บทที่ 30 แผนสำรอง (1)
“แดนเงา เป็นแดนเงา”
บ้างก็ไม่สามารถระบุได้ว่าสิ่งที่ตนเห็นคืออะไร
ประตูบานสีดำลอยเด่นอยู่บนฟ้า เหนือศีรษะคือเส้นทางสู่แดนเงา น้ำเสียงเมื่อครู่คือน้ำเสียงของราชันปีศาจมืด
จักรพรรดิอีกาแท้จริงแล้วมีวิชาเหมือนเผ่าวิญญาณ สามารถเปิดประตูแห่งความมืด ปลดปล่อยราชันปีศาจมืดออกมาได้
ระดับพลังของมันนั้นนับว่าเป็นขั้นสูงสุด
แต่ขั้นสูงสุดก็ยังแบ่งออกเป็นหลายระดับ กระทั่งราชันปีศาจมืดเองก็ยังไม่สามารถรับมือกับเทพอสูรได้ง่าย ๆ
ราชันปีศาจมืดเอื้อมมือออกมาตามสัญญาณที่จักรพรรดิอีกาบอก มันเอื้อมมาคว้าเหยี่ยวทองไว้
เหยี่ยวทองเผยแววตาดูถูก ก่อนจะใช้จะงอยปากจิกลงบนมือราชันปีศาจมืด
เทพอสูรจะกลัวการโจมตีทางกายภาพงั้นหรือ?
เหยี่ยวทองราวกับพบแมลงแสนอร่อยพุ่งเข้ามาหาเองก็ไม่ปาน
มือราชันปีศาจมืดถูกจะงอยปากเหยี่ยวทำลายจนแตกสลาย
“พลังน่าเกรงขามนัก! นี่มัน… เป็นเทพอสูรนี่! เทพอสูร! อีกา ไอ้เจ้าบัดซบ เจ้าหลอกข้ามานี่!” ราชันปีศาจมืดร้องเสียงเจ็บปวดมาจากภายในประตูแห่งความมืด ส่วนแขนที่เหลือหดกลับไปพยายามหลบหนี
ทว่าเหยี่ยวยักษ์กัดไม่ปล่อย ใช้จะงอยปากเกี่ยวร่างราชันปีศาจมืดไว้แล้วลากมันออกจากประตู
“ไม่!! ให้ข้าไป!” ราชันปีศาจมืดขู่คำรามดุดัน น่าเสียดายที่ร่างกายค่อย ๆ ถูกดึงออกมาจากประตูแล้ว
ราชันปีศาจมืดขนาดตัวค่อนข้างใหญ่ ตัวที่เผ่าวิญญาณอัญเชิญออกมาสูงมากถึง 300 จั้ง
ส่วนตัวที่จักรพรรดิอีกาอัญเชิญออกมาก็สูงอย่างน้อยเป็น 100 จั้ง
กระนั้นต่อหน้าเหยี่ยวยักษ์ก็ยังเหมือนเด็กคนหนึ่ง เจ้าเหยี่ยวลากมันออกมานอกประตูแห่งความมืด ริ้ววายุซัดกระหน่ำเข้าใส่ หมายลงมืองั้นหรือ? เช่นนั้นก็ตายเสีย!
ราชันปีศาจมืดร้องลั่น “อีกา ความผิดเจ้าแท้ ๆ เลย มาช่วยข้าสิ!”
ทว่าจักรพรรดิอีกากลับไม่สน ประตูแห่งความมืดคือเส้นทางตรงสู่แดนเงา จะคงอยู่ได้ไม่ได้ ขึ้นอยู่กับว่าเป็นราชันปีศาจมืดตนใด ต่อไปยังหาตัวแทนมาได้อีก ดังนั้นหากราชันปีศาจมืดตนนี้ตายก็ไม่ส่งผลอะไร
ราชันปีศาจมืดรู้ว่าตนเองจบแล้ว มันอุตส่าห์ได้เห็นแสงตะวันแล้วแท้ ๆ แต่กลับต้องออกมาเจอชะตากรรมโหดร้ายเช่นนี้ มันหันหน้าไปเผชิญกับเหยี่ยวยักษ์ที่ยังซัดพลังใส่มันไม่หยุดแล้วคำราม “ข้าจะไม่ยั้งมือ!”
ปราณชั่วร้ายสีทะมึนเริ่มแผ่ออกจากร่าง รุดหน้าเข้าใส่เหยี่ยวยักษ์
ความแข็งแกร่งของราชันปีศาจมืดเหนือกว่าปรมาจารย์อาร์คาน่าระดับตำนาน แม้มันจะอ่อนแอกว่าเผ่าพันธุ์เดียวกันไปสักหน่อย แต่ก็ยังนับว่าแข็งแกร่ง เหยี่ยวทองยังไม่สามารถหลบการโจมตีได้โดยไร้บาดแผล เมื่อปราณชั่วร้ายเข้าสู่ร่างเหยี่ยวทอง มันก็เริ่มทำการกัดกร่อน
พลังทำลายของปราณชั่วร้ายมีไม่มาก แต่พลังทะลวงมีมากกว่า เหยี่ยวทองบาดเจ็บอยู่แล้ว ตอนนี้มีปราณชั่วร้ายทะลวงเข้าร่างผ่านบาดแผลจึงไม่จำเป็นต้องผ่านปราการใด ด้วยเหตุนี้ปราณชั่วร้ายจึงรุนแรงกว่าปกติ
เหยี่ยวยักษ์เจ็บปวดแสนสาหัส มันยอมถูกมนุษย์ฟันดาบใส่นับร้อยครั้งดีกว่าถูกปราณชั่วร้ายกัดกร่อนเช่นนี้ การโจมตีที่ทำความเสียหายมากกว่าคงจะมีเพียงการโจมตีด้วยพลังอมตะของซูเฉินเพียงอย่างเดียว
เจ้าเหยี่ยวร้องเสียงโกรธแล้วเริ่มกระหน่ำการโจมตีใส่ราชันปีศาจมืด ราชันปีศาจมืดรู้ว่าตนเองหมดเวลาแล้วจึงโจมตีออกไปเต็มกำลัง พร้อมกันนั้นก็คำรามลั่น อัญเชิญสิ่งมีชีวิตแห่งความมืดจากแดนเงาให้เข้ามาช่วยโจมตีเจ้าเหยี่ยว
ทันใดนั้นทหารเดนตายนับไม่ถ้วนก็ปรากฏขึ้นบนสนามต่อสู้
ซึ่งช่วยแบ่งเบาภาระของผู้อาวุโสได้เล็กน้อย สุดท้ายจึงสามารถโจมตีได้ดั่งใจอยาก โอกาสเช่นนี้นับว่าหาได้ยากนัก
แม้ว่าจะเพิ่งจุดเทียนไขชีวิตไป แต่ทุกคนก็ไม่ลังเลที่จะจุดอีกเล่มแล้วโจมตีอย่างสุดความสามารถ
พลังชีวิตของเหยี่ยวทองเริ่มถดถอยรวดเร็วยิ่งขึ้น ไม่กี่อึดใจต่อมาร่างกายก็เต็มไปด้วยบาดแผลลึก พลังชีวิตกำลังไหลออกนอกร่างอย่างเห็นได้ชัด
สุดท้ายราชันปีศาจมืดก็ถูกฉีกร่างเป็นชิ้น ๆ ประตูแห่งความมืดปิดไปในที่สุด
แต่ความเสียหายที่เกิดขึ้นแล้ว เหยี่ยวยักษ์เจ็บหนัก การเคลื่อนไหวลดความเร็วลงชัดเจน
ซูเฉินเห็นดังนั้นก็รู้ว่าต้องชนะเป็นแน่แท้ ถอนหายใจโล่งอกออกมา
คิดอยู่เล็กน้อยก็ออกคำสั่งว่า “นำค่ายกลสะเก็ดดาวกลับ บอกทุกคนชะลอการโจมตี สลับกองกำลังกันไปอยู่แนวหน้าแล้วทำให้เหยี่ยวยักษ์อ่อนกำลังลงเสีย”
ได้ยินคำสั่งเช่นนั้นทุกคนก็ประหลาดใจ
“ซูเฉิน หากไม่ฉวยจังหวะนี้รีบจัดการ เราก็จะไม่มีโอกาสได้ถือไพ่เหนือกว่าเมืองล่องนภานะ” ฉู่หยวนเป็นกังวล
“เราเสียคนไปมากพอแล้ว ปรับเป็นกลยุทธ์แนวตั้งรับจะช่วยลดจำนวนได้บ้าง”
“แต่ตอนนี้เมืองล่องนภากำลังเร่งเดินทางมาเต็มกำลัง…” หลี่ฉงซานเอ่ยเสียงกังวล
เพราะพวกเขาเองก็ส่งสายลับไปอยู่ในดงปักษาเช่นกัน ซูเฉินกับหลี่ฉงซานจึงรู้ว่าเมืองล่องนภากำลังเพิ่มความเร็ว
“ไม่ต้องห่วง มันมาได้ไม่เร็วนักหรอก ข้าเตรียมของขวัญชิ้นใหญ่ไว้พวกมันแล้ว” ประกายเย็นยะเยือกเต้นระริกในนัยน์ตาซูเฉิน “ฉวยโอกาสจากข้าไปมากนะ หยงเยี่ยหลิวกวง ถึงเวลาเอาคืนแล้ว!”
เมืองล่องนภาพุ่งผ่านฟ้าราวกับดาวตก ส่งเสียงดังลั่นมุ่งหน้าสู่ทุ่งหญ้าฟ้าคลั่งเต็มกำลัง
หยงเยี่ยหลิวกวงยืนอยู่ตรงจุดสังเกตการณ์ มองไปยังขอบฟ้าแสนไกล
บางครั้งก็จะมีปักษาบินเข้ามารายงานข่าว
“แกนพลังงานแห่งซาร์คทำงานเต็มกำลัง ตอนนี้เราเดินหน้าเต็มที่แล้วขอรับ”
“นิกายแห่งพระแม่เริ่มพิธีกระตุ้นวิญญาณเพื่อเพิ่มความเร็วแล้ว น่าจะถึงทุ่งหญ้าฟ้าคลั่งเช้าตรู่วันพรุ่งนี้”
“ผู้สังเกตการณ์ทั้งหมดที่อยู่ในกองทัพมนุษย์ถูกจับตัวไปแล้ว สายลับที่เราซื้อตัวมาถูกสังหารไปเสียมาก แค่สี่ หก และสิบสอง”
หยงเยี่ยหลิวกวงค่อย ๆ อ่านรายงานด้วยใบหน้าไร้อารมณ์
“ฝ่าบาท ข่าวดีขอรับ!” กูเทียนเยวี่ยวิ่งเข้ามา “สี่รายงานมาว่าการต่อสู้กลับสู่ความสมดุล พวกมนุษย์ปรับจากบุกโจมตีเป็นตั้งรับแล้ว”
“อ้อ? สุขุมดีนี่ เหมือนคิดอ่านไว้แล้ว” หยงเยี่ยหลิวกวงเอ่ย “รู้ว่าเราจะมาแต่กลับไม่รีบร้อนเลย”
กูเทียนเยวี่ยเอ่ย “ฝ่าบาท เราลดความเร็วลงสักหน่อยดีหรือไม่? ปักษาหลายคนร่างกายถึงขีดจำกัดแล้วเนื่องจากเร่งเดินทางเต็มกำลังมาเป็นเวลานาน”
แต่หยงเยี่ยหลิวกวงปฏิเสธคำแนะนำเสียงขาด “ไม่ได้ เราจะพักก่อนเดินทางถึงทุ่งหญ้าฟ้าคลั่งไม่ได้”
“รับทราบ!” กูเทียนเยวี่ยตอบอย่างจนใจ
เป็นตอนนั้นเองที่เสียงสัญญาณเตือนดังขึ้นทั่วฟ้า
“หือ? เกิดอะไรขึ้น?” หยงเยี่ยหลิวกวงหันกลับไป
กูเทียนเยวี่ยมองไปยังตำแหน่งที่สัญญาณดังขึ้น “ข้าก็ไม่มั่นใจ ดูเหมือนจะเกิดเรื่องขึ้นตรงนั้น ให้ข้าไปตรวจดูสักหน่อยขอรับ”
ตรงที่ไกล ๆ มีกลุ่มก้อนควันก้อนหนึ่งลอยขึ้นบนท้องฟ้า
กูเทียนเยวี่ยไปถึงอย่างรวดเร็ว เมื่อเห็นว่าเป็นไฟที่ลุกขึ้นจากห้องเก็บของไม่สำคัญแห่งหนึ่งก็ถอนหายใจโล่งอก
เปลวเพลิงดุดันพอสมควร กลิ่นไหม้รุนแรงเต็มจมูกกูเทียนเยวี่ย
กูเทียนเยวี่ยยกมือขึ้นปิดจมูก “นี่เหมือนกลิ่นอะไร… ในห้องเก็บของมีอะไรอยู่กันแน่?”
ปักษาคนหนึ่งคำนับให้ “ท่านแม่ทัพ ที่แห่งนี้เก็บวัตถุดิบที่เก็บเกี่ยวมาจากสถานที่นี้ ส่วนชนิดของสมุนไพร ข้าได้บอกให้คนส่งข่าวไปหาแล้ว”
“หากเป็นเพียงสมุนไพรยาไม่เท่าไหร่ก็ดี ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร คงจะติดไฟโดยบังเอิญ” กูเทียนเยวี่ยเอ่ย โบกมือรำคาญ “ระวังอย่าให้สายลับมนุษย์ฉวยโอกาสช่วงชุลมุนได้เล่า”
“รับทราบ!” ปักษาคำนับให้แล้วตอบเสียงมั่น
ปรมาจารย์อาร์คาน่าผู้หนึ่งเหินเข้ามาปล่อยวิชาน้ำใส่เปลวเพลิง ห่าฝนเริ่มตกลงมาจากฟ้าลงสู่ห้องเก็บของ
น่าแปลกนักที่มันยิ่งทำให้ไฟโหมลุกหนักกว่าเดิมราวกับราดน้ำมันลงไป ทำให้ปรมาจารย์อาร์คาน่าตกใจไม่น้อย
กูเทียนเยวี่ยส่งท่าฝ่ามือหนึ่งเข้าหาเพลิง เขาไม่เก่งวิชาอาร์คาน่าประเภทน้ำ แต่ฝ่ามือนี้ผนึกมิติได้ หากสร้างพื้นที่สุญญากาศรอบเพลิงได้ก็จะสามารถดับมันลงได้
ทันใดนั้นก็เกิดภาพน่าตกใจขึ้น
เปลวเพลิงยังคงโหมกระหน่ำลุกลามไปไม่มีผลกระทบใด กลุ่มก้อนควันยิ่งหนาขึ้นเรื่อย ๆ ก่อกำเนิดเป็นเมฆดำก้อนใหญ่ขึ้นบนฟ้า
กูเทียนเยวี่ยเริ่มรู้สึกผิดปกติจึงออกคำสั่งทันที “ไปตรวจดูว่ามีอะไรเก็บอยู่ในนั้นเดี๋ยวนี้!”
ปักษาคนหนึ่งรีบจากไป กูเทียนเยวี่ยลองอีกหลายวิชา แต่ไฟก็ยังลุกโหมไม่ราแรง
กูเทียนเยวี่ยเริ่มรู้สึกถึงความไม่สบายใจ มีบางอย่างผิดปกติ
สุดท้ายทหารปักษาก็กลับมา “เป็นหญ้าเพลิงเฉา กับผะ…. ผะ…. ผลึกพลังสูญขอรับ”
ทหารปักษาอ้าปากกว้างเมื่อรายงานถึงวัตถุดิบชิ้นที่สอง
“หญ้าเพลิงเฉา? ผลึกพลังสูญ?” กระทั่งกูเทียนเยวี่ยยังชะงักไป
หญ้าเพลิงเฉาเป็นหญ้าพิเศษที่สามารถสร้างควันจำนวนมากได้ ชื่อเพลิงเฉานั้นขัดกับการที่มันสามารถจุดเพลิงให้ติดได้แล้วไม่มอดเสียจริง
ผลึกพลังสูญเป็นทรัพยากรที่มีแต่มนุษย์เท่านั้นที่ถือครอง
ของ 2 อย่างนี้รวมกันจึงเป็นสาเหตุที่ไฟไหม้ดับสักที
เพราะเปลวเพลิงมีพลังสูญบางอย่างคอยปกป้องอยู่ แยกมันออกจากโลกจริง
ถึงตอนนี้มีหรือที่กูเทียนเยวี่ยจะไม่เข้าใจ? เขารีบตะโกนลั่น “ต้องเป็นอุบายพวกมนุษย์แน่!”
“แต่พวกมันต้องการอะไรเล่า?” ปักษาผู้หนึ่งถามขึ้นเสียงสงสัย
กูเทียนเยวี่ยเองก็ชะงักไปกับคำถามนั้น พวกมันต้องการอะไร? เขาเองก็ไม่รู้
เหตุใดมนุษย์ต้องจุดหญ้าเพลิงเฉากองหนึ่งให้ติดไฟด้วย?
เดี๋ยวก่อน
กูเทียนเยวี่ยสูดควันเข้าปอดอีกที เมื่อฝืนทนกลิ่นเปรี้ยวไปได้ เขาก็ได้กลิ่นอะไรบางอย่าง ทันใดนั้นเขาก็ร้องขึ้น “เป็นกลิ่นน้ำลายอสูร!”
กลิ่นน้ำลายอสูรเป็นสมบัติอสูรกายที่ช่วยทำให้พวกมันพัฒนาและปรับตัวได้
ด้วยเหตุนี้มันจึงเป็นวัตถุดิบสำคัญในการสร้างเหยื่อล่ออสูรกาย กระทั่งจักรพรรดิอสูรกายได้กลิ่นยังจิตใจสั่นไหว
และคลังเก็บของแห่งนี้ก็เต็มไปด้วยหญ้าชนิดนี้กว่าครึ่ง ตอนนี้ลมพัดควันไปไกลแล้ว
และถ้าหากมีตัวอะไรอยู่ใกล้ ๆ …
ความคิดหนึ่งพลันผุด เขารีบร้องขึ้นทันที “แย่แล้ว!”
หวูดดดด!!!
เสียงสัญญาณเตือนดังขึ้นบนท้องฟ้า
“ลอบโจมตี!”
“อสูรกายลอบโจมตี!”
เสียงร้องขวัญผวาดังขึ้นรอบทิศ
อสูรกายนับหมื่นพากันมาปรากฏตัวอยู่ที่ขอบฟ้า
พระราชวังลอยฟ้าหลายแห่งเริ่มปรากฏขึ้นเรื่อย ๆ เหนือกองทัพอสูรกาย
“วังปฏิวัติ วังร้อยทบ วังจันทร์ล่อง… เวรแล้ว มันเป็นอสูรจากฝั่งซูเฉินทั้งนั้นเลยนี่! มันไล่พวกมันมาหาเราแทน!” กูเทียนเยวี่ยสบถออกมา ทันใดนั้นเรื่องราวทั้งหมดก็กระจ่างแจ้ง