตีกระอักเลือดออกมาจากปากคำใหญ่ราวกับได้รับบาดเจ็บสาหัส ก่อนที่ตัวคนจะลอยกระเด็นออกไปกระแทกเข้ากับโขดหินใหญ่ก้อนหนึ่งในสวนหย่อมด้านข้าง

โขดหินก้อนนั้นแตกกระจายไม่เหลือชิ้นดี