ตอนที่ 2220 คุณทำงานให้ตระกูลฉี?

อัจฉริยะสมองเพชร

หรือบางที*…ความลับของการยกระดับวรยุทธอย่างรวดเร็วของนายน้อยอาจอยู่ที่การกระดกยา?*

เพราะถึงอย่างไร ก็เคยมีกรณีที่นักรบสามารถก้าวข้ามการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ด้วยการรับเอาพลังจิตวิญญาณปริมาณมหาศาลเข้าสู่ร่างกาย

ซุนฉางลูบคางขณะเกิดความคิดพิเรน

จางเซวียนไม่รู้ว่าพ่อบ้านกำลังคิดอะไร เขาหันกลับมาถาม “ตอนที่ผมกำลังฝึกฝนวรยุทธน่ะ คุณหาวิธีเพิ่มพละกำลังให้กายเนื้อได้หรือยัง?”

ซุนฉางขมวดคิ้วกับคำถามของจางเซวียน

ตอนนี้เขาอยากใช้มีดเฉาะหัวชายหนุ่มเพื่อดูว่ามีอะไรอยู่ข้างใน

ตัวคุณใช้เวลาฝึกฝนวรยุทธแค่ 3อึดใจแล้วจะมาคาดหวังอะไรกับผม*?คิดได้ไงว่าจะให้ผมค้นพบนั่นนี่ภายในเวลาเพียงไม่กี่นาที?ความรู้มันจะโผล่ขึ้นมาในหัวสมองของผมทันทีที่ผมต้องการหรือ?*

“ผมจะพยายามเดี๋ยวนี้แหละ”

ซุนฉางสูดหายใจลึกเพื่อยับยั้งตัวเองไม่ให้พลั้งปาก แต่ขณะที่กำลังจะจากไป ก็พลันนึกอะไรได้บางอย่าง “นายน้อย จัวเฟิงติดตามเรามาได้สักพักแล้ว เขาบอกว่าอยากตอบแทนความช่วยเหลือของคุณ ในเมื่อเขาเป็นนายพลประจำเมืองหลวงของน่านฟ้าแห่งจิตวิญญาณเร่ร่อน แถมเป็นนักรบระดับเทพเจ้าสวรรค์สร้างขั้นกลางด้วย ผมคิดว่าเขาคงพอรู้เรื่องพวกนั้นอยู่บ้าง”

จัวเฟิงคือนายพลเกราะเงินคนนั้น

ด้วยตำแหน่งของเขา ก็มีความเป็นไปได้สูงที่เขาจะรู้ข้อมูลที่คนอื่นๆเข้าถึงได้ยาก

เมื่อได้เป็นเทพเจ้าสวรรค์สร้าง วิถีทางที่จางเซวียนจะใช้บ่มเพาะกายเนื้อและจิตวิญญาณของเขาก็ดูเหมือนจะมีน้อยลงหลายเท่า อีกอย่าง ทรัพยากรสำหรับการฝึกฝนวรยุทธที่พอจะใช้การได้สำหรับเทพเจ้าสวรรค์สร้างก็มีราคาสูงลิ่ว ไม่มีทางที่ใครสักคนจะได้ข้อมูลแบบนั้นมาง่ายๆ

“เชิญเขาไปบ้านพักของเรา” จางเซวียนพูด

ไม่ช้า ทั้งสามก็มาอยู่ในห้องโถงใหญ่ที่บ้านพักของจางเซวียน

“ปรมาจารย์จาง!” จัวเฟิงทักทาย

ชายหนุ่มคนนี้ช่วยชีวิตลูกชายของเขาและมอบความหวังของอนาคตที่สดใสกว่าเดิมให้ นี่คือบุญคุณครั้งใหญ่ เขาไม่รู้เลยว่าจะชดใช้หนี้บุญคุณครั้งนี้ได้อย่างไร แต่ก็ตัดสินใจจะตอบแทนผู้มีพระคุณของลูกชายของเขาให้ได้

“มีเรื่องหนึ่งที่ผมอยากถามคุณ” จางเซวียนพูด

“เชิญปรมาจารย์จางถามได้ทุกอย่าง”

“ผมอยากบ่มเพาะกายเนื้อและขัดเกลาจิตวิญญาณ คุณพอรู้วิธีที่ผมจะทำแบบนั้นได้ไหม? ถ้าคุณชี้ทางที่เหมาะสมให้ผมได้ล่ะก็ ผมก็คิดว่าเราหายกัน ไม่จำเป็นต้องติดหนี้บุญคุณอะไรต่อกันอีก”

“คือ…” จั๋วเฟิงคิดไม่ถึงว่าจางเซวียนจะถามคำถามง่ายๆแบบนี้ เขาครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนจะให้คำตอบ “ผมพอรู้กรรมวิธีบ่มเพาะกายเนื้อจากกองทัพมาบ้าง แต่ส่วนใหญ่ใช้สำหรับนักรบระดับเทพเจ้า ถ้าเป็นคนที่เก่งกาจระดับคุณล่ะก็ ผมพอรู้ว่ามีวิธีที่เหมาะสมกับนักรบระดับเทพเจ้าสวรรค์สร้างอย่างคุณ แต่ในเวลานี้อาจทำได้ไม่ง่ายๆนัก”

“อย่างนั้นหรือ?”

“ว่ากันว่าสถานที่ที่ดีที่สุดสำหรับการบ่มเพาะกายเนื้อของนักรบระดับเทพเจ้าสวรรค์สร้างคือแอ่งลาวาอมตะ ลาวาอมตะเปี่ยมด้วยพลังจิตวิญญาณที่ทำให้นักรบเยียวยาอาการบาดเจ็บทุกชนิดได้อย่างรวดเร็ว เป็นสถานที่ที่เหมาะสมที่สุดต่อการบ่มเพาะและฝึกฝนกายเนื้อ แต่ความร้อนแผดเผาที่เคยมีอยู่ในแอ่งลาวาอมตะได้เหือดหายไปตั้งแต่ 40 ปีก่อน ทำให้ลาวาแข็งตัวไปหมด และจอมราชันย์อมตะก็ไม่เคยฟื้นฟูบูรณะมันนับตั้งแต่ตอนนั้น จึงกลายเป็นดินแดนที่ถูกทิ้งร้าง” จัวเฟิงพูด

“จอมราชันย์อมตะ?” จางเซวียนสะดุด “1 ใน 9 จอมราชันย์หรือ?”

ชื่อนั้นทำให้เขาคิดอะไรได้บางอย่าง

เขาจำได้ว่าเคยเห็นป้ายหลุมฝังศพของจอมราชันย์อมตะในเมืองแห่งมิติที่ถูกทำลายของมิติเบื้องบน ตอนนั้นเขายังไม่รู้จักวรยุทธระดับขั้นต่างๆของสรวงสวรรค์ และเข้าใจว่าจอมราชันย์อมตะเป็นแค่เทพเจ้าธรรมดา จึงไม่ได้ใส่ใจ

แต่เมื่อได้ยินชื่อนั้นจากปากของจัวเฟิงอีกครั้ง ทุกอย่างก็คลิกทันที

เก้าจอมราชันย์ได้ชื่อว่าเป็นผู้แข็งแกร่งที่สุดในสรวงสวรรค์ พวกเขาอยู่มายาวนานจนไม่มีใครจำความได้ แล้วจะมีจอมราชันย์เสียชีวิตได้อย่างไร?

ป้ายหินหลุมฝังศพนั้นเป็นหลุมศพของจอมราชันย์อมตะจริงๆ หรือเป็นตัวแทนของสิ่งอื่น?

“ใช่” จัวเฟิงพยักหน้า “จอมราชันย์อมตะเป็นคนเก็บเนื้อเก็บตัว เขาไม่ปรากฏตัวให้ใครๆเห็นมา 2-3 ทศวรรษแล้ว”

“2-3 ทศวรรษ?” จางเซวียนขมวดคิ้ว “แล้วตลอด 40 ปีที่ผ่านมา เขาได้ต่อสู้กับจอมราชันย์ผู้พิชิตสวรรค์บ้างหรือเปล่า?”

ถึงตอนนี้ จัวเฟิงเบาเสียงและสื่อสารโดยใช้โทรจิต “นั่นคือสิ่งที่ใครๆพูดกัน แต่ไม่มีรายละเอียดว่าการต่อสู้เกิดขึ้นที่ไหน ผลการต่อสู้เป็นอย่างไร หรือเกิดการต่อสู้ขึ้นจริงๆหรือเปล่า ผมรู้มาว่าจอมราชันย์พิชิตสวรรค์เดินทางไปท้าทายเขา แต่จอมราชันย์อมตะก็กลับยอมแพ้ง่ายๆโดยไม่แม้แต่จะพบหน้าอีกฝ่าย แต่ก็นั่นแหละ เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับจอมราชันย์โดยตรง พูดให้น้อยเข้าไว้จะดีกว่า”

ถ้าจางเซวียนไม่ใช่ผู้มีพระคุณของลูกชายของเขา จัวเฟิงจะไม่มีวันบอกอะไรมากขนาดนี้ ข้อมูลที่เขาเพิ่งพูดออกมาเป็นเรื่องที่ประชาชนทั่วไปแทบไม่เคยล่วงรู้ แต่ในฐานะเทพเจ้าสวรรค์สร้างขั้นกลาง เขายังพอได้ข่าวคราวอยู่บ้าง

“ผมเข้าใจ…” จางเซวียนพึมพำ

ถ้าอย่างนั้น ป้ายหินฝังศพของจอมราชันย์อมตะที่เขาเห็นในเมืองแห่งมิติที่ถูกทำลายก็น่าจะเป็นของจริง

ว่าแต่…จอมราชันย์ตายได้จริงๆหรือ?

แถมคนตายยังมีสมญานามที่แสนจะย้อนแย้งว่าจอมราชันย์อมตะ!

ถ้าเรื่องนี้เกิดเมื่อ 40 ปีก่อน ก็ประจวบเหมาะกับช่วงเวลาที่พลังจิตวิญญาณเริ่มเสื่อมถอย แล้วตอนนั้นเกิดอะไรขึ้นกันแน่?

“ไม่ทราบว่าจอมราชันย์อมตะปกครองน่านฟ้าไหน?” จางเซวียนถาม

เขาอ่านเรื่องราวของเก้าน่านฟ้ามาไม่น้อย แต่ก็น่าแปลกที่แทบไม่มีรายละเอียดเกี่ยวกับจอมราชันย์ ทั้งที่เรื่องพวกนั้นน่าจะเป็นข้อมูลทั่วไป ราวกับการพูดถึงพวกเขาเป็นข้อห้าม

“จอมราชันย์อมตะปกครองน่านฟ้าแห่งจิตวิญญาณต้นกำเนิด เรียกขานในอีกชื่อหนึ่งว่าน่านฟ้าอมตะ ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของสรวงสวรรค์ ถัดจากน่านฟ้าแห่งจิตวิญญาณเร่ร่อนของเราไปทางฝั่งขวา ความโด่งดังของมันคือแม่น้ำ 5 สายและบึง 3 แห่งซึ่งกินพื้นที่ของดินแดนเป็นบริเวณกว้าง ผมมีโอกาสไปเยือนเมืองหลวงของน่านฟ้าแห่งจิตวิญญาณต้นกำเนิดครั้งหนึ่ง แต่ไม่ได้สำรวจบริเวณรอบนอก และรู้มาว่าเมืองหลวงชั้นในของที่นั่นเจริญรุ่งเรืองมาก เจริญกว่าเมืองหลวงของน่านฟ้าแห่งจิตวิญญาณเร่ร่อนของเราเสียอีก แต่ดูเหมือนมันจะล่มสลายไปพร้อมกับจอมราชันย์อมตะตั้งแต่เมื่อหลายสิบปีก่อน…”

จางเซวียนพยักหน้า

เขาได้อ่านเรื่องราวของน่านฟ้าแห่งจิตวิญญาณต้นกำเนิดเช่นกัน แต่ไม่คิดว่ามันจะเกี่ยวข้องกับราชันย์อมตะ ถ้าเขารู้ว่าอีกชื่อหนึ่งของมันคือน่านฟ้าอมตะล่ะก็ คงจะปะติดปะต่อ 2 ประเด็นนี้เข้าด้วยกันแล้ว

“สมัยก่อน แอ่งลาวาอมตะเปิดรับผู้คนจากทั้งเก้าน่านฟ้า ทุกปี เก้าน่านฟ้าจะได้รับโควต้าจำนวนหนึ่ง พวกเขาสามารถส่งอัจฉริยะผู้ปราดเปรื่องในดินแดนของตัวเองไปบ่มเพาะร่างกายที่นั่น ในช่วงเวลานั้น การได้รับเลือกให้เข้าสู่แอ่งลาวาอมตะถือเป็นเกียรติสูงสุด แต่เมื่อความร้อนเหือดแห้งไป กระบวนการนี้ก็หยุดชะงัก และจากนั้นเป็นต้นมา ทั้งเก้าน่านฟ้าก็ต้องหาสถานที่ของตัวเองเพื่อบ่มเพาะกายเนื้อของเหล่านักรบ”

“กองทัพของเราก็มีสถานที่แบบนั้นอยู่ที่หนึ่ง แต่ผู้ใช้ส่วนใหญ่เป็นนักรบระดับเทพเจ้า ส่วนสถานที่ที่ดีที่สุดสำหรับการบ่มเพาะร่างกายของเทพเจ้าสวรรค์สร้างในเมืองหลวงแห่งนี้ก็คือทะเลสาบจันทร์กระจ่างของตระกูลฉี เพียงแต่ตระกูลฉีถือตัวมาก ขนาดบริวารเก่าแก่อย่างพวกเราก็ไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไป” จัวเฟิงพูดพร้อมกับยิ้มเจื่อนๆ

“บริวารเก่าแก่ คุณทำงานให้ตระกูลฉี?” จางเซวียนถาม

“ใช่ จะพูดอย่างนั้นก็ได้ ผมเคยอยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของตระกูลฉี”

อาจเป็นเพราะเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับความลับสุดยอดของกองทัพ คำตอบของจัวเฟิงจึงคลุมเครือ

เมื่อจับทางได้ จางเซวียนตัดสินใจเปลี่ยนเรื่อง “ก็ช่วยไม่ได้ถ้าตระกูลฉีไม่อนุญาตให้คนนอกใช้สถานที่ของพวกเขา แล้วคุณรู้วิธีบ่มเพาะกายเนื้อวิธีอื่นไหม?”

ตัวเขาเองก็ลักลอบเข้าไปใช้ทรัพยากรของตระกูลฉีไม่ได้เช่นกัน

เขาเป็นแค่พลเมืองธรรมดาสามัญคนหนึ่ง และจะไม่มีวันชกใต้เข็มขัด!

ที่ผ่านมา ถ้าเขาเคยทำอะไรไม่เข้าท่ามาบ้าง นั่นก็เป็นเพราะความโง่เขลาแบบวัยรุ่น

ไม่มีเหตุผลอื่นใดที่ทำให้จางเซวียนต้องตัดสินใจทำอะไรแบบนั้น

“ผมคิดไม่ออก” จัวเฟิงส่ายหน้า “เทพเจ้าสวรรค์สร้างมีร่างกายที่แข็งแกร่งทนทาน กรรมวิธีทั่วไปจึงใช้กับพวกเขาไม่ได้ ทรัพยากรส่วนใหญ่ที่มีประสิทธิภาพสูงก็แสนจะหายาก หรือไม่ก็เป็นสมบัติของทางการและตระกูลใหญ่ๆ นักรบทั่วไปไม่มีโอกาสเข้าถึงหรอก นักรบส่วนใหญ่ใช้แต่พลังงานสวรรค์สร้างของพวกเขาเท่านั้นในการบ่มเพาะร่างกาย…”

จางเซวียนเงียบ

จัวเฟิงพูดถูก

เมื่อเขาได้เป็นเทพเจ้าสวรรค์สร้าง จึงได้รู้ว่านักรบระดับนี้ไร้เทียมทานขนาดไหน มีแต่ทรัพยากรที่มีศักยภาพระดับหนึ่งเท่านั้นถึงจะใช้การได้ และข้าวของเหล่านั้นก็แพงลิบลิ่ว นักรบธรรมดาสามัญไม่มีทางมั่งคั่งพอจะซื้อหาได้เลย!

ดังนั้น พวกเขาจึงจำเป็นต้องอาศัยเวลาในการบ่มเพาะกายเนื้อของตัวเอง

“เอ่อ…ถ้าปรมาจารย์จางต้องการใช้ทะเลสาบจันทร์กระจ่างจริงๆ ผมพอจะละทิ้งศักดิ์ศรีและร้องขอให้คุณได้ แต่ต้องบอกไว้ก่อนว่าโอกาสทำสำเร็จมีน้อยมาก…” จัวเฟิงเสริม

“ผมเข้าใจ เท่านั้นก็เป็นบุญคุณแล้ว” จางเซวียนประสานมือตอบ

เขาจำเป็นต้องเร่งยกระดับวรยุทธ โอกาสในการเข้าสู่ทะเลสาบจันทร์กระจ่างจึงสำคัญมาก

“ผมจะลองดูก็แล้วกัน” จัวเฟิงพยักหน้าก่อนจะเดินออกจากบ้านพักของจางเซวียน

หลังจากที่จัวเฟิงจากไปได้ไม่นาน จางเซวียนก็เดินเข้าไปในลานบ้าน เห็นฉีหลิงเอ๋อนั่งอยู่บนม้านั่งตัวหนึ่ง ดูเหมือนเธอจะเหน็ดเหนื่อยไม่น้อย ใบหน้างดงามของเธอแสดงอาการอ่อนล้า ทั้งยังถอนหายใจอย่างจนปัญญาออกมาเป็นระยะๆ

“นายน้อยจาง…”

“การสืบข่าวของคุณไปถึงไหนแล้ว?” จางเซวียนถาม

“ฉันไปตามหาเพื่อนเก่าบางคนที่ตลาดมืดของเมืองหลวง หวังจะได้ข้อมูลจากพวกเขาบ้าง แต่ฉีชุนเอ๋อรู้ว่าฉันกลับมาและจงใจรายงานเรื่องการกลับมาของฉันต่อตระกูลฉี…พวกเขาออกคำสั่งให้ฉันกลับตระกูล ฉันจึงไม่มีทางเลือกนอกจากต้องไปที่นั่น” ฉีหลิงเอ๋อส่ายหน้า

“กลับตระกูลฉีเมื่อไหร่ ทุกการเคลื่อนไหวของฉันน่าจะถูกควบคุมอย่างเข้มงวด ฉันจึงมาที่นี่เพื่อบอกคุณไว้ก่อน”

จางเซวียนงงเมื่อได้ฟังฉีหลิงเอ๋อ

ทำไมตระกูลฉีต้องเข้มงวดกับการเคลื่อนไหวของเธอเมื่อรู้ว่าเธอกลับมา*? ทำอย่างกับเธอเป็นอาชญากร?*