บทที่ 25 เผชิญหน้า
ร่างของจักรพรรดิอสูรกระจัดกระจายไปทั่วทั้งสมรภูมิ
ปราการลอยฟ้าเต็มไปด้วยไฟควันลอยว่อน
แม้กระนั้น ผู้กุมอำนาจแห่งท้องฟ้าก็ยังเป็นผู้ได้รับชัยชนะในท้ายที่สุด
หยงเยี่ยหลิวกวงยืนอยู่ที่หน้าเมืองและมองลงไป สายตากำลังเพ่งไปที่บางอย่างดูเป็นจริงเป็นจัง
กูเทียนเยวี่ยรีบตรงเข้ามาด้วยความตื่นเต้น “ฝ่าบาท สามวันแห่งการไล่ล่าได้สิ้นสุดลงแล้ว มีอสูรกายเหลืออยู่ไม่ถึงสิบส่วนของจำนวนเดิม พวกนั้นไม่เป็นภัยกับเราอีกแล้วขอรับ”
“อืม” หยงเยี่ยหลิวกวงเอ่ยเบา ๆ
กูเทียนเยวี่ยเห็นดังนั้นก็ประหลาดใจ “ฝ่าบาท เหตุใดท่านถึงดูไม่ดีใจกับเรื่องนี้เลย”
“ข้าก็แค่ไม่เห็นว่ามีอะไรที่จะต้องดีใจ” หยงเยี่ยหลิวกวงตอบนิ่ง ๆ
“ไม่มีอะไรต้องดีใจหรือ?” กูเทียนเยวี่ยผงะ
หยงเยี่ยหลิวกวงกล่าวต่อไปด้วยท่าทีเฉยเมยอย่างเดิม “อสูรกายพวกนั้นแพร่พันธุ์ได้รวดเร็ว บางกลุ่มสามารถออกลูกได้มากกว่าหนึ่งครั้งต่อปี นั่นทำให้มีพวกมันเพิ่มขึ้นมากมายภายในปีเดียว สิ่งเดียวที่จะจำกัดจำนวนของมันได้ก็คือเราต้องสู้กับพวกมันอยู่เรื่อย ๆ ตอนนี้ดูเหมือนว่าอสูรพวกนั้นกลับเข้าสู่มุมมืดไปแล้ว และจะมีทรัพยากรมากมายเหลือเฟือให้พวกมัน ในเมื่อพวกมันไม่มีความจำเป็นที่จะต้องฆ่ากันเอง แปลว่าจำนวนของอสูรกายก็จะกลับมามากอย่างเดิมในเวลาเพียงไม่กี่ปี แล้วอย่างนี้ข้าจะดีใจไปเพื่ออะไรกัน ในทางกลับกัน เผ่าปักษาต้องทนทุกข์กับความลำบากนานัปการในศึกนี้ อีกทั้งทัพของเราก็ยังอ่อนแอลงมาก ข้าคิดว่าทั้งเมืองล่องนภาและจุดลอยทั้งหลายก็น่าจะถูกทำลายด้วยเช่นกัน”
กูเทียนเยวี่ยคอตก
หยงเยี่ยหลิวกวงพูดถูก อัตราการสืบพันธุ์ของอสูรกายนั้นรวดเร็วจนน่าตกใจ และพลังที่พวกมันสูญเสียไปก็สามารถฟื้นคืนมาได้ตามกาลเวลา แน่นอนว่าการสร้างเจ้าอสูรต้องใช้เวลาพอสมควร แต่การต่อสู้อย่างต่อเนื่องก็ยิ่งเป็นการเร่งให้เกิดเจ้าอสูรได้ไวขึ้นอีกด้วย หากไม่มีการแทรกแซงใด ๆ จากการรบ ก็เป็นไปได้ว่าอสูรตนหนึ่งจะบรรลุพลังระดับจักรพรรดิได้เร็วยิ่งขึ้น
เมื่อพลังของอสูรกายพัฒนาไปจนถึงระดับหนึ่งแล้ว พวกมันก็จะเริ่มต่อสู้กันเองด้วยเหตุผลด้านความแตกต่างในเรื่องลักษณะและนิสัย
นี่เป็นอุปนิสัยของอสูรกายมานานแล้ว อย่างไรเสียชาวมนุษย์ก็เคยเอาชนะอสูรกายมาได้แล้วในอดีต ด้วยอำนาจของราชวงศ์เทพสวรรค์อันรุ่งโรจน์ตระกูลกู่ แต่กระนั้นอสูรกายในวันนี้ก็ยังแข็งแกร่งเหลือเกิน
แน่นอนว่าหยงเยี่ยหลิวกวงเองก็มีวิธีจัดการกับสถานการณ์เช่นนี้อยู่
การโจมตีในขณะที่เหล็กยังร้อนฉ่า เข้าควบคุมดินแดนไร้อารยะ รวมถึงกำจัดอสูรกายทั้งหลายนั้นก็มากเพียงพอแล้ว
นอกจากนั้นก็ยังต้องนึกถึงเทพอสูรอีกด้วย
เมื่อไรก็ตามที่ฝ่ายอสูรกายหมดสิ้นหนทางจริง ๆ เทพอสูรก็จะถูกปลุกให้ตื่นขึ้นมา
แต่หยงเยี่ยหลิวกวงก็ไม่รู้เลยว่าเทพอสูรตนใดที่จะมาทำหน้าที่หยุดพวกตนในคราวนี้
แม้ว่าเผ่าปักษาจะเป็นฝ่ายชนะ เมืองล่องนภาก็ต้องทนทุกข์กับการสูญเสียไม่น้อยเช่นกัน การที่ผลึกแห่งซาร์คไม่สามารถทำงานได้ชั่วคราวนั้นถือเป็นเรื่องสำคัญ มันจะต้องได้รับการซ่อมแซมต่อไปอย่างเร็วที่สุด ในบรรดาจุดลอยทั้งสาม หอคอยพลังปีศาจได้รับความเสียหายมากเป็นพิเศษ และคงไม่สามารถถูกฟื้นฟูกลับมามีสภาพเดิมไปได้อีกระยะหนึ่ง ดูเหมือนว่าจะมีจุดลอยอีกเพียงสองจุดที่จะเข้าร่วมในการต่อสู้กับชาวมนุษย์ในครั้งนี้
แม้แต่กูเทียนเยวี่ยก็อดสงสัยไม่ได้ว่าพวกเขาตัดสินใจถูกแล้วจริง ๆ หรือไม่ อย่างไรแล้วเผ่าปักษาก็ไม่มีทางเลือกอื่นใดนอกจากเผชิญหน้ากับการดวลกับเผ่ามนุษย์ และยังไม่มีเวลาที่จะมาขยายฐานปฏิบัติการอีกด้วย
แต่ถึงอย่างนั้น นี่ก็เป็นความจริงที่ต้องยอมรับ ฝ่ายอสูรกายในตอนนี้แตกคอกัน แม้แต่เผ่าพันธุ์อัจฉริยะก็ไม่ต่างกัน ไม่เช่นนั้นแล้วพวกเขาอาจมีโอกาสในการพลิกผันสภาพการณ์มาตั้งแต่หลายพันปีที่ผ่านมาแล้ว
สถานการณ์โลกไม่มีทางยอมทำตามความประสงค์ของชายเพียงคนเดียวแน่
“รายงานตัวขอรับ!” ขณะที่กูเทียนเยวี่ยกำลังจมอยู่กับความคิด ทหารปักษาคนหนึ่งก็พุ่งเข้ามาและมอบสาส์นฉบับหนึ่งให้กับผู้เป็นราชา
สาส์นนี้ทำขึ้นจากหยกเอ่ยความคำนึง เมื่อหยงเยี่ยหลิวกวงหยิบมันขึ้นมา หยกแผ่นบางก็เปล่งประกายสว่างจ้าทันที เนื้อหาข้างในพลันถูกส่งไปยังสมองของตัวเองทันที
เขาถอนใจ “พวกมนุษย์ได้รับชัยชนะ เส้าซินทำภารกิจไม่สำเร็จ”
“เส้าซินทำภารกิจไม่สำเร็จ…” กูเทียนเยวี่ยพึมพำกับตัวเองก่อนจะถอนหายใจและส่ายหน้า
กูเทียนเยวี่ยคัดเลือกเส้าซินมากับมือเพราะพลังจิตที่โดดเด่นอีกทั้งยังน่าทึ่ง เด็กชายทนทานต่อวิชาควบคุมพลังจิตที่ได้มาจากเผ่าวิญญาณ และสามารถปรุงยาพิษวิญญาณชนิดพิเศษได้ พิษนี้หายากยิ่งนัก และการใช้มันก็จำเป็นต้องเป็นความลับอย่างที่สุด ขั้นตอนในการนำมันออกมาใช้นั้นไม่ควรเป็นจุดสังเกตหรือให้ใครเห็นได้ แต่สุดท้ายเส้าซินก็ทำไม่สำเร็จ
“เขาทำไม่สำเร็จสินะ” เสียงทุ้มต่ำอีกเสียงกล่าวขึ้น แต่คราวนี้ผู้พูดเป็นเงาสีดำที่ปรากฏขึ้นข้าง ๆ หยงเยี่ยหลิวกวงอย่างเงียบ ๆ
ร่างนั้นคือเผ่าวิญญาณอาวุโสนั่นเอง
“ถูกต้อง เป็นอย่างที่ท่านคาดการณ์เอาไว้ใช่ไหม” หยงเยี่ยหลิวกวงถามด้วยท่าทีนิ่งเฉยอย่างเดิม
วิญญาณอาวุโสตอบ “ฝ่าบาทว่าอย่างไรก็อย่างนั้น จะเป็นไปอย่างที่ข้าทำนายได้อย่างไรกัน”
หยงเยี่ยหลิวงกวงหัวเราะเยือกเย็น “พิษพลังจิตเช่นนี้สามารถใช้ได้โดยเผ่าวิญญาณเท่านั้น ซูเฉินจะต้องรู้แน่ว่าเราเป็นพันธมิตรกับเผ่าวิญญาณ คงไม่มีช่องว่างให้กับการประนีประนอมระหว่างเรากับเขาแล้วล่ะ”
วิญญาณอาวุโสหัวเราะบ้าง “มนุษย์กับปักษาน่ะเป็นศัตรูกันมาช้านานอยู่แล้ว การต่อสู้เพื่อแย่งชิงอำนาจไม่เคยมีช่องว่างให้กับการประนีประนอมอยู่แล้วเช่นกัน การหาเหตุมาเป็นปฏิปักษ์ต่อกันนั้นไม่ใช่เรื่องใหญ่เลย ซูเฉินกำจัดเผ่าวิญญาณไป ดังนั้นเราจะสู้กับเขาจนตายกันไปข้าง ฝ่าบาท ท่านจะต้องเอาชนะนิกายไร้ขอบเขตได้แน่ตราบใดที่เราสองเผ่าพันธุ์ร่วมมือกัน”
“สองเผ่าพันธุ์หรือ?” กูเทียนเยวี่ยเลิกคิ้ว “เผ่าปักษาก็แค่รับเอาหมาที่ไม่มีเจ้าของมาเลี้ยงก็เท่านั้น”
คำพูดของกูเทียนเยวี่ยทำให้วิญญาณอาวุโสเดือดดาล แต่ท้ายที่สุดเขาก็ทำได้เพียงแค่หัวเราะเท่านั้น “ท่านจะมองอย่างไรก็ตามแต่ใจท่านเถิด ท่านแม่ทัพ”
หยงเยี่ยหลิวกวงหันไปมองกูเทียนเยวี่ย พร้อมกับส่งสายตาตำหนิไปให้ คนใต้บัญชาจึงทำได้เพียงก้มหน้าเงียบ
หยงเยี่ยหลิวกวงพูดขึ้น “ซูเฉินยังไม่ตาย และเผ่ามนุษย์ก็เพิ่งได้รับชัยชนะครั้งใหญ่ สาส์นที่ผู้สังเกตการณ์ของข้าส่งมาก็ไม่ได้บอกถึงรายละเอียดการสูญเสียที่เกิดขึ้น แต่กองกำลังหลักของพวกนั้นยังสมบูรณ์ทุกประการ แปลว่าการต่อสู้กำลังใกล้เข้ามาแล้ว เหลือแต่เพียงการเตรียมตัวเพื่อเผชิญหน้าเท่านั้น เพื่อเห็นแก่ความสำเร็จของเรา เจ้าเริ่มแผนการได้เลย ปาปู้ลั่ว”
วิญญาณอาวุโสหัวเราะเมื่อได้ยินเช่นนั้น “ตามที่ท่านประสงค์ ฝ่าบาท”
สิ้นคำก็โค้งคำนับและถอยกลับเข้าไปในเงามืด
เมื่อวิญญาณอาวุโสจากไปแล้ว กูเทียนเยวี่ยจึงกล่าวขึ้น “ฝ่าบาท เผ่าวิญญาณผู้นี้ไว้ใจไม่ได้เอาเสียเลย พวกนั้นอาจช่วยเราวางแผนการต่อต้านซูเฉินในวันนี้ แต่พรุ่งนี้พวกมันอาจวางแผนต่อต้านเราก็ได้!”
“ข้ารู้ แต่ซูเฉินน่ากลัวกว่าพวกนี้มากนัก” ผู้เป็นนายตอบ
กูเทียนเยวี่ยขนลุกซู่ทันที
ความคิดหนึ่งแล่นเข้ามาในหัวและเขาเองก็อดไม่ได้ที่จะพูดมันออกมา “ฝ่าบาท หากท่านมีโอกาสย้อนเวลาไปในตอนที่ซูเฉินเสนอตัวให้กับท่าน ท่านจะเลือกที่จะร่วมมือกับเขาหรือเปล่าขอรับ? หรือว่าจะสังหารเขา?”
หยงเยี่ยหลิวกวงหันไปมองแต่ก็ไม่ได้ตอบอะไร
ทว่าก่อนจากไปก็กล่าวทิ้งท้าย “คำถามเจ้านี่โง่ชะมัด”
กูเทียนเยวี่ยเงียบไป
เวลาผ่านไปครู่หนึ่งก่อนที่หยงเยี่ยหลิวกวงจะถอนใจและเอ่ยขึ้นอีกครั้ง
“ให้ทุกคนมารวมตัวกันเป็นค่ายกล และให้พวกช่างฝีมือกับช่างโลหะเริ่มซ่อมแซมเมืองล่องนภาได้ เรามีเวลาจำกัดแค่สามวันเท่านั้น หลังจากนั้น… เราจะเริ่มมุ่งหน้าสู่ทุ่งหญ้าฟ้าคลั่ง”
“รับทราบขอรับ!”
ในขณะเดียวกันที่นิกายไร้ขอบเขต
ซูเฉินก็กำลังคำนวณการสูญเสียที่เกิดขึ้นอยู่ไม่ต่างกัน
ราคาของการได้รับชัยชนะก็คือชีวิตที่ต้องสูญเสียไประหว่างทาง
แม้ว่าซูเฉินจะพยายามจะต่อสู้ให้ได้มากที่สุดและลดภาระให้กับเหล่าทหาร แต่เขาก็ไม่สามารถรับมือกับความโศกสลดที่เกิดขึ้นเมื่อได้รู้ว่ามีกี่ชีวิตที่ต้องจบสิ้นลงในการต่อสู้ครั้งนี้
“หกแสน…” ชายหนุ่มพึมพำ
เมื่อเทียบกับอสูรกายหลายสิบล้านตัวที่เขาสังหารแล้ว จำนวนหกแสนคนก็ถือว่าไม่ได้มากมายนัก แต่อย่างไรก็ยังถือเป็นการสูญเสียผู้ฝึกตนไปถึงหกแสนคน…
เมื่อวานนี้พวกเขายังมีชีวิตอยู่แท้ ๆ
การสูญเสียครั้งนี้ทำให้จิตใจของซูเฉินห่อเหี่ยวเหลือเกิน
ทหารที่เสียชีวิตส่วนมากนั้นเป็นผู้ฝึกตนระดับล่าง ๆ กับคนขับเรือเหาะ ซึ่งบางคนก็ไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดด้วยซ้ำไป คนเหล่านี้คือสิ่งที่นิกายไร้ขอบเขตต้องสูญเสียไป
โดยเฉพาะค่ายกลสะเก็ดดาวที่ทำหน้าที่เป็นเกราะกำบังตลอดการต่อสู้นั้นเกิดความเสียหายอย่างหนักทีเดียว
ราวสองแสนชีวิตที่สูญเสียไปเป็นความรับผิดชอบของนิกายไร้ขอบเขตเพียงหนึ่งในสิบเท่านั้น และส่วนมากก็เป็นศิษย์ฝ่ายนอกของนิกาย
ความแตกต่างของพลังระหว่างอาณาจักรทั้งเจ็ดกับนิกายไร้ขอบเขตถูกเปิดเผยให้กระจ่างแล้วในตอนนี้
อาณาจักรทั้งเจ็ดเคยคิดว่า ในฐานะที่เป็นผู้สร้างกฎต่าง ๆ ของเผ่าพันธุ์มนุษย์ ผลงานในการต่อสู้ของพวกเขาจะเหนือไปกว่านิกายไร้ขอบเขตอย่างแน่นอน
ทว่าความเป็นได้ทำให้พวกเขาได้ตาสว่าง
ศิษย์นิกายไร้ขอบเขตอาจไม่ได้มีวินัยอย่างทหารของอาณาจักรทั้งเจ็ด แต่พวกเขาก็ฝึกทักษะและวิชาที่คล้ายคลึงกัน ความกลมกลืนและเข้ากันได้ระหว่างการต่อสู้นั้นเรียกได้ว่าไร้ที่ติ อีกทั้งพื้นฐานของทุกคนก็ยังล้ำลึกนัก ไม่น่าแปลกใจเลยที่ค่ายกลของพวกเขาจะแข็งแกร่งกว่าชาวอาณาจักรทั้งเจ็ด
เทียบได้กับการที่ของใหม่มาแทนที่ของเก่านั่นเอง…
นิกายไร้ขอบเขตเป็นตัวแทนของระบบที่ถูกสร้างขึ้นใหม่อย่างสมบูรณ์ ทั้งยังเหมาะสมกับยุคสมัยที่พวกเขาอยู่ในตอนนี้ อีกทั้งยังมีชีวิตชีวาและสดใหม่มาก
ผลการต่อสู้ครั้งนี้เป็นสิ่งที่จะยืนยันเรื่องได้แล้วอย่างชัดเจน
กลุ่มที่ยังยึดติดอยู่กับการมีสายเลือดถึงกับพูดไม่ออกเมื่อเห็นถึงผลลัพธ์ของเหตุการณ์ในคราวนี้
พวกเขาไม่กล้าแม้กระทั่งจะต่อว่านิกายไร้ขอบเขตว่ามีความหย่อนยานด้วยซ้ำ เพราะตั้งแต่การต่อสู้เริ่มขึ้น คนกลุ่มนี้ก็อยู่ในจุดที่ได้รับการป้องกันจากค่ายกลสะเก็ดดาวน้อยที่สุด หรือก็คือพวกเขาอยู่ในจุดที่อันตรายที่สุดนั่นเอง แต่กระนั้นก็สูญเสียชีวิตไปจำนวนหนึ่งในสิบและเสียหายอีกมากมาย
จำนวนนี้ทำให้ทหารของพวกเขาต้องอับอาย
ไม่มีใครกล้าไปวุ่นวายหรือสร้างปัญหาให้กับนิกายไร้ขอบเขตอีกแล้ว
นี่คือสิ่งที่ซูเฉินหวังให้เกิดขึ้นมาตลอด
หากชายหนุ่มต้องการที่จะรวมชาวมนุษย์ให้เป็นหนึ่งเดียวกัน การแยกสายเลือดใด ๆ ที่จะเกิดขึ้นก็ควรเป็นการแตกแยกกับศัตรูภายนอกเท่านั้น
นาทีที่ฝ่ายมนุษย์เอาชนะเผ่าปักษาได้ นั่นแปลว่าพวกเขาได้ครอบครองทวีปนี้แล้วอย่างแท้จริง
หลังจากอ่านรายงานแล้วซูเฉินก็ออกคำสั่งที่คล้ายกันกับหยงเยี่ยหลิวกวง “ได้เวลาใช้ ‘แผนการมหาภัย’ แล้ว เจ้าไปประกาศว่า ใครก็ตามที่ไม่ได้รับบาดเจ็บจะต้องเก็บเกี่ยวทรัพยากรอย่างสุดความสามารถ รวมถึงปรุงยา และซ่อมแซมเรือเกราะกับเครื่องมือต้นกำเนิดด้วย สามวันนับจากนี้ การเผชิญหน้าที่ทุ่งหญ้าฟ้าคลั่งจะเริ่มขึ้น!”
ทั้งฝ่ายปักษาและมนุษย์ต่างก็พากันลงมือทันทีเมื่อได้ยินคำสั่ง ทั้งหมดเริ่มตระเวนไปตามป่าดงที่เคยเป็นของอสูรกายมาก่อน ไม่ยอมปล่อยทิ้งไว้แม้กระทั่งหินก้อนเดียว เพื่อชัยชนะของการต่อสู้ที่กำลังใกล้เข้ามา และเพื่อให้ได้ครอบครองทวีปต้นกำเนิด ทั้งปักษาและมนุษย์ต่างก็พยายามอย่างสุดความสามารถที่จะฟื้นฟูและเพิ่มพลังของตัวเองให้ได้มากที่สุด ซึ่งในขณะเดียวกันนั้นก็ยังมีการวางแผนถึงการใช้ไม้ตายของฝ่ายตรงข้ามและเตรียมพร้อมการซุ่มโจมตีจากมุมมืด
สามวันต่อมา ทั้งสองฝ่ายก็ออกเดินทางมุ่งหน้าสู่ทุ่งหญ้าฟ้าคลั่งอีกครั้ง
ในวันเดียวกันนั้น
ที่ชายแดนอาณาจักรนกฮูก
ฝุ่นควันฟุ้งกระจายจากการต่อสู้ที่กำลังดำเนินไปอย่างดุเดือด
กู่ชิงลั่วกับจูเซียนเหยาลอยอยู่กลางเวหา ที่เบื้องล่างต่อหน้าจูเซียนเหยามีราชันอสูรตนหนึ่งคุกเข่าอยู่
ราชาอีกาแห่งท้องนภานั่นเอง
“ในที่สุดเราก็ทำสำเร็จ!” จูเซียนเหยาร้องขึ้นด้วยความดีใจ
ราชาอีกาแห่งท้องนภาเป็นสิ่งมีชีวิตที่ทรงพลังที่สุดที่นางสามารถจับตัวไว้รับใช้ได้ เป็นอสูรที่จะกลายเป็นราชันจักรพรรดิอสูรในที่สุด ซึ่งครั้งนี้จูเซียนเหยาได้ใช้เทียนไขชีวิตไปด้วยหนึ่งเล่ม
“เราควรรีบมุ่งหน้ากลับไปและเตรียมพร้อมสำหรับการต่อสู้ที่กำลังใกล้เข้ามา” กู่ชิงลั่วกล่าวอย่างนุ่มนวล
ชุดเกราะเวหาพลิ้วไสวไปตามแรงลมทำให้ร่างของนางดูองอาจและสง่างามเหลือเกิน