บทที่ 24 สังหาร
จักรพรรดิอสูรราวสิบตนร่วงลงจากท้องฟ้าพร้อมกัน …ดูราวกับตัวเกี๊ยวที่ถูกโยนลงหม้อต้มอย่างไรอย่างนั้น
จักรพรรดิอสูรเหล่านี้มักอยู่ในที่สูงส่งเสมอแต่กลับถูกซูเฉินสังหารอย่างง่ายดาย อสูรกายในบริเวณนั้นที่เห็นเหตุการณ์ต่างรู้สึกเสียขวัญทันที
ไม่เคยมีใครพบเห็นเหตุการณ์อย่างนี้มาก่อน เพราะไม่มีใครเลยที่จะแข็งแกร่งได้ถึงเพียงนี้ในประวัติศาสตร์ของทวีปต้นกำเนิด
ความสง่างามของซูเฉินทำให้ทุกคนรู้สึกราวกับว่าเขาเป็นเทพที่จุติลงมายังโลกมนุษย์
ราชันอสูรและเจ้าอสูรที่เหลืออยู่ต่างตกตะลึงและสับสนว่าจะต้องทำอย่างไรต่อไป
ซูเฉินเห็นดังนั้นจึงตัดสินใจให้แทน “พวกเจ้าก็ไม่จำเป็นต้องอยู่ที่นี่ต่อไปหรอก”
ชายหนุ่มยื่นมือออกไปคว้าอะไรบางอย่างจากกลางอากาศ แรงนั้นดึงเอาร่างของราชันอสูรและเจ้าอสูรเข้าไปในช่องว่างพลังสูญในทันใด
นี่เป็นอีกหนึ่งวิชาอันทรงพลังที่ซูเฉินเชี่ยวชาญหลังจากเรียนรู้กฎแห่งพลังสูญได้สำเร็จ แต่ที่เขาใช้มันได้ก็เพราะพลังงานลึกลับสีขาวนั่น
แม้ว่าจะใช้มันหมดไปแล้ว แต่ร่องรอยของพลังที่เหลืออยู่ในร่างกายหลังจากปล่อยการโจมตีครั้งนี้ออกไป ก็ยังทำให้เขาสามารถกำจัดอสูรกายที่มีพลังมากกว่าราวสิบเท่าได้อย่างง่ายดายด้วยมือเดียว ทุกคนต่างรู้สึกว่าซูเฉินมีพลังที่ทรงอานุภาพอย่างน่าทึ่งยิ่งนัก
โดยเฉพาะเผ่าพันธุ์มนุษย์ด้วยกันนั้นต่างโห่ร้องด้วยความตื่นเต้น เมื่อเห็นว่าอสูรกายที่ชายหนุ่มโจมตีพากันร่วงกราวลงมาจากท้องฟ้า ส่วนฝ่ายอสูรก็ดูเหมือนจะขวัญเสียและตัวสั่นเทิ้มด้วยความหวาดกลัวเสียมากกว่า
พลังที่ยิ่งใหญ่ของฝ่ายตรงข้าม ดูจะกลายเป็นเหมือนน้ำแข็งที่ละลายเมื่อเผชิญกับไฟเสียอย่างนั้น เมื่อต้องต่อกรกับพลังของซูเฉิน
แม้จะไม่ได้มีพลังงานศักดิ์สิทธิ์สีขาว แต่ซูเฉินก็ยังสามารถต่อสู้ได้ ทว่าหลังจากคิดคำนวณแล้ว ชายหนุ่มก็ตัดสินใจที่จะล่าถอยและเหาะกลับไปยังวังแทน
เรื่องราวของสิ่งที่ซูเฉินได้ทำลงไปจะต้องเดินทางไปถึงยังเมืองล่องนภาในท้ายที่สุด ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้นแล้ว การปล่อยให้พวกนั้นคิดว่าเขาสามารถใช้พลังได้มากที่สุดเพียงเท่านี้คงจะดีกว่า
แต่เมื่อกำลังจะจากไป เหล่าอสูรก็พลันดูเหมือนจะสงบลง
ซูเฉินสร้างบาดแผลอันแสนสาหัสและกำจัดอสูรทรงพลังไปแล้ว อันที่จริงพวกอสูรน่าจะกลัวยิ่งกว่าหากเขาไม่ได้คิดจะถอยกลับไป
แต่เมื่อพวกนั้นเห็นว่าชายหนุ่มกำลังถอยออกไป ความคิดของเหล่าอสูรก็เปลี่ยนทิศทางไปเสียอย่างนั้น
ซูเฉินยังไม่ทันได้ใช้แผนนี้กับเมืองล่องนภาเลยด้วยซ้ำ แต่พวกอสูรกลับถูกหลอกเสียก่อนแล้ว
“เขาเริ่มอ่อนกำลังลงแล้ว!”
“คนคนนี้น่ากลัวเกินไป! เราปล่อยให้เขามีชีวิตรอดต่อไปไม่ได้เป็นอันขาด ไม่เช่นนั้นแล้วเผ่าพันธุ์อสูรกายจะต้องล่มสลายแน่!”
“ไม่ว่าอย่างไรเราก็ต้องกำจัดเขาให้ได้!”
อสูรกลุ่มใหญ่ส่งเสียงโห่ร้องและมุ่งหน้าตรงเข้าไปหาซูเฉิน เพียงพริบตาชายหนุ่มก็ถูกห้อมล้อมไปด้วยจักรพรรดิอสูรกว่าสิบตน
ในขณะเดียวกันนั้น มือขนาดใหญ่ที่ปกคลุมไปด้วยขนสีดำสนิทก็ปรากฏขึ้นกลางอากาศและคว้าหัวของซูเฉินเอาไว้ เป็นหนึ่งในราชันจักรพรรดิอสูรที่อยากจะร่วมวงด้วยนั่นเอง
ซูเฉินเลิกคิ้วสูง “คิดว่าข้าจะไม่มีความอดทนอย่างนั้นจริง ๆ หรือ?”
ชายหนุ่มปล่อยหมัดออกไปปะทะกับฝ่ามือของราชันจักรพรรดิอสูร ทันใดนั้นเขาก็ฉุกคิดขึ้นได้ว่าการโจมตีของฝ่ายตรงข้ามนั้นแปลกไปจากปกติ มันมีพลังหมุนวนที่ลดกำลังหมัดของเขาลงด้วย ทำให้ฝ่ามือของซูเฉินไม่สามารถทะลวงผ่านฝ่ามือของราชันจักรพรรดิอสูรไปได้ แน่นอนว่าฝ่ามือของมันก็ไม่สามารถทำอะไรซูเฉินได้เช่นกัน
แต่อสูรกายทั้งหลายกลับตีความสิ่งที่เกิดขึ้นแตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง
“เขาอ่อนแรงแล้วนั่นปะไร!”
“ฆ่าเขาซะ!”
“การโจมตีจองราชันจักรพรรดิอสูรไม่ธรรมดาเลยจริง ๆ!”
อย่างน้อยอสูรกายทั้งหลายก็รู้วิธีการป้อยอหัวหน้าของตัวเอง
ราชันจักรพรรดิอสูรที่โจมตีซูเฉินเปิดเผยส่วนหัวของมันออกมาในที่สุดหลังจากได้รับการชื่นชมจากลิ่วล้อ ร่างอสูรกายนั้นเป็นวัวยักษ์ มันอ้าปากกว้างและคำรามขึ้น “ซูเฉิน วันนี้เป็นวันตายของเจ้าแล้ว ส่งชีวิตของเจ้ามาให้ข้าซะ!”
“ฮึ่ม ดูเหมือนเจ้ากำลังเล่นเป็นวายร้ายในละครเวทีเชียวนะ” ซูเฉินกล่าวตอบอย่างเดียดฉันท์
วัวยักษ์คงได้ยินประโยคนั้นมาจากบทละครจริง ๆ คำพูดพวกนั้นฟังดูประหลาดเหลือเกินเมื่อออกมาจากปากของใหญ่ยักษ์นั่น
คำดูแคลนของซูเฉินทำให้ราชันจักรพรรดิอสูรวัวฉุนกึก มันเหวี่ยงแขนและฟาดแท่งเหล็กมหึมาในมือเข้าใส่คนอีกฝั่งทันที
ชายหนุ่มชูมีดไร้แสงขึ้นเพื่อรับแรงปะทะและหยุดแท่งเหล็กนั้นเอาไว้ได้อย่างง่ายดาย “นี่ข้ากำลังเผชิญหน้ากับราชันจักรพรรดิอสูรตนไหนอยู่หรือ?”
“ช้าคือราชันจักรพรรดิแห่งความเศร้า!” วัวยักษ์คำรามและเหวี่ยงแท่งเหล็กที่หนักอึ้งราวกับภูเขาอีกครั้ง
พลังของอสูรกายวัวตนนี้น่ากลัวเสียจนซูเฉินไม่อาจใช้เพียงพลังกายเพื่อต้านทานกับมัน ตอนนี้เขาจึงจำเป็นต้องใช้งานลักษณ์เจ็ดสายเลือด ภาพแสนงดงามปรากฏขึ้นที่เบื้องหลังชายหนุ่ม ก่อนจะห่อหุ้มแท่งเหล็กกล้าที่กำลังถูกเหวี่ยงเข้ามาเอาไว้ แท่งเหล็กยักษ์นั่นถูกดูดเข้าไปในลักษณ์และกลายสภาพเป็นภาพวาดภูเขาที่ทำให้ภาพนั้นดูงดงามยิ่งขึ้น
“หือ” วัวแก่ชะงัก ดูเหมือนว่า ‘ตะพดสะท้านทะเล’ ของมันจะถูกฝังลงดินไปแล้วเสียอย่างนั้น… มันไม่สามารถเหวี่ยงแท่งเหล็กยักษ์ได้อีกแล้ว
ราชันจักรพรรดิแห่งความเศร้ามีพลังกายที่แข็งแกร่งอย่างน่าเหลือเชื่อ แม้แต่ภูเขาทั้งลูกก็ไม่สามารถหยุดแรงเหวี่ยงมหาศาลของมันได้ แต่ทำไมภาพนี้กลับทำให้มันเคลื่อนไหวได้ยากเย็นเช่นนี้กันเล่า?
“เป็นอย่างที่คิดจริง ๆ เจ้านี่ประหลาดนักนะ!” วัวแก่โวยวายและปล่อยหมัดใส่มนุษย์อีกฝ่าย
ร่างของซูเฉินหายวับไป เขาเคลื่อนหายไปข้างหลังอสูรกายวัวและแทงร่างยักษ์นั่นจากด้านหลังด้วยดาบในมือ
ดาบปักเข้าที่กลางหลังของวัวร้าย หากซูเฉินยังคงมีพลังงานสีขาวหลงเหลืออยู่บ้าง ร่างของวัวตนนี้คงระเบิดไปทันทีที่คมดาบทะลวงเข้าไปได้อย่างไม่ต้องสงสัย แต่คมดาบของชายหนุ่มในคราวนี้เป็นการโจมตีทั่ว ๆ ไปเท่านั้น แม้ว่าจะทรงพลัง แต่มันก็ไม่ได้ทำให้วัวยักษ์ถึงแก่ชีวิต อย่างไรแล้วอสูรกายตนนี้ก็เป็นราชันจักรพรรดิอสูร ซึ่งมีพลังชีวิตล้นเหลือ บาดแผลที่เกิดขึ้นบนร่างจึงถูกฟื้นฟูได้ด้วยตัวมันเองภายในเวลาอันสั้น
ดังนั้นวัวยักษ์จึงไม่ได้ถอยหลังแต่อย่างใด มันกลับใช้ร่างของตัวเองหยุดมีดไร้แสงไว้กับที่ก่อนจะใช้หัวพุ่งเข้าใส่คนเป็นเจ้าของอาวุธนั่นแทน เขาทั้งสองเปล่งแสงเย็นยะเยือกที่พร้อมจะเอาชีวิตของเป้าหมาย
การโจมตีครั้งนี้ถือเป็นกระบวนท่าสังหารอย่างแท้จริง อานุภาพของมันเทียบได้กับดาบแยกนภาของตระกูลฉู่ หากซูเฉินใช้วิชาหอคอยพิสุทธิ์เคลื่อนกาย เขาคงสามารถหนีไปได้อย่างแน่นอน แต่มีดไร้แสงยังถูกตรึงไว้ในร่างของราชันจักรพรรดิแห่งความเศร้า และได้รับผลกระทบโดยตรงจากพลังของมัน นั่นทำให้ซูเฉินไม่สามารถเอาอาวุธชิ้นนั้นไปด้วยได้
ชายหนุ่มไม่มีทางเลือกอื่นใดนอกจากกัดฟันและโต้ตอบด้วยฝ่ามือ
เขาแหลมพุ่งทะลุมือของชายหนุ่มไปจนทำให้มือเขาระเบิดออกเป็นเสี่ยง ๆ
“อ๊ากกกก!!!” อสูรกายทั้งหลายโห่ร้องด้วยความตื่นเต้น
ซูเฉินได้รับบาดเจ็บแล้ว!
แม้ว่าจะไม่ใช่บาดแผลที่อันตรายถึงชีวิต รวมถึงเจ้ามนุษย์คนนั้นจะสามารถงอกมือใหม่กลับมาได้อย่างรวดเร็ว แต่นี่ก็ถือว่าน่าตื่นตาตื่นใจมากทีเดียว
ราชันจักรพรรดิอสูรเป็นเพียงความหวังเดียวหลังจากที่ซูเฉินสังหารจักรพรรดิอสูรนับสิบตนไปแล้ว
“เจ้าคิดว่าตัวเองแข็งแกร่งขนาดนั้นจริง ๆ หรือ?” ใบหน้าซูเฉินแฝงแววความชั่วร้าย
แม้จะไม่มีพลังงานสีขาวคอยช่วย แต่ข้าก็ยังแกร่งมากพอที่จะทำลายล้างพวกเจ้าทั้งหมด!
ชั่วพริบตานั้นเอง เขาขนาดใหญ่ก็พุ่งเข้าใส่ซูเฉินอีกครั้ง คราวนี้มันพุ่งเป้าไปที่ลำตัว!
ซูเฉินไม่ได้คิดจะหลบแต่อย่างใด และยังปล่อยให้เขาวัวพุ่งเข้าหาตัวอย่างนั้น
ตู้ม!!!
ซูเฉินยืนนิ่งสนิท ขณะที่ปลายเขากำลังจะทิ่มแทงเข้าไปในร่างนั้นเอง มันก็พลันระเบิดออกเสียอย่างนั้น
“อ๊าก!!!” ราชันจักรพรรดิแห่งความเศร้าร้องด้วยความเจ็บปวด “กำแพงพลังสูญ! นั่นมันกำแพงพลังสูญ!”
กำแพงพลังสูญของซูเฉินไม่เพียงเป็นเกราะกำบังที่มีประสิทธิภาพ แต่เขายังสามารถใช้มันเป็นการโจมตีในสถานการณ์ที่เหมาะสมได้ด้วย
“พวกข้าเตือนเจ้าแล้วว่าซูเฉินไม่ใช่เป้าหมายที่จะกำจัดได้ง่าย ๆ แต่เจ้าก็ยังดื้อด้านเสี่ยงโจมตีอย่างบุ่มบ่ามอย่างนั้นอีก!” เสียงหนึ่งกล่าวขึ้น
จู่ ๆ ก็มีมืออีกสามมือโผล่ขึ้นมาราวกับว่ามันแหวกอากาศออกมาอย่างไรอย่างนั้น มือทั้งสามพุ่งตรงมาหาซูเฉินทันที
ราชันจักรพรรดิอสูรสามตนตัดสินใจโจมตีในตอนนั้น
“หน้าไม่อาย!” หลี่ฉงซานและทุกคนต่างสบถออกมา
การซุ่มโจมตีถือเป็นวิธีการชั้นต่ำสำหรับผู้ที่มีสถานะสูงส่งอย่างราชันจักรพรรดิอสูรยิ่งนัก
ต้องขอบคุณที่ กู่ฮุยหมิง กู่ฉางเซิง และกู่เฟยหงว่องไวมากพอและหยุดมันไว้ก่อนที่จะหาเป้าหมายได้พบ ฝ่ามือและอุ้งมือทั้งหกปะทะเข้าด้วยกันกลางอากาศจนเกิดเป็นระลอกพลังกระจายออกไปทั่วทั้งสมรภูมิ
แต่ในพริบตานั้นเอง นิ้วมือสีดำก็ค่อย ๆ โผล่ออกมาอย่างเงียบ ๆ และพุ่งตรงเข้าใส่ซูเฉินจากด้านหลังที่ไร้ซึ่งการป้องกันใด ๆ
ราชันจักรพรรดิอสูรตนที่ห้าปรากฏกาย!!
ราชันจักรพรรดิอสูรที่ซุ่มโจมตีในครั้งนี้ คือราชันจักรพรรดิจิตร่ำไห้ การโจมตีของมันไม่ได้ทรงพลังเป็นพิเศษ แต่มันกลับชั่วร้ายเหลือเกิน บาดแผลใดก็ตามที่เกิดขึ้นเพราะการโจมตีนี้จะค่อย ๆ ดูดพลังต้นกำเนิดของเป้าหมายให้เหือดแห้งลงเรื่อย ๆ แล้วจึงใช้พลังต้นกำเนิดที่ดูดมาเพิ่มขนาดแผลให้ใหญ่ขึ้นอย่างช้า ๆ
ดังนั้นแล้ว ราชันจักรพรรดิจิตร่ำไห้จึงสามารถสังหารเป้าหมายได้โดยทำเพียงสร้างบาดแผลขนาดเล็ก ที่เหลือก็แค่ปล่อยให้เวลามารับไม้ต่อเท่านั้นเอง
ราชันจักรพรรดิจิตร่ำไห้เป็นราชันจักรพรรดิอสูรที่เผด็จการมากที่สุดในบรรดาราชันจักรพรรดิอสูรทั้งสิบที่ปกครองอสูรกายทั้งหมด
นิ้วมือที่โจมตีโดยราชันจักรพรรดิจิตร่ำไห้พุ่งเข้ามาอย่างกะทันหันจนแม้แต่ซูเฉินก็ยังไม่ทันตั้งตัว คนอื่น ๆ โดยรอบก็ไม่ทันได้มีปฏิกิริยาใด ๆ เช่นกัน
ยิ่งนิ้วมือของมันเข้าใกล้ซูเฉินมากขึ้น ราชันจักรพรรดิจิตร่ำไห้ก็ยิ่งกระหยิ่มยิ้มย่องลำพองใจ
ทว่าในตอนนั้นเอง แสงสีขาวอันทรงพลังก็พลันพุ่งออกมาจากด้านหลังของคนมนุษย์
“นี่มัน…”
อสูรจิตร่ำไห้ตกใจ
ซูเฉินยื่นมือออกไปคว้าอากาศอีกครั้งแล้วดึงร่างราชันจักรพรรดิจิตร่ำไห้ขึ้นกลางอากาศ
พลังงานสีขาวหยาดสุดท้ายที่หลงเหลืออยู่ ปะทุเข้าสู่ร่างกายของราชันจักรพรรดิจิตร่ำไห้พร้อมกับพลังงานอื่น ๆ ที่หลงเหลืออยู่ในความครอบครองของซูเฉิน ร่างของอสูรจิตร่ำไห้ระเบิดออกไม่มีชิ้นดีภายในพริบตาเดียวเท่านั้น
เมื่อพลังจากการระเบิดกระจายออกไปปะทะกับร่างของราชันจักรพรรดิแห่งความเศร้า วัวยักษ์ก็ส่งเสียงคำรามประหลาดก่อนจะหันหลังหนีไปโดยไม่สนใจที่จะเก็บตะพดสะท้านทะเลที่ยังติดอยู่ในโลกใบน้อย ๆ ของซูเฉินด้วยซ้ำ
แม้ว่าท่าทางของเขาจะดุร้ายและป่าเถื่อน แต่วัวร้ายกลับกลายเป็นรายแรกที่หนีไปในช่วงเวลาสำคัญ
ราชันจักรพรรดิอสูรอีกสามตนที่เหลือเมื่อเห็นว่าสถานการณ์ไม่สู้ดีก็รีบหันหลังเผ่นแนบทันทีเช่นกัน
การซุ่มโจมตีของพวกมันล้มเหลว อีกทั้งราชันจักรพรรดิอสูรตนหนึ่งก็ถูกสังหารลงโดยง่าย… แล้วจะไม่ให้ทั้งสามกลัวได้อย่างไรกัน!!
แต่ซูเฉินไม่ได้ไล่ตามพวกนั้นไป
การสังหารราชันจักรพรรดิจิตร่ำไห้ของชายหนุ่มเรียบง่ายมาก แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ดูดเอาพลังที่เหลือของเขาไปหมดแล้ว ตอนนี้ชายหนุ่มไม่มีพลังหลงเหลืออยู่แล้วจริง ๆ
แต่แม้จะไม่มีพลัง แต่สติปัญญาก็ยังคงอยู่ไม่จากไปไหน
ขณะที่มองดูราชันจักรพรรดิอสูรทั้งสี่วิ่งหนีตาเหลือกตาตั้ง ซูเฉินก็หัวเราะเยือกเย็นและตะโกนไล่หลังไป “ราชันจักรพรรดิอสูรกำลังหนีไปแล้ว!”
“ราชันจักรพรรดิอสูรกำลังหนีไปแล้วล่ะ!”
เสียงประกาศของชายหนุ่มดังก้องไปทั่วทั้งสมรภูมิ
อันที่จริงแล้วเหล่าราชันจักรพรรดิอสูรไม่ได้กำลังหนีแต่อย่างใด ต้องบอกว่าพวกนั้นกำลังกลับไปตั้งหลักยังทัพหลังถึงจะถูกต้องมากกว่า
แต่อสูรกายที่ยังไม่ทันเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นก็เห็นว่าราชันจักรพรรดิอสูรที่พวกมันไว้ใจกำลังวิ่งออกไปจริง ๆ และหนึ่งในนั้นยังถูกสังหารแล้วด้วย
ราชันจักรพรรดิอสูรเป็นหัวใจในการโจมตีของฝ่ายอสูรกาย หากแม้แต่ราชันจักรพรรดิอสูรยังวิ่งหนีอย่างนั้น แล้วอสูรกายที่เหลือจะเอาความมั่นใจที่ไหนไปสู่ต่อได้?
และเมื่อปราศจากความหวังในการได้รับชัยชนะ แม้แต่อสูรกายดึกดำบรรพ์พวกนี้ก็เริ่มจะตั้งคำถามถึงจุดประสงค์ของการที่จะสู้ต่อไป หากไม่มีโอกาสที่จะชนะ แล้วจะสู้ไปเพื่ออะไรกัน หากความตายของพวกมันไม่ได้ช่วยให้มีอะไรดีขึ้น…หนีไปเสียก็คงจะดีกว่า!
ทันทีที่คิดได้ดังนั้น อสูรทั้งหลายก็เริ่มกระจายตัวแตกฝูงกันออกไปอย่างรวดเร็ว
คำประกาศของมนุษย์ผู้นั้นทำให้อสูรกายทุกตนตื่นตระหนกไปตาม ๆ กัน พวกมันเริ่มสูญเสียกำลังใจในการต่อสู้ไปแล้ว
เมื่อเห็นดังนั้น หลี่ฉงซานก็หัวเราะ “สถานการณ์ถูกตัดสินแล้วสินะ”
เขาพูดถูก มันถูกตัดสินแล้วจริง ๆ
การล่มสลายของกองทัพในครั้งนี้ไม่ต่างจากการพังทลายของภูเขาลูกโต เมื่อมันเริ่มเกิดขึ้นแล้วก็มีเพียงเทพเจ้าเท่านั้นที่จะยุติมันได้
เวลาเพียงชั่วครู่ อสูรกายทั้งหลายก็พากันหนีไปหมด แม้แต่คำขู่ที่จะเอาชีวิตของราชันจักรพรรดิอสูรที่ประจำอยู่ทัพหลังก็ยังหยุดพวกเขาไม่ได้เลยด้วยซ้ำ
ขวัญกำลังใจของเหล่าอสูรไม่หลงเหลืออยู่อีกต่อไป สถานการณ์ในตอนนี้อยู่เหนือความควบคุมของผู้นำทัพแล้วอย่างสมบูรณ์
แม้แต่ราชันอสูรและเจ้าอสูรก็ยังพากันตื่นตูมไปด้วย
เมื่อวังลอยฟ้าเริ่มเคลื่อนมายังพวกมัน… ก็ถือเป็นการพ่ายแพ้แล้วอย่างแท้จริง
อสูรกายพากันหนีกระจัดกระจายไปทุกทิศทาง ทั่วทั้งภูเขาเต็มไปด้วยอสูรมากมายที่กำลังวิ่งหนี ในขณะที่ทหารชาวมนุษย์ใช้โอกาสนี้ในการนับจำนวนของพวกมันเท่าที่จะทำได้
การต่อสู้กินเวลานานถึงสามวันและกินพื้นที่ออกไปถึงหลายหมื่นลี้
เลือดมากมายหลั่งไหลทุกหนแห่ง ปราณดาบลอยคลุ้งอยู่ทั่วทั้งสมรภูมิ
ร่างไร้วิญญาณของอสูรกายจำนวนนับไม่ถ้วนถูกรวบรวมโดยผู้ฝึกตนชาวมนุษย์และกลายเป็นสมบัติล้ำค่าจากการล่า
และทั้งหมดนี้เกิดขึ้นก็เพราะซูเฉินเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย
จากวันนั้นเป็นต้นมา ซูเฉินก็กลายเป็นเทพเจ้าในสายตาของผู้ฝึกตนชาวมนุษย์ทั้งหมด
“เทพเจ้าอย่างนั้นหรือ?”
คนถูกกล่าวขวัญหัวเราะเหยียดเมื่อได้ยินรายงานของหลินเฉ่าเซวียน “ข้าไม่ได้อยากจะเป็นเทพเจ้า พวกนั้นก็แค่สิ่งมีชีวิตโบราณประเภทหนึ่งที่ถูกทอดทิ้งไปตามกาลเวลา คนพรรค์นั้นต้องให้สิ่งมีชีวิตอื่น ๆ มาเป็นทาสรับใช้เพื่อให้ได้พลังมาครอบครอง การกลับมาของเทพเจ้าอะไรนั่นมีแต่จะนำหายนะกลับมาเท่านั้น”
ซูเฉินเรียนรู้จากจักรพรรดิเฟยเยว่ ว่าปรากฏการณ์ที่เป็นไปได้ว่าจะเกิดขึ้นกับเผ่าพันธุ์อัจฉริยะที่อาศัยอยู่ในทวีปต้นกำเนิดนั้นก็คือการกลับมาของเหล่าเทพเจ้า
เจ้าพวกนี้จะต้องเป็นศัตรูที่น่ากลัวยิ่งกว่าอสูรกายอย่างแน่นอน
แล้วซูเฉินจะเคารพนับถือเทพเจ้าแบบนั้นได้อย่างไรกัน หากเป็นเช่นนั้นจริง แล้วเขาจะยอมรับกับการที่คนอื่นมองตัวเองว่าเป็นเทพเจ้าได้อย่างไร?
“ถูกต้องแล้ว เจ้านิกายไม่ได้เลือกเส้นทางสู่การเป็นเทพเจ้า แต่เป็นเส้นทางสู่การเป็นอมตะต่างหาก” หลินเฉ่าเซวียนหัวเราะ
ซูเฉินชะงักไปเมื่อได้ยินดังนั้น ก่อนที่จะหัวเราะออกมาเบา ๆ
ตอนที่ซูเฉินคิดชื่อของ ‘วิชาสู่อมตะ’ ขึ้นมานั้นก็เกิดจากการมีความหวังและการมองโลกในแง่ดีของตน ตอนนั้นชายหนุ่มไม่รู้เลยว่าการเป็นอมตะนั้นเป็นอย่างไร เขาเพียงได้รับมอบหมายการบรรลุที่เหนือกว่าด่านมหาราชันก็เท่านั้น
แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าการคิดเช่นนั้นออกจะตื้นเขินไปสักหน่อย
ผู้เป็นอมตะที่แท้จริงนั้นไม่ต่างอะไรกับเทพเจ้า เพียงแต่พวกเขามีพลังและความสามารถเป็นของตัวเอง
และหากเป็นเช่นนั้น…
ซูเฉินฉุกคิดชึ้นได้
ตอนแรกนั้น เขาพยายามจะตั้งชื่อพลังงานสีขาวนั่นให้ได้ แต่ตอนนี้ชายหนุ่มกลับเกิดแรงบันดาลใจบางอย่างขึ้น
พลังงานนั่นจะต้องเป็นกุญแจสู่ความเป็นอมตะอย่างแน่นอน!
“ถ้าอย่างนั้น ข้าก็จะเรียกมันว่า ‘ต้นกำเนิดความอมตะ’ แล้วกัน ” ซูเฉินพึมพำ
“อะไรนะ?” หลินเฉ่าเซวียนไม่เข้าใจในสิ่งที่อีกฝ่ายกล่าว
ชายหนุ่มตอบกลับไปอย่างใจเย็น “ข้าบอกว่ายุคสมัยของเทพเจ้าน่ะมีอยู่แล้วก็สิ้นสุดไปแล้ว แต่ยุคของการเป็นอมตะน่ะขึ้นอยู่กับตัวเราเอง ผู้ครอบครองทวีปต้นกำเนิดถูกกำหนดชะตาไว้แล้วว่าจะต้องเปลี่ยนจากเทพเจ้ามาเป็นมนุษย์!!”