ภาคที่ 7 ศึกสุดท้าย บทที่ 27 ปะทะ (1)

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 27 ปะทะ (1)

ท้องฟ้ากลายเป็นสีดำเมื่อเหยี่ยวยักษ์บดบังแสงอาทิตย์ไว้

ปีกเจ้าเหยี่ยวสะบัดแรงลมมหาศาล พวกทหารจะยืนให้ตรงยังทำได้ยาก พายุขนาดย่อมโอบล้อมพวกมนุษย์ภายในสนามรบ ที่น่าตกใจไปกว่านั้นคือผู้เชี่ยวชาญทั้งหลายพบว่าท่าโจมตีของพวกเขาถูกแรงลมทำลายสิ้น รู้สึกราวกับกลับไปเป็นคนธรรมดา บินไม่ได้ ไม่สามารถควบคุมร่างกายได้เลย

ในจังหวะที่ทุกคนอ่อนแอ พายุรุนแรงพัดทุกคนจนปลิวไป ใครที่อยู่ต่ำกว่าด่านสู่พิสดารนั้นไม่ต่างอะไรกับใบไม้แห้งถูกแรงลม ด่านผลาญจิตวิญญาณทำได้เพียงพยายามไม่กระแทกกับสิ่งใดเท่านั้น มีเพียงด่านหยั่งรู้ฟ้าดินขึ้นไปที่สามารถรั้งตนเองอยู่กับพื้นได้

กระนั้นนี่ก็เป็นเพียงผลจากการสะบัดปีกง่าย ๆ คราวหนึ่งเท่านั้น มันยังไม่ทันได้แสดงพลังที่แท้จริงออกมาเลย

“จัดค่ายกล!!!”

เจ้าหน้าที่ที่รับหน้าที่นำผู้เชี่ยวชาญทั้งหลายคำรามลั่นให้ดังที่สุด แต่แรงลมก็ดังขัดเสียงสั่งทันที

โชคดีที่ในจังหวะนั้นมีเสียงดังประหนึ่งฟ้าลั่นสนั่นอยู่ในจิตทุกคน “เปิดค่ายกลปักดารา!”

เป็นเสียงซูเฉินนั่นเอง!

เขาใช้พลังจิตอันกล้าแข็ง ส่งคำสั่งเข้าสู่จิตใจโดยตรง

ตูม!!!

ริ้วแสงพุ่งมาจากทางลาดหันเหนือสูงขึ้นฟ้า ทะลุเมฆาด้านบน

เมื่อเกิดแสงดาวกระจาย แรงลมก็อ่อนลง

ทัพมนุษย์ยังไม่รู้ว่าพวกตนกำลังประมืออยู่กับเทพอสูรประเภทใด ไม่รู้ว่ามันมีลักษณะพิเศษอย่างไร รู้เพียงสิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้คือการทรงตัวให้ดี

ดังนั้นจึงต้องตั้งค่ายกลปักดาราที่สามารถทำให้พลังต้นกำเนิดและผู้เชี่ยวชาญทรงตัวได้ก่อนที่เหยี่ยวยักษ์จะมาถึง

เมื่อเปิดใช้ค่ายกลแล้ว แรงลมจากเหยี่ยวยักษ์ก็ลดลงอย่างเห็นได้ชัด

เหยี่ยวยักษ์ร้องเสียงไม่พอใจ เงื้อกรงเล็บยักษ์ลงมาจากท้องฟ้า

กรงเล็บเจ้าเหยี่ยวใหญ่เทียมขุนเขา เพียงเท่านั้นก็สะบั้นทางลาดหันเหนือไปกว่าครึ่ง

พวกมนุษย์ทั้งตัวเล็กและอ่อนแอกว่ามาก เมื่อเทียบกับเหยี่ยวยักษ์ซึ่งปลดปล่อยกลิ่นอายสูงส่งน่าเกรงขามออกมา

เงาร่างทั้งหลายเริ่มปรากฏขึ้นบนท้องฟ้า

ผู้อาวุโสทั้งสิบสอง ตระกูลกู่ ฉู่หยวน หลี่หวู่อี้ เจียงจูเซิง เฟิงจู่อิ่ง ตู่ชิงซี่ เฉิงชี่กง และด่านมหาราชันคนอื่น ๆ เริ่มลงมือ พุ่งเข้าปะทะเหยี่ยวยักษ์ ม้าน้ำพลังสูญยังปรากฏตัวด้วย ปลดปล่อย ‘สะบั้นมิติ’ เหนือชั้นออกมา

สะบั้นมิติเป็นวิชาพลังสูญที่สามารถเจาะเกราะทั้งหมดได้ กระทั่งเทพอสูรยังไม่สามารถปัดป้อง

ฟ้าว!

สะบั้นมิติทิ้งรอยแผลยาวไว้บนร่างเหยี่ยวทอง เลือดสีทองพุ่งกระฉูดไปทั่วทิศ ผู้เชี่ยวชาญผู้โชคร้ายที่ยืนอยู่ใกล้ถูกเลือดมันสาดใส่ ร่างกลายเป็นผุยผงทันใด พลังจากเลือดเทพอสูรเช่นนี้ ผู้เชี่ยวชาญธรรมดายังไม่อาจต้านไหว

แต่แม้สะบั้นมิติจะทำเหยี่ยวยักษ์บาดเจ็บได้ ทว่าก็ไม่สามารถผ่าร่างมันได้ ด้วยขนาดตัวของมัน แผลเท่านี้ก็เหมือนกับแผลยุงกัด

เหยี่ยวทองแทบไม่รู้สึกด้วยซ้ำ มันไม่สนใจม้าน้ำพลังสูญ แต่พุ่งลงมาหาค่ายกลปักดาราแทน

ค่ายกลที่ทำให้มันไม่สามารถเผยพลังที่แท้จริงได้น่ารำคาญใจกว่ามาก

ค่ายกลปักดารามีความคงทนแค่ธรรมดา ถูกกรงเล็บนี้ไปคงถูกทำลายโดยสมบูรณ์

เป็นตอนนั้นเองที่เสียงของซูเฉินดังสนั่นขึ้นในใจอีกครั้ง “ดาราเปลี่ยนจุด!”

เมื่อดำเนินตามคำสั่ง พื้นที่ด้านข้างก็เริ่มบิดเบี้ยวไปอย่างผิดปกติ

เหยี่ยวยักษ์พลันพบว่ากรงเล็บพลาดเป้าหมาย ปักลงบนเนินเขาที่อยู่ใกล้แทน

นี่มันอะไรกัน?

เหยี่ยวยักษ์ไม่เข้าใจสิ่งที่เพิ่งเกิด แต่ถึงไม่เข้าใจก็ไม่ต้องไปคิด อย่างไรเทพอสูรก็ใช้แต่กำลัง ไม่ใช้สมองในการแก้ปัญหาอยู่แล้ว

ถ้าหนึ่งกรงเล็บใช้ไม่ได้ งั้นก็โจมตีด้วยกรงเล็บที่สอง

แต่พื้นที่โดยรอบก็บิดเบี้ยวไปอีกครั้ง การโจมตีของมันพลาดเป้าไปอีกหน

นี่คือจุดประสงค์ของดาราเปลี่ยนจุด

ค่ายกลส่วนมากจะมีเกราะแกร่งคอยปกป้อง

แต่ครั้งนี้พวกมนุษย์ไม่เลือกใช้วิธีนั้น

เมื่อไร้เมืองล่องนภาและปราการอาร์คาน่าทั้ง 99 การต่อสู้กับเทพอสูรโดยตรงเป็นเรื่องโง่เง่าสิ้นดี แม้จะเป็นเกราะแกร่งที่สุดที่มนุษย์มีก็ยังไม่สามารถทานทนโจมตีไม่กี่หนจากเทพอสูรได้เลยด้วยซ้ำ

ซูเฉินกับคนอื่น ๆ เตรียมพร้อมรับจังหวะนี้มานานแล้ว ใช้เวลาปรึกษาหาวิธีต่อสู้กับเทพอสูรมาเนิ่นนาน

สุดท้ายก็ได้บทสรุปว่าคงไม่สามารถใช้เกราะแกร่งป้องกันเพียงอย่างเดียวได้ หากเป็นเช่นนั้นจะสร้างเกราะไปก็ไร้ประโยชน์ตั้งแต่แรก

แทนที่จะปะทะตรง ๆ ใช้อุบายหลบเลี่ยงเสียจะดีกว่า

ถ้ารับการโจมตีไม่ไหวก็หลบเสียสิ้นเรื่อง!

ดาราเปลี่ยนจุดจึงถือกำเนิดขึ้น มันเป็นอุบายที่ใช้รับมือกับเทพอสูรโดยเฉพาะ สามารถใช้พลังสูญในการสับเปลี่ยนทิศทางการโจมตีของเทพอสูรได้ เผ่าอื่นก็ได้เช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นการโจมตีทรงพลังเพียงไหน หากไม่ถูกเป้าหมายก็ไร้ประโยชน์!

แน่นอนว่าอุบายเช่นนี้มีแต่ซูเฉินเท่านั้นที่จะคิดได้

ความเข้าใจกฎแห่งพลังสูญของซูเฉินลึกล้ำมาก พอได้คำชี้แนะจากเขา เจียงหานเฟิงและผู้เชี่ยวชาญด้านค่ายกลคนอื่น ๆ จึงสามารถสร้างค่ายกลเสริมนี้ขึ้นมาได้

เป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่ทำให้นิกายกล้าปะทะกับสัตว์อสูร

ดาราเปลี่ยนจุดใช้พลังสูญ ทั้งยังใช้ผลึกพลังสูญและโลหะดาราสูญด้วย ดังนั้นซูเฉินจึงไม่คิดใช้มันโดยง่าย ตอนสัตว์อสูรเริ่มลงมือเขายังไม่ยอมใช้ด้วยซ้ำ

แต่ตอนนี้ได้เวลาใช้แล้ว

มีค่ายกลคอยปกป้อง การโจมตีของเหยี่ยวทองจึงไม่ถูกเป้า ค่ายกลปักดาราไร้ความเสียหาย

เหยี่ยวทองกลับขุ่นเคืองยิ่งนัก ปลดปล่อยการโจมตีมากมายใส่ค่ายกล แต่ไม่ว่าจะเล็งดีอย่างไรก็พลาดเป้าทั้งหมด มีแต่พื้นที่รอบค่ายกลที่ถูกทำลายสิ้น

ทางลาดหันเหนือเดิมทีเป็นเพียงทางลาดขนาดเล็ก แต่การโจมตีของเหยี่ยวยักษ์ทำให้กลายเป็นภูเขาไปแล้ว

ภูเขาที่ล้อมรอบไปด้วยแอ่ง

ไม่ว่าเจ้าเหยี่ยวจะเปลี่ยนทิศการโจมตีอย่างไร ก็ยังไม่โดนเป้าสักที ส่วนพวกมนุษย์ก็ฉวยจังหวะนี้โจมตีใส่มันไม่หยุด

ด่านหยั่งรู้ฟ้าดินและด่านมหาราชันทั้งหมดรวมพลังการโจมตีจากด้านบน ส่วนผู้เชี่ยวชาญนับไม่ถ้วนก็ซัดวิชาใส่เจ้าเหยี่ยวจากด้านล่าง เทพอสูรมีขนาดตัวใหญ่มากจนไม่ต้องกลัวว่าจะโจมตีพลาด กังวลเพียงอย่างเดียวคือต้องใช้ทหารเรือนแสนในการโจมตี แทนที่จะใช้เพียงร้อยหรือพันคนเท่านั้น

“กรี๊ซซซซ!” เหยี่ยวยักษ์ร้องเสียงโกรธ

ดาราเปลี่ยนจุดไม่สามารถเปลี่ยนทิศคลื่นเสียงได้ เสียงดังเสียดแทงแก้วหูส่งคลื่นพลังรุนแรงกระจายไปรอบทิศ พวกที่อ่อนแอหน่อยจึงถูกสังหารในทันที

แต่ก่อนที่เหยี่ยวยักษ์จะร้องเสียงโกรธ ซูเฉินก็ออกคำสั่งที่สามมาเสียก่อน

“ค่ายกลสยบคลื่น!”

เกิดแสงที่มองไม่เห็นขึ้น โอบล้อมทั่วทั้งสนามรบไว้ ปกคลุมทุกสิ่งอย่างด้วยความอบอุ่น

หน้าที่เดียวของมันคือเพื่อระงับคลื่นเสียงภายใน ช่วยลดพลังทำลายล้างของวิชาคลื่นเสียงได้ดี

เทพอสูรหลายตัวมีหลากความสามารถ ในประวัติศาสตร์เผ่าพันธุ์อัจฉริยะ มีบันทึกเทพอสูรที่ใช้คลื่นเสียงสังหารทหารนับไม่ถ้วนไว้หลายตัว

เผ่ามนุษย์จึงสร้างค่ายกลสยบคลื่นขึ้นเพื่อรับมือการโจมตีของเทพอสูร

แต่ก็เหมือนค่ายกลปักดารา มันเปราะบาง ต้องใช้ดาราเปลี่ยนจุดคอยปกป้อง

เสียงเจ้าเหยี่ยวจึงอู้อี้ไป มันอ้าจะงอยปากขึ้นอีกครั้ง แต่ครั้งนี้เกิดลูกลมสีขาวขึ้น

ลูกลมมีขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ ยามพุ่งเข้าใส่ทางลาดหันเหนือ

แม้ลูกลมจะดูไม่พิเศษอะไร แต่ไม่มีใครอยากรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นหากมันปะทะทางลาดหันเหนือเข้า

จริง ๆ แล้วเทพอสูรไม่ได้มีวิชาใดสลับซับซ้อนมากนัก เพียงแต่มันทรงพลังเกินไปเท่านั้นเอง

หากวิชาอาร์คาน่าระดับตำนานสามารถเทียบได้กับขั้น 13 เช่นนั้นการโจมตีของเทพอสูรคงเทียบได้อย่างน้อยว่าเป็นวิชาขั้น 20

พลังสูงส่งเช่นนี้ไม่สามารถต้านทานโดยคนเดียวได้แน่ ดังนั้นจึงทำได้เพียงใช้ค่ายกลที่ได้เปรียบเรื่องจำนวนคนสกัดเอาไว้ เพื่อให้พวกทหารได้มีจังหวะโจมตี แม้จะต้องตายหลังจากนั้นไม่นานก็ตาม

กลยุทธ์หลักที่ใช้รับมือกับเทพอสูรยังไม่แปรเปลี่ยนไม่ว่ารอบข้างจะเปลี่ยนไปสักเพียงไหน

ลูกลมนั่นเดินทางค่อนข้างช้า ดูเหมือนจะสลายไปโดยง่าย

แต่ความเชื่องช้านี้นับว่าท้าทายดาราเปลี่ยนจุดอย่างถึงที่สุด

ลูกลมนี้เล็งการโจมตีไปที่ทางลาดหันเหนือ ไม่ว่าดาราเปลี่ยนจุดจะเปลี่ยนไปทิศใด ก็ทำได้เพียงชะลอการเดินทางของมันเท่านั้น แต่ไม่สามารถเปลี่ยนทิศมันได้อย่างสมบูรณ์

ดาราเปลี่ยนจุดถึง 3 ครั้งติดกัน แต่ไม่สามารถปรับทิศทางของลูกลมที่ค่อย ๆ ดำเนินลงมาได้เลย

“หยุดค่ายกล!” ซูเฉินสั่ง ทุกครั้งที่ใช้ดาราเปลี่ยนจุดก็จะต้องใช้พลังสูญอันล้ำค่า ของเหล่านี้สร้างขึ้นได้ยากมาก ซูเฉินต้องเดินทางเข้าแดนพลังสูญเพื่อเก็บเกี่ยวมันโดยเฉพาะ และได้มาในจำนวนค่อนข้างน้อย ทั้งยังต้องใช้เวลาและพลังจำนวนมาก ดังนั้นเมื่อเห็นดาราเปลี่ยนจุดใช้ไม่ได้ผล เขาจึงรีบสั่งให้หยุดทันที

ขณะที่ลูกลมกำลังพุ่งลงมา ซูเฉินก็สะบัดท่าดัชนีออกไป

ถ้าหลบไม่ได้ ก็ต้องใช้พลังทำลาย

แต่ท่าดัชนีกลับไม่ทำให้เกิดอะไรขึ้น

ลูกลมเหมือนไม่สนใจท่าโจมตีของเขาด้วยซ้ำ

แน่นอนว่าการโจมตีของเทพอสูรไม่ถูกทำลายง่ายเช่นนั้นแน่

แต่ชั่วขณะนั้นเอง ซูเฉินก็เปิดใช้เนตรมองโลกจุลภาค นัยน์ตามีแสงสว่างวาบขึ้น เก็บทุกรายละเอียดของแรงลมหมุนในลูกกลมนั่นเอาไว้

แม้มันจะมีขนาดใหญ่ แต่ก็สร้างจากพลังต้นกำเนิด แม้จะเป็นการโจมตีที่มีพลังมากกว่าปกติก็ตาม แต่ถึงอย่างนั้นก็เป็นเพราะมีพลังมากกว่า จึงทำให้รู้ความลับง่ายกว่า

ซูเฉินสังเกตการไหลของพลังผันผวน เขาได้ความสามารถนี้มานานหลายสิบปีแล้ว ความเชี่ยวชาญก้าวกระโดด เมื่อมองจากขนาดของลูกลม ซูเฉินถึงแทบจะระบุแก่นหลักของมันได้ในทันที

ชายหนุ่มซัดท่าดัชนีออกไปอีกครั้ง ครั้งนี้ผสมพลังอมตะไปด้วยเล็กน้อย

ลูกลมนั่นระเบิดออกทันทีเมื่อถูกการโจมตีนี้เข้า

คลื่นกระแทกที่ตามมานั้นทรงพลังอย่างน่ากลัว

แต่แม้จะทรงพลัง ก็ไม่ถูกเป้าหมายแต่อย่างใด จะเว้นก็เพียงด่านหยั่งรู้ฟ้าดินคนหนึ่งที่โชคร้ายอยู่ในจุดผ่านพลังพอดี แม้จะเป็นแรงพลังที่ถูกสลายลงแล้วแต่ก็สังหารเขาในทันที

“กรี๊ซซซซซ!”

เสียงร้องสนั่นลั่นฟ้าดังขึ้น ค่ายกลสยบคลื่นยังคุมได้ยาก

เหยี่ยวทองเกรี้ยวกราดแล้ว

นับตั้งแต่จังหวะที่มันโจมตีครั้งแรกจนถึงตอนนี้ สังหารผู้เชี่ยวชาญไปได้ไม่กี่สิบเท่านั้น แต่ร่างกายมันกลับมีบาดแผลนับพันแล้ว

หากเป็นเช่นนี้ มันก็จะกลายเป็นเทพอสูรที่สังหารเผ่าพันธุ์อัจฉริยะได้น้อยที่สุดในหน้าประวัติศาสตร์น่ะสิ

ยอมรับไม่ได้!

ความอับอายใหญ่หลวงของเหยี่ยวทองยิ่งทำให้มันโกรธเป็นยิ่งนัก