ภาคที่ 7 ศึกสุดท้าย บทที่ 28 ปะทะ (2)

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 28 ปะทะ (2)

เทพอสูรเองก็มีศักดิ์ศรี

เหยี่ยวยักษ์โกรธเกรี้ยวเป็นยิ่งนักที่การโจมตีของมันไม่สามารถทำอะไรได้

แสงทองส่องกระจ่างเริ่มออกมาจากร่าง

หลังจากนั้นก็เกิดแรงลมรุนแรงขึ้นอีกครั้ง ริ้วลมกระจายไปทั่ว

ริ้ววายุทอง

ราวกับเกิดค่ายกลดาบขนาดยักษ์ขึ้นกลางฟ้า แต่ละริ้วมีพลังทำลายล้างสูงส่ง

ริ้ววายุเป็นวิชาอาร์คาน่าที่อ่อนแอที่สุดวิชาหนึ่ง แค่ด่านทะลวงลมปราณก็ทำลายมันลงได้แล้ว

ริ้ววายุซัดออกมา แต่ครั้งนี้แตกต่างอย่างสิ้นเชิง กลิ่นอายดูคุกคามกว่ามาก

ริ้วหนึ่งปรากฏขึ้นตรงหน้าผู้เชี่ยวชาญคนหนึ่ง ยังไม่ทันได้ขึ้นรูป มันก็ฉวยโอกาสสะบัดเข้าใส่ แยกร่างคนผู้นั้นเป็นสองฟากแล้ว

เขามีนามว่าเฟิงซือเยี่ย เป็นอาของเฟิงจู่อิ่ง ทั้งยังอยู่ด่านมหาราชัน แต่กลับถูกริ้ววายุหั่นร่างในทันที

กระนั้นร่างเฟิงซือเยี่ยก็กลับมาประสานกัน ใบหน้าขาวซีดลง ตะโกนเสียงดังขึ้น “มันสะบั้นบ่อพลังข้าไปส่วนหนึ่ง!”

บ่อพลังเป็นพื้นฐานที่ช่วยสนับสนุนพวกเขาเหล่านี้ หรือง่าย ๆ ก็คือเป็นพลังชีวิตนั่นเอง

บ่อพลังหนึ่งส่วนเทียบเท่ากับหนึ่งในสิบของพลังชีวิต

หรือก็คือเฟิงซือเยี่ยสามารถรับการโจมตีเหล่านี้ได้อีก 9 ครั้งเท่านั้น ครั้งที่ 10 เขาก็จะตาย

เมื่อได้ยินทุกคนก็ตกใจมาก

แม้ในเชิงทฤษฎีการรับการโจมตีได้ถึง 10 ครั้งจะไม่ใช่เรื่องเลวร้ายเท่าไหร่ แต่การโจมตีพวกนี้ถูกปลดปล่อยออกมาในระยะกว้างมาก

พลาดเพียงนิดอาจถูกริ้วคมนับสิบได้ หรือก็คือตายในคราวเดียว

ทันทีที่เฟิงซือเยี่ยร้องขึ้นมา ซูเฉินก็ส่งเสียงคำราม “ค่ายกลสาปสวรรค์!”

เงาสีเทาขยายเข้าโอบล้อมทางลาดหันเหนือพลัน

มันยังลามไปบนร่างเหยี่ยวทอง ทำให้ความสว่างที่ส่องออกจากร่างหม่นลงทันใด ริ้ววายุทองที่ซัดลงมาจากฟากฟ้าก็เช่นกัน

ค่ายกลสาปสวรรค์เป็นอีกหนึ่งค่ายกลที่มนุษย์ออกแบบขึ้นเพื่อรับมือกับเทพอสูร มีหน้าที่ลดพลังการโจมตีของเทพอสูรลง 3 ใน 10 ส่วน นับเป็นหนึ่งในเครื่องมือมีประโยชน์ของพวกมนุษย์ทีเดียว

ทว่าจะใช้ค่ายกลสาปสวรรค์ต้องเสียพลังไปมาก ไม่สามารถคงไว้จนจบการต่อสู้ได้ ดังนั้นซูเฉินจึงไม่ได้เปิดใช้มันตั้งแต่ต้น

จนกระทั่งเหยี่ยวยักษ์เริ่มโจมตีจริงจัง ซูเฉินถึงรีบออกคำสั่ง

แม้การโจมตีของเหยี่ยวยักษ์จะลดพลังลง แต่ก็ไม่มีใครอยากถูกริ้ววายุอยู่ดี เพราะมันยังคงทรงพลังอย่างน่ากลัว

ทุกคนกระโดดหลบเท่าที่จะทำได้

ริ้วลมสีทองสาดซัดไปทั่วท้องฟ้า

ฟ้าว!

แสงทองกระจ่างนภากระจายตัวไปทั่ว

ครั้งนี้เหยี่ยวทองเหมือนจะฉลาดขึ้น แทนที่จะคิดทำลายค่ายกล กลับพยายามสังหารยุงน่ารำคาญที่คอยบินส่งเสียงหึ่ง ๆ เป็นอันดับแรก

ด่านมหาราชันประมาณ 20 คนหายไปในทันที ยุงเหล่านี้เป็นยุงชั้นเลิศ แต่ละตัวมีความรวดเร็วและความสามารถแตกต่างกันไป

เฟิงจู่อิ่งแปลงเป็นวายุกรรโชก หลอมรวมเข้ากับลม ตู่ชิงซี่รีบเหินขึ้นเมฆ เจียงจูเซิงสร้างร่างแยกวารีขึ้นหลายร่างเพื่อรับแรงปะทะแทนตน และซูเฉินทำเพียงเคลื่อนกายออกจากระยะโจมตี

ทว่าดูจากภาพรวมแล้วตระกูลกู่รับมือได้อย่างสง่างามที่สุด

อย่างไรเสียก็เป็นตระกูลที่มีกำลังแกร่งขั้นสุดมากกว่าครึ่งของทั้งเผ่า คนในตระกูลทั้ง 12 คนล้วนลงมือทันทีที่ริ้ววายุทองปรากฏ เกิดภาพสง่างามของมังกรสุริยะขึ้นเบื้องหลัง

มังกรสุริยะทั้ง 12 ตัวเหินร่างเข้าหากันทันทีที่ปรากฏ หลอมรวมกันกลายเป็นมังกรสุริยะตัวยักษ์ มันคำรามดุดัน ส่งผลให้ริ้ววายุทองที่พุ่งเข้ามาแตกกระจาย

ผู้อาวุโสทั้ง 12 คนสามารถรับการโจมตีจากเทพอสูรได้

นี่คือพลังของสายเลือดเทพอสูรบรรพกาล

เผ่ามนุษย์ยังมีไพ่ตายอีกหลายใบให้ใช้ รวมถึงค่ายกลสะเก็ดดาวและเทียนไขชีวิต แต่สุดท้ายคนที่ทำได้ดีที่สุดก็คือผู้อาวุโสตระกูลกู่!

ผู้อาวุโสทั้งหมดนี้ครอบครองสายเลือดที่แกร่งที่สุด มีอายุขัยยืนยาวที่สุด เป็นรากฐานที่มั่นคงที่สุด เป็นเพียงคนกลุ่มเดียวที่สามารถไร้ความเกรงกลัวต่อความงามสง่าของเทพอสูรได้

แต่แน่นอนว่าไม่มีผู้อาวุโสคนใดกล้าปะทะกับเทพอสูรโดยลำพัง ทว่าเมื่อทุกคนร่วมมือกัน ก็สามารถสําแดงกำลังของเทพอสูรบรรพกาลที่แท้จริงออกมาได้

เทพอสูรบรรพกาลวันนี้เป็นการสำแดงร่าง ไม่ใช่มายา นับว่ามีอยู่จริง

หลังจากสกัดการโจมตีของเหยี่ยวยักษ์ได้ กู่ฮุยหมิงก็ตะโกน “เพลิงมังกรสุริยะ!”

เปลวเพลิงสีขาวร้อนระอุพุ่งออกจากร่างสำแดงของมังกรสุริยะ

กระทั่งเหยี่ยวทองยังตัวสั่นยามร่างมังกรสุริยะปรากฏ แต่ไม่นานมันก็รู้ว่ามังกรสุริยะตัวนี้ไม่ใช่ตัวจริง ดังนั้นมันจึงต่อต้านไม่ยอมแพ้ ปล่อยพลังลมรุนแรงเข้าใส่มังกร

เหยี่ยวยักษ์เป็นสัตว์อสูรที่เชี่ยวชาญวิชาลมอย่างแท้จริง แต่ดูเหมือนจะมีความสามารถด้านวิชาโลหะด้วยเช่นกัน ดังนั้นการโจมตีจึงทั้งดุดันและคมกริบไปในเวลาเดียวกัน

เพลิงมังกรสุริยะส่งคลื่นพลังรุนแรงพุ่งออกไปทั่วทุกทิศ ปะทะเข้ากับลมพายุ บีบให้ทุกคนล่าถอยไป

ไม่สิ เว้นไว้คนหนึ่ง

ร่างของซูเฉินกะพริบเล็กน้อย เขาปรากฏตัวขึ้นใหม่บนศีรษะเหยี่ยวทอง มีดไร้แสงขยายจนใหญ่สุดในพลัน ก่อนจะร่วงลงบนหัวของมัน

ฟ้าว! ฉับ!

เลือดกระเซ็นไปทั่ว บ้างก็ถูกตัวซูเฉิน และเริ่มส่งเสียงซู่ขึ้นบนผิว

เจ้าเหยี่ยวร้องเสียงเจ็บปวด ขนบนหลังล้วนชี้ตั้ง

ที่มันเจ็บขนาดนี้เป็นเพราะซูเฉินประสานการโจมตีเข้ากับพลังอมตะกระจิดหนึ่ง เพราะมีพลังนี้อยู่เพียงเล็กน้อย ดังนั้นจึงใช้แค่ยามจำเป็น กระนั้นใช้มันแค่เพียงนิดก็สามารถขยายพลังทำลายล้างได้มากทีเดียว

“ระวัง!” กู่ฮุยหมิงร้องขึ้น

ศรวายุสีทองขนาดเล็กพุ่งออกจากปีกของมัน

ซูเฉินรีบถอย เงาร่างกะพริบเล็กน้อยในขณะที่หลบการโจมตีอย่างง่ายดาย ทุกคนได้เห็นเป็นต้องอิจฉา

ไม่ใช่เพราะเรื่องวิชา เพราะด่านมหาราชันทุกคนล้วนมีวิชาเคลื่อนกายทั้งสิ้น แต่ไม่มีใครที่สามารถเคลื่อนกายได้ไกลเทียบเท่าซูเฉินเลย

เทพอสูรมีขนาดใหญ่เกินไป ทั้งยังมีระยะโจมตีกว้างขวาง การโจมตีแต่ละครั้งดูธรรมดา แต่กรงเล็บธรรมดาที่เงื้อลงมาเพียงครั้งเดียวก็ทำลายเมืองได้ครึ่งเมือง วิชาเคลื่อนกายธรรมดาย่อมใช้ไม่ได้ผล เหมือนกับที่ซุนหงอคงไม่สามารถหลบฝ่ามืออรหันต์พ้น

ถ้าหากไม่สามารถเคลื่อนกายออกมายังจุดปลอดภัยได้ แล้วจะใช้วิชาเคลื่อนกายไปเพื่ออะไร?

ทว่าซูเฉินนั้นแตกต่าง ความเข้าใจในกฎแห่งพลังทำให้ชายหนุ่มสามารถเคลื่อนกายไปได้ไกลกว่าใครอื่น ดังนั้นเขาจึงเป็นคนเดียวที่สามารถใช้กลยุทธ์เช่นนั้นได้

ดังนั้นสนามรบจึงถูกแบ่งออกเป็น 3 ส่วนในทันที

ส่วนหลักยังคงเป็นทางลาดหันเหนือที่ผู้ใช้พลังทั้งหมดรวมตัวกันอยู่ ทำให้ผู้ใช้พลังสามารถใช้ประโยชน์ด้านจำนวนคนได้อย่างถึงที่สุดยามต้องเผชิญหน้ากับเทพอสูร ค่ายกลที่แตกต่างกัน 18 ค่ายถูกพัฒนามาเพื่อรับมือกับมันโดยเฉพาะ ถ้าหากสลับกันใช้ ก็สามารถสังหารมันได้ไม่ยาก น่าเสียดายที่พวกเขาไม่มีเวลา สามารถตั้งค่ายกลขึ้นได้เพียง 5 ค่ายเท่านั้น อีก 13 ค่ายกลที่เหลือยังไม่เสร็จสมบูรณ์ ดังนั้นจึงขาดพลังไฟเป็นอย่างมาก เป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่ผู้ใช้พลังกลุ่มต้องต่อสู้ไปด้วยและสร้างค่ายกลไปด้วย

ส่วนที่สองคือผู้อาวุโสทั้ง 12 ของตระกูลกู่ การสำแดงร่างของมังกรสุริยะทรงพลังอย่างน่าเหลือเชื่อ หลังจากการโจมตีของเหยี่ยวทองถูกลดพลังลง ผู้อาวุโสตระกูลกู่ก็สามารถเข้าปะทะกับการโจมตีของมันโดยตรงได้ แน่นอนว่าก็เพียงชั่วคราวเท่านั้น เมื่อเวลาผ่านไปพวกเขาย่อมหมดพลัง

ส่วนที่สามย่อมเป็นตัวซูเฉิน

หน้าที่หลักของเขาคือการสร้างความเสียหาย

ด้วยความสามารถในการเคลื่อนกายอันทรงพลังของชายหนุ่ม ทำให้เขาเป็นคนเดียวที่สามารถสร้างความเสียหายจำนวนมากให้มันได้ เมื่อรวมกับพลังอมตะที่มี ค่าความเสียหายของเขาเพียงคนเดียวจึงเทียบเท่าได้กับของทุกคนรวมกันทีเดียว

บางครั้งซูเฉินจะเคลื่อนกายไปด้านหลังเจ้าเหยี่ยวเหมือนผีตนหนึ่ง ทุกครั้งที่ร่างปรากฏก็จะสร้างความเสียหายเล็ก ๆ น้อย ๆให้เหยี่ยวทอง

ด่านมหาราชันคนอื่น ๆ รับมือได้ยากกว่าอย่างเห็นได้ชัด

เหยี่ยวยักษ์แข็งแกร่งมากเกินไปจนถึงขั้นที่ด่านมหาราชันเหล่านี้ไม่กล้าอยู่ในระยะโจมตีของมันนานเกินไป ไม่เช่นนั้นจะต้องถูกสังหารแน่ ทำได้เพียงปล่อยการโจมตีจากที่ไกล จากนั้นล่าถอยออกมาเพื่อหลบการโจมตีตอบโต้ เมื่อห่าการโจมตีจบลงจึงสามารถเข้าใกล้ได้อีกครั้ง

บางครั้งเหยี่ยวทองก็จะซัดการโจมตีจำนวนมากออกมาในคราวเดียว

หากเป็นเช่นนั้นฝ่ายนิกายก็ได้แต่จำทน

ปัง!

ตูม!

ว่าแล้วเหยี่ยวยักษ์ก็เลือกจังหวะนั้นลงมือพอดี

ริ้วพลังลมนับหมื่น ตามมาด้วยลูกลมรุนแรงซัดเข้าใส่

ครั้งนี้เป้าหมายของมันคือ ‘แมลงหวี่’ ที่อยู่บนฟ้า

แรงพายุระเบิดสะบั้นทุกสิ่งที่ขวางทาง ด่านมหาราชันคนหนึ่งและด่านหยั่งรู้ฟ้าดินอีกคนติดอยู่ในแรงพายุ

ด่านมหาราชันสามารถงอกร่างใหม่ได้ แต่ด่านหยั่งรู้ฟ้าดินตายในทันที

การโจมตีสามารถทำลายพลังชีวิตหนึ่งในสิบส่วนของด่านมหาราชัน และทำลายพลังชีวิตทั้งหมดของด่านหยั่งรู้ฟ้าดินได้

ทั้งสองฝ่ายล้วนกำลังทำให้อีกฝ่ายอ่อนกำลังลง

มันไม่เหมือนกับการต่อสู้กับคางคกพันพิษ การโจมตีของเหยี่ยวทองทรงพลังกว่ามาก

ทั้งความเร็วและแรงโจมตีของเหยี่ยวทองสูงกว่า ส่วนคางคกพันพิษมีพิษร้ายแรงและมีพลังชีวิตไร้จำกัด ต่อสู้กับเหยี่ยวทองจึงดุเดือดมากกว่า ทั้งสองฝ่ายล้วนโจมตีใส่กันตั้งแต่แรกเริ่ม

หากไร้แรงสนับสนุนจากนิกาย และหากไม่สามารถตั้งค่ายกลได้ทันเวลา สงครามดุเดือดเช่นนี้คงสังหารเผ่ามนุษย์ไปนับไม่ถ้วนแล้ว

แต่กระนั้นจำนวนคนเสียชีวิตก็ยังค่อย ๆ เพิ่มขึ้นต่อไป

อีกทั้งดาราเปลี่ยนจุดยังไม่สามารถใช้ติดต่อกันได้นาน ผู้เชี่ยวชาญฝั่งทางลาดหันเหนือไม่สามารถใช้มันเพื่อหลบแรงโจมตีที่กระเพื่อมมาได้ ดังนั้นจึงได้แต่ทนรับคลื่นพลังนั้นไป เมื่อเหยี่ยวทองรู้เช่นนั้นจึงเข้าใกล้ทางลาดหันเหนือ ทำให้พวกเขาตกที่นั่งลำบาก จำนวนคนเริ่มลดลงเมื่อคลื่นพลังหลายระลอกสาดใส่

แรงระเบิดพลังในคราวเดียวสังหารคนฝ่ายนิกายไปเกือบพันคน

ซูเฉินไร้ทางเลือก ต้องนำค่ายกลสะเก็ดดาวออกมาใช้เพื่อลดแรงปะทะ น่าเสียดายที่ทำให้เหยี่ยวทองรู้เป้าหมายแน่ชัด เพราะค่ายกลสะเก็ดดาวไร้ค่ายกลใดคอยปกป้อง

จำนวนผู้เสียชีวิตอย่างเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ

แต่กระนั้นนี่ก็คือความจริงในสงคราม

หากไม่ยอมเสี่ยงก็จะไม่ได้อะไรมา เมื่อสงครามดุเดือดขึ้น พวกเขายิ่งถูกบีบให้ต้องตัดสินใจในเรื่องที่ยากขึ้น จำนวนคนเสียชีวิตและผู้บาดเจ็บสูงขึ้นเช่นกัน

ข่าวดีเพียงหนึ่ง คือพลังป้องกันและพลังชีวิตของเหยี่ยวทองอยู่ในระดับธรรมดาเท่านั้น เวลาผ่านไปไม่ถึงครึ่งวันก็เริ่มเผยให้เห็นบาดแผล หากเป็นเช่นนี้ต่อไป ซูเฉินสามารถสังหารมันได้ภายในวันเดียว

แต่ก็ตอบได้ยากว่ากว่าจะชนะต้องสูญเสียไปอีกกี่ชีวิต

หากกู่ชิงลั่วอยู่ละก็ ซูเฉินถอนหายใจอยู่ภายใน

แม้กู่ชิงลั่วจะไม่ใช่ด่านมหาราชัน แต่นางมีสายเลือดบริสุทธิ์ที่สุด เมื่อควบกับชุดเกราะเวหา การสำแดงมังกรสุริยะจึงแกร่งที่สุดเมื่อมีนางให้โอกาสโจมตีได้มากกว่า

“ระวัง!” จังหวะนั้นเอง กู่ฮุยหมิงพลันโพล่งขึ้น

สถานการณ์พลิกผันในพลัน!!