บทที่ 26 ลอบโจมตี
ทุ่งหญ้าฟ้าคลั่ง
สถานที่นี้ตั้งอยู่ในเขตทางใต้ของทวีปต้นกำเนิด อยู่ที่ใจกลางป่ารกร้างที่ถือครองโดยเหล่าสัตว์อสูร
ทุ่งหญ้าฟ้าคลั่งนั้นครั้งหนึ่งเคยเป็นแดนที่อุดมสมบูรณ์ที่สุดในทวีป แม้จะมีขนาดไม่ใหญ่ แต่มีสมุนไพรล้ำค่าเติบโตอยู่มาก มีทรัพยากรธรรมชาติมากมาย เผ่าพันธุ์อัจฉริยะบางเผ่าเดินทางมาถึง กอบโกยทรัพยากรมูลค่าสูงกลับไปแทบซื้อทั้งเมืองได้ ของทุกอย่างที่นี่นับว่ามีมูลค่าสูง ทำให้มันเป็นขุมสมบัติแห่งทวีปต้นกำเนิด
เห็นได้ชัดว่ามันยังเป็นแหล่งรวมตัวสุดท้ายของสัตว์อสูรหลังจากพลังต้นกำเนิดในสภาพแวดล้อมเริ่มลดลง
ไม่นานก็ได้คำตอบ ซูเฉินสัมผัสได้ว่าพลังต้นกำเนิดที่นี่หนาแน่นกว่าที่ไหน ๆ
วิชาต้นกำเนิดและวิชาอาร์คาน่าของทุกคนแข็งแกร่งขึ้น ใช้พลังน้อยลง สงครามจึงออกมาโหดเหี้ยมดุดันกว่าปกติ
จากกองทัพหลักมาถึงทุ่งหญ้าฟ้าคลั่งก็พบกับสถานที่ที่เหมาะกับการประลองยิ่ง คือทางลาดหันเหนือนั่นเอง
ในหมู่ผู้ใช้วิชา อย่างไรภูมิศาสตร์ก็ยังสำคัญในการรบ สิ่งสำคัญไม่ใช่ว่าพื้นที่ใดมีความสูงกว่า แต่เป็นพื้นที่ใดสามารถตั้งค่ายกลได้มากกว่าต่างหาก ยิ่งสามารถตั้งค่ายกลได้ง่าย ก็นับว่ายิ่งเหมาะ
พลังต้นกำเนิดในแถบทางลาดหันเหนือหนาแน่นพอสมควร สนามแม่เหล็กแรงสูงของที่นี่ส่งผลดีต่อการตั้งค่ายกลโจมตีเป็นอย่างมาก
ไม่นาน กองกำลังสำรวจก็แยกออกมาจากทัพหลัก ออกตามหาทรัพยากร ตั้งค่ายกลเพื่อเตรียมพร้อมรบ เห็นได้ชัดว่าวางแผนมาแล้ว การเคลื่อนไหวมีระเบียบยิ่งนัก
“คงหลีกเลี่ยงการฆ่าฟันไม่ได้” ซูเฉินถอนใจ
จากจุดที่ตั้งของค่ายกล ทางลาดหันเหนือเป็นสถานที่ที่ตรงตามความต้องการของนิกายไร้ขอบเขตพอดิบพอดี
“ท่านเจ้านิกาย เล่อเฟิงส่งคำมาว่าเมืองล่องนภาจะมาถึงภายในเวลา 3 วัน” หลินเฉ่าเซวียนรายงานเสียงตื่นเต้น
การมาถึงทุ่งหญ้าฟ้าคลั่งก่อนเป็นปัจจัยสำคัญมาก แต่ไม่ใช่ว่าจะทำให้ชนะศึก เพียงแต่จะได้เปรียบเท่านั้น สามารถมาตั้งค่ายกลต้นกำเนิดก่อนได้ คิดแผนการให้ตนเป็นฝ่ายได้เปรียบ เก็บทรัพยากรและสมุนไพรล้ำค่าก่อนได้ เพื่อนำพวกมันมาใช้ยามสงคราม
ขวัญกำลังใจก็จะมีมากขึ้นด้วย นับว่าเป็นสิ่งสำคัญยามศึก หากรู้ว่าไม่มีโอกาสชนะ แม้จะเป็นผู้เชี่ยวชาญวิชาแต่ก็อาจไม่มีแก่ใจสู้ ที่การต่อสู้กับสัตว์อสูรเป็นไปได้ค่อนข้างง่าย เป็นเพราะซูเฉินประกาศไปว่าราชันจักรพรรดิอสูรกำลังหลบหนี ทำลายขวัญกำลังใจของทัพสัตว์อสูร อีกฝ่ายจึงล่มจมไปเช่นนั้น
การมาถึงทุ่งหญ้าฟ้าคลั่งจึงได้เปรียบทั้งในเรื่องกำลังใจและความเหนือกว่า รวมถึงเรื่องการเตรียมศึกด้วย ไม่แปลกที่หลินเฉ่าเซวียนจะดูตื่นเต้น
“สามวันงั้นหรือ?” ซูเฉินเลิกคิ้วสูง
“ขอรับ” หลินเฉ่าเซวียนตอบ “ท่านเจ้านิกายรู้สึกว่าเรามีเวลาไม่พอหรือขอรับ? ดูท่าปักษาจะเคลื่อนพลรวดเร็วพอสมควร”
น่าแปลกที่ซูเฉินส่ายหน้า “ไม่ใช่ว่าน้อย แต่มากเกินไปต่างหาก”
มากเกินไป?
เหตุใดซูเฉินถึงกังวลว่ามีเวลาเตรียมตัวมากเกินไปกัน? หลินเฉ่าเซวียนไม่เข้าใจ
ซูเฉินว่าต่อ “เมืองล่องนภาเริ่มต่อสู้กับสัตว์อสูรพร้อม ๆ กันกับเรา หลังจากสัตว์อสูรพ่ายแพ้ โอกาสถูกลอบโจมตีจึงต่ำลงมาก หากพวกเขาเร่งเดินทางเต็มที่ พวกเราก็ยังอาจมาถึงก่อนอยู่ดี แต่ระยะห่างไม่ควรมากเช่นนี้”
หลินเฉ่าเซวียนตอบ “เมืองล่องนภาทรงพลังมากก็จริง แต่ไม่เด่นเรื่องความเร็ว ไม่มีทางมาถึงเร็วกว่าเรือมังกรของเราได้หรอกขอรับ”
“แต่ก็ไม่ควรช้าเช่นนี้”
จวินโม่เสียเอ่ย “ได้ยินว่าท่านเจ้านิกายมีส่วนในการที่เมืองล่องนภาได้รับความเสียหายในครั้งนี้ เป็นเรื่องจริงหรือไม่?”
“มีเรื่องผิดปกติ” ซูเฉินส่ายหน้า “ข้าบังเอิญก่อเรื่องไว้แถวแกนพลังงานแห่งซาร์คจริง แต่ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องใหญ่แค่ไหน รู้เพียงว่าดูจากความสำคัญของแกนพลังงานแห่งซาร์คที่มีต่อเมืองล่องนภา อีกฝ่ายไม่มีทางปล่อยให้เล่อเฟิงรู้แน่ว่าส่งผลต่อการเคลื่อนไหวเมือง หากข้าถูกปักษาลอบสังหารหรือทำให้บาดเจ็บ พวกเจ้าเองไม่คิดปิดเป็นความลับเพื่อไม่ให้ส่งผลต่อขวัญกำลังใจพวกทหารหรือ?”
ทุกคนนิ่งเงียบไป
ซูเฉินเอ่ย “ข้าประมือกับหยงเยี่ยหลิวกวงมาก่อน รู้ว่าเขาเจ้าเล่ห์เพียงใด อย่าได้ประเมินเขาต่ำไป ไม่มีใครรู้ว่าเขาจะลอบโจมตีขึ้นมาตอนไหน”
ได้ยินดังนี้ ทุกคนจึงดูจริงจังขึ้น
กระทั่งหลี่หวู่อี้ยังพยักหน้า “หยงเยี่ยหลิวกวงเป็นผู้นำที่รับผิดชอบให้ปักษากลับมาแกร่งอีกครั้ง ยกย่องเขาสูงส่งเช่นนั้นไม่มากเกินไป หากหยงเยี่ยหลิวกวงจงใจลดความเร็วเมืองล่องนภาลง คำถามก็คือเพื่ออะไร?”
กู่ฮุยหมิงเองก็พยักหน้า “คิดอย่างนี้ได้หรือไม่? หยงเยี่ยหลิวกวงจงใจถ่วงเวลา เพราะอาจมีเรื่องแย่บางอย่างกำลังรอเราอยู่ที่ทุ่งหญ้าฟ้าคลั่ง”
เหตุผลนี้เรียบง่ายไม่ซับซ้อน ในเมื่อหยงเยี่ยหลิวกวงมอบโอกาสให้นิกายไร้ขอบเขตมาถึงก่อน ก็หมายความว่าอาจจะจัดเตรียมบางอย่างไว้แล้วก็เป็นได้
เมื่อเรื่องราวกระจ่าง ก็เดาคำตอบได้ไม่ยาก
“หรือจะเป็นเทพอสูร?” ฉู่หยวนกล่าวเสียงสงสัย
เทพอสูรนับเป็นอุปสรรคที่เผ่าพันธุ์อัจฉริยะไม่อาจหลีกเลี่ยง แต่มันกลับเป็นผู้พิทักษ์ของสัตว์อสูร
ไม่มีใครรู้ว่ายังมีเทพอสูรหลับใหลอยู่อีกมากเท่าไหร่ แต่พวกมันมักปรากฎยามสัตว์อสูรจนตรอก และตอบโต้การรุกรานของเผ่าพันธุ์อัจฉริยะแน่
หลังจากสัตว์อสูรพ่ายแพ้ไป เทพอสูรอาจปรากฏขึ้นตอนไหนหรือที่ไหนย่อมได้ทั้งนั้น
เป็นไปได้ว่าเทพอสูรอาจมาปรากฏใกล้กับทุ่งหญ้าฟ้าคลั่ง
คำถามเดียวคือ แล้วพวกปักษาควบคุมมันได้อย่างไร?
คนหนึ่งกล่าวโต้ “เทพอสูรปรากฏตัวตามธรรมชาติได้ไม่เจาะจง กระทั่งราชันจักรพรรดิอสูรยังควบคุมการปรากฏตัวเต็มที่ไม่ได้ แล้วปักษาจะทำได้หรือ? พวกเขาอาจไม่สามารถปลุกเทพอสูรขึ้นมาได้ด้วยซ้ำ แล้วจะนำทางพวกมันมาทุ่งหญ้าฟ้าคลั่งได้อย่างไร”
ซึ่งก็จริง ดูจากหลักเหตุผล การทำเช่นนั้นยากเย็นเกินไป หากแม้แต่ราชันจักรพรรดิอสูรยังทำได้ยาก แล้วพวกปักษาจะทำได้งั้นหรือ…
ทว่าซูเฉินเอ่ยเสียงมั่น “ไม่ ต้องเป็นเทพอสูรแน่!”
แม้เมื่อครู่ก่อนเขายังลังเล ตอนนี้ความลังเลได้มลายสิ้นแล้ว
ได้ยินเสียงมั่นใจเช่นนั้นทุกคนก็ตกใจ
ซูเฉินว่า “สามวัน! เป็นระยะเวลาที่เมืองล่องนภาใช้กำราบเทพอสูรคางคกพันพิษ หากหยงเยี่ยหลิวกวงประเมินพวกเราอยู่ระดับเดียวกับเมืองล่องนภา ระยะห่างสามวันก็มีเหตุผลพอดี ดังนั้นจึงต้องเป็นเทพอสูรแน่”
คนเรามักใช้ประสบการณ์ที่เคยพบเพื่อคาดเดาอนาคต หยงเยี่ยหลิวกวงเฉลียวฉลาดก็จริง ทว่าซูเฉินเองก็ไม่ใช่ย่อยเช่นกัน
หยงเยี่ยหลิวกวงคิดโดยสัญชาตญาณว่ามนุษย์จะใช้เวลาสามวันในการเอาชนะเทพอสูร เพราะเมืองล่องนภาก็ใช้เวลาสามวันในการต่อสู้กับเทพอสูรคางคกพันพิษเช่นกัน
“เขาทำได้อย่างไร?” เฟิงจู่อิ่งไม่เข้าใจ
เขายังไม่อาจเข้าใจได้ว่าเหตุใดปักษาจึงสามารถควบคุมการเคลื่อนไหวของเทพอสูรได้
ซูเฉินตอบ “เขาทำไม่ได้ แต่เผ่าวิญญาณทำได้”
เมื่อหาคำตอบได้แล้ว การหาเหตุผลให้คำตอบนั้นง่ายกว่ามาก
ปักษาย่อมไม่สามารถควบคุมการเคลื่อนไหวของเทพอสูรได้ เเต่เผ่าวิญญาณสามารถทำได้!
อย่างไรเผ่าวิญญาณก็ชิงวิชาคนอื่นมานับหมื่นปี ไม่ชำนาญการต่อสู้แบบเข้าปะทะ แต่มักใช้เล่ห์กลนับไม่ถ้วนอยู่เบื้องหลัง กระทั่งเทพอสูรก็ยังนำมาใช้ประโยชน์ได้หากเผ่าวิญญาณยอมแลก
และจากความเกลียดชังที่พวกมันมีต่อมนุษย์ซึ่งฆ่าล้างเพื่อนร่วมเผ่าแล้วนั้น ยอมสละอีกสักหน่อยเพื่อควบคุมเทพอสูรจะเป็นไรไป
รู้ดังนั้น กู่ฮุยหมิงหลี่หวู่อี้ และคนอื่น ๆ จึงเข้าใจ
“ถอยออกจากทุ่งหญ้าฟ้าคลั่งเดี๋ยวนี้!”
“สายไปแล้ว พวกเราถูกจับตามองไปแล้ว ศัตรูกำลังบุกเข้ามา ได้ความช่วยเหลือจากเผ่าวิญญาณเช่นนี้ พวกสัตว์อสูรติดตามมาเจอได้ไม่ยากแน่” ซูเฉินแหงนหน้ามองฟ้า ท้องฟ้าบางจุดเริ่มเปลี่ยนเป็นสีดำ เป็นไปได้ว่าอากาศคงเปลี่ยน แต่ก็เป็นไปได้เช่นกันว่าอาจมีผู้ทรงพลังกำลังบุกเข้ามา
หากไม่ได้ถกกันเรื่องเมื่อก่อนหน้า ทุกคนคงคิดว่าเป็นเรื่องอากาศเปลี่ยน แต่ดูท่าจะเป็นเพราะเหตุผลหลังมากกว่า
บรรยากาศภายในห้องพลันอึมครึม
ไม่ใช่เพราะต้องสู้กับเทพอสูร แต่เป็นเพราะการที่หยงเยี่ยหลิวกวงสามารถคำนวณระยะเวลาได้อย่างสมบูรณ์แบบ แม้มนุษย์จะสามารถเอาชนะเทพอสูรได้ด้วยความยากลำบาก แต่ก็คงถูกเมืองล่องนภาเข้าถาโถมทันที
ราวกับว่าหยงเยี่ยหลิวกวงจับตาดูพวกเขามาโดยตลอด
ก็ใช่ เขาจับตาดูมนุษย์มาตลอดอยู่แล้วนี่
ผู้สังเกตการณ์เหล่านั้นคือดวงตาของเขา เรื่องนี้ไม่ใช่ความลับ
หากมีข้อมูลการเคลื่อนไหวจากศัตรูมากพอย่อมวางแผนใช้เล่ห์กลได้ไม่ใช่เรื่องยาก
“เราจะนั่งเฉย ๆ ไม่ได้ ยังเหลือเวลาอยู่ ให้ทุกคนไปทำการป้องกันเสีย! เราจะต้องสร้างค่ายกลป้องกันให้สำเร็จก่อนเทพอสูรจะมาถึง!” ซูเฉินสั่งการทันที
“รับทราบ!” มนุษย์ระดับสูงทั้งหลายส่งต่อคำสั่งลงไปยังลูกน้องทันที
ถึงตอนนี้ ไม่มีแบ่งแยกว่าใครแกร่งใครอ่อนแออีกต่อไป ตั้งแต่ด่านมหาราชันจนถึงผู้ฝึกยุทธ์ธรรมดาต่างร่วมด้วยช่วยกันทั้งสิ้น
พวกมีหน้าที่เก็บทรัพยากรก็เก็บทรัพยากรไป พวกมีหน้าที่ตั้งค่ายกลก็ตั้งค่ายกลไป โดยทำให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้
ยิ่งสร้างค่ายกลได้เร็วก็ยิ่งเพิ่มโอกาสชนะและรอดชีวิตได้มากขึ้น
ทัพมนุษย์ที่เดินทัพมาด้วยความสงบเรียบร้อยพลันเอะอะไปด้วยผู้คนทำหน้าที่ของตน ค่ายกลป้องกันบนทางลาดเริ่มก่อร่างรวดเร็วจนมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า
ในขณะเดียวกัน ท้องฟ้าก็ยิ่งดำมืด เมฆดำเริ่มก่อตัวแผ่ความกดดันออกมา
ศิษย์ทั้งหลายที่มีหน้าที่ส่งสัญญาณเตือนจ้องมองจุดที่เมฆดำรวมตัวเขม็ง นัยน์ตาแผ่แสงสีทองออกมา ด้วยพยายามมองว่าจะมีเทพอสูรออกมาหรือไม่ แม้จะทำให้เร็วขึ้นได้ไม่เท่าไรก็ตามที
เวลาผ่านไปช้า ๆ ทว่าเทพอสูรก็ยังไม่ปรากฏ
ไอระอุของทัพมนุษย์เริ่มจางหาย แต่ไร้เงาเทพอสูร ในใจบังเกิดความสงสัย
คาดเดาผิดไปหรือ? กลัวไปเปล่าเลยสิ?
หลายคนคิดเช่นนี้
เป็นในตอนนั้นเอง
“กรี๊ซซซซ!!!”
เสียงคำรามดังสนั่นลั่นหูก็ดังก้องฟ้า
“บนฟ้า! มันอยู่บนฟ้า!” เหล่าศิษย์ที่ทำการรักษาอาการเริ่มร้องขึ้น
ปักษาสีทองตัวยักษ์ตัวหนึ่งเหินร่างลงมา แค่ปีกที่กางออกของมันก็ใหญ่ราวพันจั้ง
มันดิ่งลงมาราวกับภูเขาหล่นลงจากเวหา
“เตรียมตัวรับมือศัตรู!!!”
เสียงเตือนภัยดังลั่น ผสมไปกับเสียงร้องแหลมของเหยี่ยวทอง
“เตรียมรบ!!!” ซูเฉินตะโกน
เสียงชายหนุ่มตื่นเต้นยิ่งนัก
ไม่แปลกที่เขาตื่นเต้นที่จะได้สู้ นับตั้งแต่ได้พลังเซียนมา ก็ยังไม่มีใครเทียบเทียมเขาได้มาก่อน ตอนนี้เขาหาโอกาสต่อสู้ดุเดือดนั้นมาได้แล้ว
ความตื่นเต้นนี้ทำให้ซูเฉินเลือดร้อนเป็นยิ่งนัก รอยยิ้มดุดันปรากฏขึ้นบนใบหน้า
เขาคำราม “หยงเยี่ยหลิวกวงคิดฉวยโอกาสเราหรือ? โอกาสสักนิดข้าก็จะไม่ให้ เวลาสามวันหรือ? ข้าจะจัดการเทพอสูรนี่ภายในวันเดียวให้ดู!”