ภาคที่ 7 ศึกสุดท้าย บทที่ 30 แผนสำรอง (1)

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 30 แผนสำรอง (1)

“แดนเงา เป็นแดนเงา”

บ้างก็ไม่สามารถระบุได้ว่าสิ่งที่ตนเห็นคืออะไร

ประตูบานสีดำลอยเด่นอยู่บนฟ้า เหนือศีรษะคือเส้นทางสู่แดนเงา น้ำเสียงเมื่อครู่คือน้ำเสียงของราชันปีศาจมืด

จักรพรรดิอีกาแท้จริงแล้วมีวิชาเหมือนเผ่าวิญญาณ สามารถเปิดประตูแห่งความมืด ปลดปล่อยราชันปีศาจมืดออกมาได้

ระดับพลังของมันนั้นนับว่าเป็นขั้นสูงสุด

แต่ขั้นสูงสุดก็ยังแบ่งออกเป็นหลายระดับ กระทั่งราชันปีศาจมืดเองก็ยังไม่สามารถรับมือกับเทพอสูรได้ง่าย ๆ

ราชันปีศาจมืดเอื้อมมือออกมาตามสัญญาณที่จักรพรรดิอีกาบอก มันเอื้อมมาคว้าเหยี่ยวทองไว้

เหยี่ยวทองเผยแววตาดูถูก ก่อนจะใช้จะงอยปากจิกลงบนมือราชันปีศาจมืด

เทพอสูรจะกลัวการโจมตีทางกายภาพงั้นหรือ?

เหยี่ยวทองราวกับพบแมลงแสนอร่อยพุ่งเข้ามาหาเองก็ไม่ปาน

มือราชันปีศาจมืดถูกจะงอยปากเหยี่ยวทำลายจนแตกสลาย

“พลังน่าเกรงขามนัก! นี่มัน… เป็นเทพอสูรนี่! เทพอสูร! อีกา ไอ้เจ้าบัดซบ เจ้าหลอกข้ามานี่!” ราชันปีศาจมืดร้องเสียงเจ็บปวดมาจากภายในประตูแห่งความมืด ส่วนแขนที่เหลือหดกลับไปพยายามหลบหนี

ทว่าเหยี่ยวยักษ์กัดไม่ปล่อย ใช้จะงอยปากเกี่ยวร่างราชันปีศาจมืดไว้แล้วลากมันออกจากประตู

“ไม่!! ให้ข้าไป!” ราชันปีศาจมืดขู่คำรามดุดัน น่าเสียดายที่ร่างกายค่อย ๆ ถูกดึงออกมาจากประตูแล้ว

ราชันปีศาจมืดขนาดตัวค่อนข้างใหญ่ ตัวที่เผ่าวิญญาณอัญเชิญออกมาสูงมากถึง 300 จั้ง

ส่วนตัวที่จักรพรรดิอีกาอัญเชิญออกมาก็สูงอย่างน้อยเป็น 100 จั้ง

กระนั้นต่อหน้าเหยี่ยวยักษ์ก็ยังเหมือนเด็กคนหนึ่ง เจ้าเหยี่ยวลากมันออกมานอกประตูแห่งความมืด ริ้ววายุซัดกระหน่ำเข้าใส่ หมายลงมืองั้นหรือ? เช่นนั้นก็ตายเสีย!

ราชันปีศาจมืดร้องลั่น “อีกา ความผิดเจ้าแท้ ๆ เลย มาช่วยข้าสิ!”

ทว่าจักรพรรดิอีกากลับไม่สน ประตูแห่งความมืดคือเส้นทางตรงสู่แดนเงา จะคงอยู่ได้ไม่ได้ ขึ้นอยู่กับว่าเป็นราชันปีศาจมืดตนใด ต่อไปยังหาตัวแทนมาได้อีก ดังนั้นหากราชันปีศาจมืดตนนี้ตายก็ไม่ส่งผลอะไร

ราชันปีศาจมืดรู้ว่าตนเองจบแล้ว มันอุตส่าห์ได้เห็นแสงตะวันแล้วแท้ ๆ แต่กลับต้องออกมาเจอชะตากรรมโหดร้ายเช่นนี้ มันหันหน้าไปเผชิญกับเหยี่ยวยักษ์ที่ยังซัดพลังใส่มันไม่หยุดแล้วคำราม “ข้าจะไม่ยั้งมือ!”

ปราณชั่วร้ายสีทะมึนเริ่มแผ่ออกจากร่าง รุดหน้าเข้าใส่เหยี่ยวยักษ์

ความแข็งแกร่งของราชันปีศาจมืดเหนือกว่าปรมาจารย์อาร์คาน่าระดับตำนาน แม้มันจะอ่อนแอกว่าเผ่าพันธุ์เดียวกันไปสักหน่อย แต่ก็ยังนับว่าแข็งแกร่ง เหยี่ยวทองยังไม่สามารถหลบการโจมตีได้โดยไร้บาดแผล เมื่อปราณชั่วร้ายเข้าสู่ร่างเหยี่ยวทอง มันก็เริ่มทำการกัดกร่อน

พลังทำลายของปราณชั่วร้ายมีไม่มาก แต่พลังทะลวงมีมากกว่า เหยี่ยวทองบาดเจ็บอยู่แล้ว ตอนนี้มีปราณชั่วร้ายทะลวงเข้าร่างผ่านบาดแผลจึงไม่จำเป็นต้องผ่านปราการใด ด้วยเหตุนี้ปราณชั่วร้ายจึงรุนแรงกว่าปกติ

เหยี่ยวยักษ์เจ็บปวดแสนสาหัส มันยอมถูกมนุษย์ฟันดาบใส่นับร้อยครั้งดีกว่าถูกปราณชั่วร้ายกัดกร่อนเช่นนี้ การโจมตีที่ทำความเสียหายมากกว่าคงจะมีเพียงการโจมตีด้วยพลังอมตะของซูเฉินเพียงอย่างเดียว

เจ้าเหยี่ยวร้องเสียงโกรธแล้วเริ่มกระหน่ำการโจมตีใส่ราชันปีศาจมืด ราชันปีศาจมืดรู้ว่าตนเองหมดเวลาแล้วจึงโจมตีออกไปเต็มกำลัง พร้อมกันนั้นก็คำรามลั่น อัญเชิญสิ่งมีชีวิตแห่งความมืดจากแดนเงาให้เข้ามาช่วยโจมตีเจ้าเหยี่ยว

ทันใดนั้นทหารเดนตายนับไม่ถ้วนก็ปรากฏขึ้นบนสนามต่อสู้

ซึ่งช่วยแบ่งเบาภาระของผู้อาวุโสได้เล็กน้อย สุดท้ายจึงสามารถโจมตีได้ดั่งใจอยาก โอกาสเช่นนี้นับว่าหาได้ยากนัก

แม้ว่าจะเพิ่งจุดเทียนไขชีวิตไป แต่ทุกคนก็ไม่ลังเลที่จะจุดอีกเล่มแล้วโจมตีอย่างสุดความสามารถ

พลังชีวิตของเหยี่ยวทองเริ่มถดถอยรวดเร็วยิ่งขึ้น ไม่กี่อึดใจต่อมาร่างกายก็เต็มไปด้วยบาดแผลลึก พลังชีวิตกำลังไหลออกนอกร่างอย่างเห็นได้ชัด

สุดท้ายราชันปีศาจมืดก็ถูกฉีกร่างเป็นชิ้น ๆ ประตูแห่งความมืดปิดไปในที่สุด

แต่ความเสียหายที่เกิดขึ้นแล้ว เหยี่ยวยักษ์เจ็บหนัก การเคลื่อนไหวลดความเร็วลงชัดเจน

ซูเฉินเห็นดังนั้นก็รู้ว่าต้องชนะเป็นแน่แท้ ถอนหายใจโล่งอกออกมา

คิดอยู่เล็กน้อยก็ออกคำสั่งว่า “นำค่ายกลสะเก็ดดาวกลับ บอกทุกคนชะลอการโจมตี สลับกองกำลังกันไปอยู่แนวหน้าแล้วทำให้เหยี่ยวยักษ์อ่อนกำลังลงเสีย”

ได้ยินคำสั่งเช่นนั้นทุกคนก็ประหลาดใจ

“ซูเฉิน หากไม่ฉวยจังหวะนี้รีบจัดการ เราก็จะไม่มีโอกาสได้ถือไพ่เหนือกว่าเมืองล่องนภานะ” ฉู่หยวนเป็นกังวล

“เราเสียคนไปมากพอแล้ว ปรับเป็นกลยุทธ์แนวตั้งรับจะช่วยลดจำนวนได้บ้าง”

“แต่ตอนนี้เมืองล่องนภากำลังเร่งเดินทางมาเต็มกำลัง…” หลี่ฉงซานเอ่ยเสียงกังวล

เพราะพวกเขาเองก็ส่งสายลับไปอยู่ในดงปักษาเช่นกัน ซูเฉินกับหลี่ฉงซานจึงรู้ว่าเมืองล่องนภากำลังเพิ่มความเร็ว

“ไม่ต้องห่วง มันมาได้ไม่เร็วนักหรอก ข้าเตรียมของขวัญชิ้นใหญ่ไว้พวกมันแล้ว” ประกายเย็นยะเยือกเต้นระริกในนัยน์ตาซูเฉิน “ฉวยโอกาสจากข้าไปมากนะ หยงเยี่ยหลิวกวง ถึงเวลาเอาคืนแล้ว!”

เมืองล่องนภาพุ่งผ่านฟ้าราวกับดาวตก ส่งเสียงดังลั่นมุ่งหน้าสู่ทุ่งหญ้าฟ้าคลั่งเต็มกำลัง

หยงเยี่ยหลิวกวงยืนอยู่ตรงจุดสังเกตการณ์ มองไปยังขอบฟ้าแสนไกล

บางครั้งก็จะมีปักษาบินเข้ามารายงานข่าว

“แกนพลังงานแห่งซาร์คทำงานเต็มกำลัง ตอนนี้เราเดินหน้าเต็มที่แล้วขอรับ”

“นิกายแห่งพระแม่เริ่มพิธีกระตุ้นวิญญาณเพื่อเพิ่มความเร็วแล้ว น่าจะถึงทุ่งหญ้าฟ้าคลั่งเช้าตรู่วันพรุ่งนี้”

“ผู้สังเกตการณ์ทั้งหมดที่อยู่ในกองทัพมนุษย์ถูกจับตัวไปแล้ว สายลับที่เราซื้อตัวมาถูกสังหารไปเสียมาก แค่สี่ หก และสิบสอง”

หยงเยี่ยหลิวกวงค่อย ๆ อ่านรายงานด้วยใบหน้าไร้อารมณ์

“ฝ่าบาท ข่าวดีขอรับ!” กูเทียนเยวี่ยวิ่งเข้ามา “สี่รายงานมาว่าการต่อสู้กลับสู่ความสมดุล พวกมนุษย์ปรับจากบุกโจมตีเป็นตั้งรับแล้ว”

“อ้อ? สุขุมดีนี่ เหมือนคิดอ่านไว้แล้ว” หยงเยี่ยหลิวกวงเอ่ย “รู้ว่าเราจะมาแต่กลับไม่รีบร้อนเลย”

กูเทียนเยวี่ยเอ่ย “ฝ่าบาท เราลดความเร็วลงสักหน่อยดีหรือไม่? ปักษาหลายคนร่างกายถึงขีดจำกัดแล้วเนื่องจากเร่งเดินทางเต็มกำลังมาเป็นเวลานาน”

แต่หยงเยี่ยหลิวกวงปฏิเสธคำแนะนำเสียงขาด “ไม่ได้ เราจะพักก่อนเดินทางถึงทุ่งหญ้าฟ้าคลั่งไม่ได้”

“รับทราบ!” กูเทียนเยวี่ยตอบอย่างจนใจ

เป็นตอนนั้นเองที่เสียงสัญญาณเตือนดังขึ้นทั่วฟ้า

“หือ? เกิดอะไรขึ้น?” หยงเยี่ยหลิวกวงหันกลับไป

กูเทียนเยวี่ยมองไปยังตำแหน่งที่สัญญาณดังขึ้น “ข้าก็ไม่มั่นใจ ดูเหมือนจะเกิดเรื่องขึ้นตรงนั้น ให้ข้าไปตรวจดูสักหน่อยขอรับ”

ตรงที่ไกล ๆ มีกลุ่มก้อนควันก้อนหนึ่งลอยขึ้นบนท้องฟ้า

กูเทียนเยวี่ยไปถึงอย่างรวดเร็ว เมื่อเห็นว่าเป็นไฟที่ลุกขึ้นจากห้องเก็บของไม่สำคัญแห่งหนึ่งก็ถอนหายใจโล่งอก

เปลวเพลิงดุดันพอสมควร กลิ่นไหม้รุนแรงเต็มจมูกกูเทียนเยวี่ย

กูเทียนเยวี่ยยกมือขึ้นปิดจมูก “นี่เหมือนกลิ่นอะไร… ในห้องเก็บของมีอะไรอยู่กันแน่?”

ปักษาคนหนึ่งคำนับให้ “ท่านแม่ทัพ ที่แห่งนี้เก็บวัตถุดิบที่เก็บเกี่ยวมาจากสถานที่นี้ ส่วนชนิดของสมุนไพร ข้าได้บอกให้คนส่งข่าวไปหาแล้ว”

“หากเป็นเพียงสมุนไพรยาไม่เท่าไหร่ก็ดี ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร คงจะติดไฟโดยบังเอิญ” กูเทียนเยวี่ยเอ่ย โบกมือรำคาญ “ระวังอย่าให้สายลับมนุษย์ฉวยโอกาสช่วงชุลมุนได้เล่า”

“รับทราบ!” ปักษาคำนับให้แล้วตอบเสียงมั่น

ปรมาจารย์อาร์คาน่าผู้หนึ่งเหินเข้ามาปล่อยวิชาน้ำใส่เปลวเพลิง ห่าฝนเริ่มตกลงมาจากฟ้าลงสู่ห้องเก็บของ

น่าแปลกนักที่มันยิ่งทำให้ไฟโหมลุกหนักกว่าเดิมราวกับราดน้ำมันลงไป ทำให้ปรมาจารย์อาร์คาน่าตกใจไม่น้อย

กูเทียนเยวี่ยส่งท่าฝ่ามือหนึ่งเข้าหาเพลิง เขาไม่เก่งวิชาอาร์คาน่าประเภทน้ำ แต่ฝ่ามือนี้ผนึกมิติได้ หากสร้างพื้นที่สุญญากาศรอบเพลิงได้ก็จะสามารถดับมันลงได้

ทันใดนั้นก็เกิดภาพน่าตกใจขึ้น

เปลวเพลิงยังคงโหมกระหน่ำลุกลามไปไม่มีผลกระทบใด กลุ่มก้อนควันยิ่งหนาขึ้นเรื่อย ๆ ก่อกำเนิดเป็นเมฆดำก้อนใหญ่ขึ้นบนฟ้า

กูเทียนเยวี่ยเริ่มรู้สึกผิดปกติจึงออกคำสั่งทันที “ไปตรวจดูว่ามีอะไรเก็บอยู่ในนั้นเดี๋ยวนี้!”

ปักษาคนหนึ่งรีบจากไป กูเทียนเยวี่ยลองอีกหลายวิชา แต่ไฟก็ยังลุกโหมไม่ราแรง

กูเทียนเยวี่ยเริ่มรู้สึกถึงความไม่สบายใจ มีบางอย่างผิดปกติ

สุดท้ายทหารปักษาก็กลับมา “เป็นหญ้าเพลิงเฉา กับผะ…. ผะ…. ผลึกพลังสูญขอรับ”

ทหารปักษาอ้าปากกว้างเมื่อรายงานถึงวัตถุดิบชิ้นที่สอง

“หญ้าเพลิงเฉา? ผลึกพลังสูญ?” กระทั่งกูเทียนเยวี่ยยังชะงักไป

หญ้าเพลิงเฉาเป็นหญ้าพิเศษที่สามารถสร้างควันจำนวนมากได้ ชื่อเพลิงเฉานั้นขัดกับการที่มันสามารถจุดเพลิงให้ติดได้แล้วไม่มอดเสียจริง

ผลึกพลังสูญเป็นทรัพยากรที่มีแต่มนุษย์เท่านั้นที่ถือครอง

ของ 2 อย่างนี้รวมกันจึงเป็นสาเหตุที่ไฟไหม้ดับสักที

เพราะเปลวเพลิงมีพลังสูญบางอย่างคอยปกป้องอยู่ แยกมันออกจากโลกจริง

ถึงตอนนี้มีหรือที่กูเทียนเยวี่ยจะไม่เข้าใจ? เขารีบตะโกนลั่น “ต้องเป็นอุบายพวกมนุษย์แน่!”

“แต่พวกมันต้องการอะไรเล่า?” ปักษาผู้หนึ่งถามขึ้นเสียงสงสัย

กูเทียนเยวี่ยเองก็ชะงักไปกับคำถามนั้น พวกมันต้องการอะไร? เขาเองก็ไม่รู้

เหตุใดมนุษย์ต้องจุดหญ้าเพลิงเฉากองหนึ่งให้ติดไฟด้วย?

เดี๋ยวก่อน

กูเทียนเยวี่ยสูดควันเข้าปอดอีกที เมื่อฝืนทนกลิ่นเปรี้ยวไปได้ เขาก็ได้กลิ่นอะไรบางอย่าง ทันใดนั้นเขาก็ร้องขึ้น “เป็นกลิ่นน้ำลายอสูร!”

กลิ่นน้ำลายอสูรเป็นสมบัติอสูรกายที่ช่วยทำให้พวกมันพัฒนาและปรับตัวได้

ด้วยเหตุนี้มันจึงเป็นวัตถุดิบสำคัญในการสร้างเหยื่อล่ออสูรกาย กระทั่งจักรพรรดิอสูรกายได้กลิ่นยังจิตใจสั่นไหว

และคลังเก็บของแห่งนี้ก็เต็มไปด้วยหญ้าชนิดนี้กว่าครึ่ง ตอนนี้ลมพัดควันไปไกลแล้ว

และถ้าหากมีตัวอะไรอยู่ใกล้ ๆ …

ความคิดหนึ่งพลันผุด เขารีบร้องขึ้นทันที “แย่แล้ว!”

หวูดดดด!!!

เสียงสัญญาณเตือนดังขึ้นบนท้องฟ้า

“ลอบโจมตี!”

“อสูรกายลอบโจมตี!”

เสียงร้องขวัญผวาดังขึ้นรอบทิศ

อสูรกายนับหมื่นพากันมาปรากฏตัวอยู่ที่ขอบฟ้า

พระราชวังลอยฟ้าหลายแห่งเริ่มปรากฏขึ้นเรื่อย ๆ เหนือกองทัพอสูรกาย

“วังปฏิวัติ วังร้อยทบ วังจันทร์ล่อง… เวรแล้ว มันเป็นอสูรจากฝั่งซูเฉินทั้งนั้นเลยนี่! มันไล่พวกมันมาหาเราแทน!” กูเทียนเยวี่ยสบถออกมา ทันใดนั้นเรื่องราวทั้งหมดก็กระจ่างแจ้ง