บทที่ 29 ปะทะ (3)
เมืองล่องนภา
หยงเยี่ยหลิวกวงเหลือบมองรายงานในมือ “การต่อสู้เริ่มขึ้นแล้วหรือ?”
“ขอรับฝ่าบาท ผู้สังเกตการณ์ของเรารายงานมาแล้ว ได้รับการยืนยันเรียบร้อย หรือจะให้มั่นใจลองตรวจสอบกับสายลับทางนั้นก็ได้”
หยงเยี่ยหลิวกวงกลับยังดูไม่พอใจ “บอกให้พวกเขารายงานสภาพการต่อสู้ให้ข้าอีกครั้ง ข้าอยากได้รายละเอียดทั้งหมด”
กูเทียนเยวี่ยชะงัก “ตอนนี้เลยหรือขอรับ?”
“ใช่” หยงเยี่ยหลิวกวงเอ่ยเสียงเครียด
กูเทียนเยวี่ยจึงรีบไป
ครู่ต่อมา เขาก็กลับมาพร้อมรายงานในมือ ข้อมูลได้มาจากปักษาผู้สังเกตการณ์อยู่ที่แนวหน้า
นี่เป็นความผิดส่วนหนึ่งของซูเฉิน เพราะได้ให้กล่องสื่อสารอีกฝ่ายไว้ ทำให้ทั้งสองฝั่งสามารถรับรู้สถานการณ์ได้ในทันที
หยงเยี่ยหลิวกวงยิ่งมีสีหน้าขรึมลงเมื่ออ่านรายงาน จากนั้นก็ขยำมัน “ออกคำสั่งให้เร่งเดินทาง มุ่งหน้าไปยังทุ่งหญ้าฟ้าคลั่งเต็มกำลัง”
“เต็มกำลังหรือ?” กูเทียนเยวี่ยไม่เข้าใจ
“หือ?” หยงเยี่ยหลิวกวงงึมงำ “มีการคำนวณผิดพลาดนิดหน่อย เหยี่ยวยักษ์ตัวนี้เก่งกาจด้านโจมตี ไม่ใช่การป้องกัน อาจรั้งได้ไม่ถึง 3 วัน คงได้อย่างมากอีก 1 วันก่อนจะถูกสังหาร หากพวกเราไปที่นั่นไม่ทันเวลา ให้เวลาพวกมันพักถึง 2 วัน ข้อได้เปรียบที่พวกเราฟันฝ่ามาก็จะเสียเปล่า”
กูเทียนเยวี่ยยังมองในแง่ดี “เทพอสูรแข็งแกร่งนัก แม้มนุษย์จะชนะ แต่ก็คงเสียไปมากเช่นกัน”
หยงเยี่ยหลิวกวงตอบตามตรง “วันนี้ไม่เหมือนกับเมื่อวาน ทั้งเราทั้งมนุษย์ล้วนแข็งแกร่งขึ้นกว่าแต่ก่อน ถ้าหากมนุษย์แต่ก่อนสามารถเอาชนะเทพอสูรได้ แล้วมนุษย์ในตอนนี้เล่า? มีซูเฉินและนิกายอยู่ จำนวนคนเสียชีวิตอาจน้อยกว่าที่เจ้าหรือข้าคาดการณ์ไว้ด้วยซ้ำ หากเราไปไม่ถึงก่อนสงครามจะจบเราจะพลาดโอกาส เวลา 2 วันมากพอจะทำให้อีกฝ่ายฟื้นฟูพลังเต็มที่แล้ว เปิดแกนพลังงานแห่งซาร์คให้สุด! เปิดใช้สมบัติลับทั้งหมดที่มี รวมถึงผู้สังเกตการณ์นั่นด้วย ให้คิดหาวิธีทำลายค่ายกลพวกมันเสีย”
กูเทียนเยวี่ยได้ยินดังนั้นยิ่งตกใจ “เช่นนั้นหินพลังกับปรมาจารย์อาร์คาน่าจะรับไม่ไหว การใช้พลังงานมากเกินไปก่อนสงครามย่อมทำให้ความสามารถเราลดลง และหากเราใช้ผู้สังเกตการณ์ชาวมนุษย์ที่เราดึงมาเข้าพวกตอนนี้ เช่นนั้นในคราวหลัง…”
“เราไม่มีเวลาให้มาห่วงในคราวหลัง ศึกเริ่มต้นขึ้นเมื่อไหร่ ก็เป็นจังหวะชี้เป็นชี้ตายแล้ว! จำเป็นต้องใช้อุบายทั้งหมดที่มีในตอนนี้เพื่อเดินทางให้ถึงที่นั่นภายในเวลาวันครึ่งเป็นอย่างต่ำ!” หยงเยี่ยหลิวกวงคำรามดุดัน “ให้เวลาพวกมันพักครึ่งวันก็นานเกินไปแล้ว! อีกทั้งไปไล่ต้อนผู้สังเกตการณ์มนุษย์ด้วย จากนี้ไปไม่ให้พวกมันส่งข่าวให้มนุษย์อีก!”
“รับทราบ!” กูเทียนเยวี่ยไม่กล้าชักช้า รีบนำคำสั่งส่งต่อทันที
แก่นเมืองล่องนภาเริ่มส่งเสียง แกนพลังงานแห่งซาร์คถูกเปิดใช้เต็มที่ เมืองล่องนภาที่ก่อนหน้าเคลื่อนที่อย่างสบาย ๆ พลันเพิ่มความเร็วขึ้นสูง
หยงเยี่ยหลิวกวงยอมฉีกหน้ากากเพื่อชัยชนะ เปิดฉากเป็นศัตรูกับมนุษย์ผู้สังเกตการณ์เต็มที่
“ระวัง!” เสียงกู่ฮุยหมิงดังสะท้อนในหูซูเฉิน เหยี่ยวยักษ์อ้าปากกว้าง พายุลมหมุนปรากฏขึ้นมา
ครั้งนี้การโจมตีไม่ใช่ลูกลมแต่เป็นพายุหมุนที่ดึงเอาทุกอย่างเข้าไปหา
ซูเฉินรีบเคลื่อนกายออกมา แต่พบว่าครั้งนี้ทำได้ยากนัก เขายังสามารถเคลื่อนกายได้ก็จริง เพียงแต่ยากมากขึ้นเท่านั้น ระยะทางยังลดลงด้วย
แทนที่จะไปปรากฏตรงจุดที่คาดไว้ กลับไปปรากฏอยู่จุดไม่ห่างจากพายุหมุนมากนัก
จังหวะนั้นทำให้ซูเฉินไม่ทันระวัง พริบตาต่อมา พายุหมุนทรงพลังก็ดูดเขาเข้าปากเหยี่ยวยักษ์ไป
กระทั่งกู่ฮุยหมิงและคนอื่น ๆ ยังถูกดูดเข้าไปหาปากมันเลย
ทุกคนจึงเริ่มแตกตื่น
หลี่หวู่อี้ร้องขึ้น “รีบโจมตีปาก! ที่ปากมัน!”
“ไม่ทันแล้ว! จุดเทียนไขชีวิตเสีย!” กู่ฮุยหมิงคำราม
ด่านมหาราชันทั้งหมดดึงเอาเทียนไขชีวิตออกมาจุดพร้อมกันทันที แม้ว่าจะมีเทียนไขแค่ประมาณ 20 เล่ม แต่แสงที่เปล่งออกมาก็สว่างจ้าเสียจนโอบล้อมไปทั่วสนามรบ
แสงสว่างตระการตาปรากฏขึ้นบนท้องฟ้า ร่างสำแดงมังกรสุริยะยิ่งดูเหมือนจริงมากขึ้นไปอีก
“โฮกกกกก!”
สิ้นเสียงคำรามลั่น มังกรสุริยะก็พุ่งชนเหยี่ยวยักษ์โดยตรงจนเจ้าเหยี่ยวกระเด็นไปด้านหลัง
พร้อมกันนั้น ด่านมหาราชันคนอื่นก็โจมตีเข้าไปอย่างสุดกำลัง
เทียนไขชีวิตเหล่านี้ยกให้เป็นไพ่ตายนับว่าสมควรแล้ว พละกำลังของพวกเขาเพิ่มสูงขึ้นมาก แม้ว่าเหนือด่านมหาราชันจะไร้ด่านใดเป็นทางการ แต่เทียนไขชีวิตเหล่านี้กลับสามารถเปิดหนทางสู่ด่านใหม่ให้พวกเขาได้
น่าเสียดายที่พวกเขาไม่มีเวลาทำตนเองให้คุ้นชินกับด่านใหม่นี้ ทั้งหมดล้วนตั้งใจซัดพลังโจมตีออกไปเพื่อไม่ให้พลังจากเทียนไขชีวิตต้องสูญเปล่า
ตูม! ตูม! ตูม!
แรงโจมตีจำนวนมากสะบัดเข้าใส่ร่างเหยี่ยวทองอย่างไร้ปรานี ระเบิดทะลุทะลวงจะงอยปากมันจนเป็นชิ้น ๆ พายุหมุนจึงเริ่มหายไป ทุกคนถอนหายใจโล่งอกออกมา
เมื่อมีเทียนไขชีวิต พละกำลังของพวกเขาก็เพิ่มสูงขึ้นมากกว่า 2 เท่า ดังนั้นตอนนี้ทุกคนจึงอยู่ในสถานะแกร่งที่สุด ดังนั้นจึงปลดปล่อยพลังออกไปอย่างไร้เกรงกลัว เหยี่ยวยักษ์ถูกการโจมตีเข้ามาทุกทิศทาง ไม่อาจเข้าใจได้ว่ามนุษย์ตัวกระจ้อยเท่านี้เหตุใดจึงแข็งแกร่งขึ้นมาในพลัน
เป็นตอนนั้นเองที่เกิดเสียงระเบิดดังขึ้นจากทางลาดหันเหนือ
สิ้นเสียงระเบิด แสงจากค่ายกลที่ปกคลุมทางลาดหันเหนือไว้ก็หม่นลงอย่างเห็นได้ชัด
คือค่ายกลสาปสวรรค์!
เมื่อไม่มีค่ายกลสาปสวรรค์คอยกดพลังไว้ พละกำลังของเหยี่ยวยักษ์จึงทะยานสูง มันกรีดเสียงร้องยินดี ปลดปล่อยแรงกดดันออกมามากขึ้น
“เกิดอะไรขึ้น!?” คนหนึ่งร้องถาม
มาหยุดค่ายกลสาปสวรรค์เอาตอนนี้เนี่ยนะ? จะให้พวกเขาถูกฆ่าตายหรือ?
ซูเฉินสีหน้าเปลี่ยน “ท่าไม่ดีแล้ว ด้านล่างเกิดเรื่อง”
เขารู้ว่าคงไม่ใช่ว่าไร้สาเหตุแน่ น่าจะเกิดบางอย่างขึ้นด้านล่าง
ศิษย์นิกายคนหนึ่งรีบเหินร่างขึ้นมารายงาน “ท่านเจ้านิกาย มนุษย์บางกลุ่มทรยศเรา แอบเข้าไปในพื้นที่ตั้งค่ายกลสาปสวรรค์แล้วทำลายมันขอรับ”
“คนทรยศ! สายลับ!” ได้ยินดังนั้นทุกคนก็สบถด่าขึ้น
“ซ่อมได้หรือไม่?” ซูเฉินรีบถาม
“ได้ แต่ใช้เวลา” เจียงหานเฟิงขัดขึ้น
“เช่นนั้นก็เร่งมือเสีย เพิ่มการควบคุมเหนือค่ายกลสะเก็ดดาวแล้วจับตัวผู้สังเกตการณ์ทั้งหมดมาให้ข้า!”
“รับทราบ!”
แม้ว่าพวกเขาจะตอบสนองทันที แต่ค่ายกลสาปสวรรค์ถูกทำลายไป ส่งผลให้ทุกคนรู้สึกกดดันมากขึ้น
เทียนไขชีวิตชุดหนึ่งจะหมดไปเช่นนั้น อดรู้สึกเจ็บปวดในใจไม่ได้ เทียนไขชีวิตนับว่าเป็นทรัพยากรทางกลยุทธ์ที่สำคัญ ทั้งยังมีจำนวนจำกัด แต่การต่อสู้กับเทพอสูรจำเป็นต้องใช้เวลาทั้งวัน และเพื่อการนั้นพวกเขาอาจต้องจุดเทียนไขชีวิตอีกนับร้อยเล่มก็เป็นได้
เหยี่ยวทองยังคงโจมตีอย่างบ้าคลั่งต่อไป
ราวกลับว่าการหายไปของค่ายกลสาปสวรรค์ทำให้มันสิ้นสติ ริ้ววายุทองนับไม่ถ้วนกระจายทั่วห้วงเวหา ส่งแรงกดดันมหาศาล
ซูเฉินถูกบีบให้ต้องปรับค่ายกลเพื่อช่วยบรรเทาแรงกดดัน แต่ก็ยิ่งทำให้มีจำนวนคนเสียชีวิตมากขึ้น ยิ่งคิดใจชายหนุ่มก็ยิ่งเจ็บปวด
ไอ้นกบัดซบนั่น!
ซูเฉินอดรู้สึกชื่นชมในความเด็ดขาดแน่วแน่และชั่วร้ายในอุบายของหยงเยี่ยหลิวกวงไม่ได้
แรงกดดันยิ่งเพิ่มสูง บางคนร้องขอให้เขานำหุ่นเชิดยักษ์ออกมาใช้ได้แล้ว ถ้าหากหุ่นเชิดยักษ์ทั้ง 50 ตัวปรากฏขึ้นก็คงกำชัยไว้ได้แน่ แต่ก็เป็นไปได้ว่าหยงเยี่ยหลิวกวงยังมีอุบายลับซ่อนอยู่ ถ้าหากปล่อยให้ปักษาสักตัวเล็ดรอดสายตาไป ไพ่ลับที่เขาเก็บไว้จะต้องถูกเปิดเผยแน่
ซูเฉินจึงรู้สึกลังเล
ในขณะที่แรงกดดันกำลังทำให้เขาตัดสินใจจะนำหุ่นยักษ์ออกมานั่นเอง กลิ่นหอมหวานก็พัดผ่านเข้ามาทางตน
ภาพมังกรสุริยะก่อนหน้านี้ที่กะพริบริบหรี่พลันมั่นคงขึ้นในพริบตา
“ชิงลั่ว?” ซูเฉินยินดีนัก
เขาหันไปเห็นกู่ชิงลั่วยืนส่งยิ้มอ่อนโยนอยู่ด้านหลัง
การปรากฏตัวของกู่ชิงลั่วทำให้ร่างสำแดงมังกรสุริยะแข็งแกร่งขึ้น ช่วยทำให้สถานการณ์กลับมามั่นคง
จังหวะเดียวกันนั้น ซูเฉินเองยังเห็นจูเซียนเหยาและสิ่งมีชีวิตที่ตามหลังนางมาติดๆ
นัยน์ตาเขาเป็นประกาย “ราชาอีกาแห่งท้องนภา?”
“อื้อ!” จูเซียนเหยาพยักหน้ารับ
“กำลังจะทะลวงด่านแล้วนี่” ซูเฉินรับรู้ถึงพละกำลังของมันทันที “สวรรค์ช่วยส่งจริง”
ชายหนุ่มหัวเราะยินดีลั่น พลางเคลื่อนกายไปหาราชาอีกาแห่งท้องนภา ก่อนจะใช้นิ้วแตะลงบนหน้าผากมัน
จากนั้นร่างราชาอีกาแห่งท้องนภาก็สั่นเทิ้ม
“ทำอะไรน่ะ?” หลี่หวู่อี้และคนอื่นเห็นก็อึ้งไป
“เลื่อนระดับให้ผู้ช่วยเหลืออย่างไรเล่า” ซูเฉินพึมพำ
คนพูดเก็บมือกลับมา ราชาอีกาแห่งท้องนภาคุกเข่าลงบนเมฆแล้วกางปีกออก ส่งปราณชั่วร้ายระลอกใหญ่ออกไปทั่วทิศ
ปราณชั่วร้ายนี้ยิ่งนานยิ่งหนาแน่นขึ้นเรื่อย ๆ
ทันใดนั้นมันก็แหงนหน้าขึ้นร้องเสียงแหลมออกมา
ปราณชั่วร้ายพุ่งออกจากร่าง กลิ่นอายทะยานสูงถึงสวรรค์ ปลดปล่อยแรงกดดันน่าขวัญผวาออกมา
“จักรพรรดิอสูร!” มีบางคนเข้าใจเรื่องที่เกิดขึ้น
และราชาอีกาแห่งท้องนภาก็ได้กลายเป็นจักรพรรดิอสูรแล้ว
ไม่สิ เป็นราชันจักรพรรดิอสูรต่างหาก
ทันทีที่มันทะลวงด่าน มันก็กลายเป็นราชันจักรพรรดิอสูร พละกำลังเพิ่มสูงขึ้นมาก และข้ารับใช้ผู้นี้ก็เป็นทาสของจูเซียนเหยา
ทั้งหมดล้วนเป็นผลมาจากกฎแห่งพลังผนึกเซียนของซูเฉินนั่นเอง
กฎแห่งพลังผนึกเซียน ในเชิงทฤษฎีแล้วสามารถมอบจิตให้กับสิ่งไร้ชีวิตได้ แต่ตัวชายหนุ่มยังไม่เก่งกาจถึงขั้นนั้น เขายังผนึกจักรพรรดิอสูรไม่ได้เลยด้วยซ้ำ
แต่ในเมื่อราชาอีกาแห่งท้องนภาจะทะลวงสู่จักรพรรดิอสูรเพียงอีกครึ่งก้าวแล้ว ซูเฉินสามารถส่งแรงผลักดันนิดๆ หน่อย ๆ ให้มันได้
จูเซียนเหยาชี้ไปด้านหน้า “ไหนดูซิว่าเจ้าได้พลังใหม่อะไรมา จัดการเจ้านั่นเลย!”
ราชาอีกาแห่งท้องนภากรีดเสียงแหลมแล้วก็รุดเข้าใส่เหยี่ยวทอง
เหยี่ยวทองซัดริ้วลมสวนใส่ แม้ว่าพวกมันทั้งสองล้วนเป็นสัตว์อสูร แต่เหยี่ยวทองก็ไม่คิดปรานีพวกทรยศ
ร่างราชาอีกาแห่งท้องนภาเปลี่ยนร่างกลายเป็นกลุ่มควัน หลบการโจมตีของเหยี่ยวยักษ์ไปได้
พริบตาต่อมา ก็ปรากฏประตูสีดำขึ้นบนท้องฟ้า
หมอกหนาสีดำลอยออกมาจากประตู น้ำเสียงฟังดูเก่าแก่โบราณดังออกมาจากด้านใน “อีกาเอ๋ย เจ้ากลายเป็นจักรพรรดิอสูรกายแล้วอัญเชิญข้าได้แล้วหรือนี่? ดี! ดีมาก!”
มือสีดำยื่นออกมาจากประตูสีทะมึน