ภาคที่ 7 ศึกสุดท้าย บทที่ 23 โบกมือเพียงครั้งเดียว

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 23 โบกมือเพียงครั้งเดียว

เงาดำหยุดกึกทันทีที่ได้ยินเสียงของซูเฉิน

มันหันกลับไปมองด้วยความไม่เชื่อในสิ่งที่เพิ่งได้ยิน และที่น่าตกใจไปกว่านั้นก็คือการที่ร่างของซูเฉินไม่ได้ปรากฏอยู่ตรงนั้นเสียด้วยซ้ำ

เขาไม่ได้มาอยู่ตรงนี้ด้วยตัวเองจริง ๆ แต่เสียงของชายหนุ่มกลับชัดเจนจนน่าขนลุก มันทำให้เงาดำหงุดหงิดไม่น้อย

แต่ร่างเงาไม่สามารถพูดได้ ทำได้เพียงอ้าปากกว้างราวกับว่ากำลังส่งเสียงกรีดร้องเท่านั้น แม้ว่าจะไม่มีใบหน้าที่แสดงอารมณ์ออกมาได้ แต่ท่าทางของมันก็แสดงให้เห็นแล้วว่ามันกำลังหวาดกลัว

ทันใดนั้นภาพทุกอย่างรอบตัวของร่างเงาจิ๋วก็บิดเบี้ยวไป

บริเวณโดยรอบเริ่มหลอมละลายไปเสียดื้อ ๆ ราวกับน้ำแข็งที่โดนความร้อน ทุกอย่างกลับกลายเป็นสถานที่ก่อนหน้านี้อีกครั้ง

เรือมังกรชิงหลานปรากฏขึ้น

มันยังคงอยู่บนเรือมังกร ร่างของเส้าซินก็ยังอยู่ข้าง ๆ และที่มุมหนึ่งก็มีร่างของเยี่ยหลิวนอนสลบไสลอยู่

เสียงของการต่อสู้ยังคงดังก้องอยู่ทั่ว แต่สถานการณ์ในตอนนี้ไม่ได้วุ่นวายอย่างในตอนแรกแล้ว

ชายคนหนึ่งยืนอยู่ต่อหน้าพวกเขา… ซูเฉินนั่นเอง

“ทั้งหมดนี่ไม่จริงเลยหรือ?” เยี่ยหลิวฟื้นจากความฝัน ได้แต่คอตก

พวกเขาถูกตลบหลังเสียแล้ว

ทุกสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นเป็นเพียงภาพลวงทั้งหมด

“ก็ไม่ทั้งหมดหรอก” ซูเฉินยิ้มบาง ๆ

การต่อสู้เกิดขึ้นจริง ๆ แต่ก็ยังไม่ได้ดำเนินไปไกล มันเพิ่งเกิดขึ้นได้ไม่นานเท่านั้นเอง

ภาพลวงของเยี่ยหลิวเพียงเร่งให้ดูเหมือนว่าการต่อสู้ดำเนินไปรวดเร็วกว่าความเป็นจริง

“อย่างน้อยข้าก็มีเวลาได้จัดการกับพวกหนูของเจ้า ถ้าเวลาผ่านไปมากกว่านี้ เจ้าอาจจะพลาดโอกาสก็ได้” ซูเฉินยังคงยิ้ม

เมื่อรู้จุดประสงค์ที่แท้จริงของเผ่าปักษาแล้ว ซูเฉินก็สบายใจขึ้นมาก

เขาหันไปมองเส้าซินที่ยังนอนอยู่บนพื้นก่อนจะหันไปที่ร่างเงาดำและถามขึ้น “เผ่าปักษาเชี่ยวชาญวิชาพิษวิญญาณที่เป็นวิชาของเผ่าวิญญาณ… แล้วเจ้ายังกลับมาอยู่ในร่างเดิมได้หรือไม่?”

เงาดำที่เป็นชิ้นส่วนวิญญาณของเส้าซินหันไปมองซูเฉินอย่างระมัดระวัง ก่อนจะหันไปมองที่เยี่ยหลิวอีกครั้ง

ดูเหมือนว่าเงานั้นจะเข้าใจแล้วว่าจะเกิดอะไรขึ้นถัดจากนี้ มันจึงคิดจะฉีกร่างตัวเองออกเป็นสองส่วน ทว่าทันใดนั้นเจตจำนงอันทรงพลังกลับห่อหุ้มร่างเล็กเอาไว้จนทำให้มันไม่สามารถเคลื่อนไหวได้เลยแม้แต่น้อย พลังนั้นเคลื่อนร่างเงาไป…ซูเฉินค่อย ๆ พามันกลับเข้าไปสู่ร่างของเส้าซิน “ถ้ายังมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ก็จะดีกว่านะ แม้เจ้าจะคิดว่าการใช้ชีวิตมันไม่ได้ดีไปกว่าการตาย แต่ก็ดีกว่าที่จะต้องมาตายในความดูแลของข้า”

ชิ้นส่วนวิญญาณได้สละพลังชีวิตของมันไปแล้วเพื่อวางยาพิษซูเฉิน ทำให้มันไม่ได้มีสภาพสมบูรณ์อีกต่อไป หากถูกใส่กลับเข้าไปในร่างกายเดิม คนผู้นั้นก็จะไม่สมประกอบ และร่างกายก็จะเป็นเพียงเปลือกหุ้มที่ไร้ค่าเท่านั้น เส้าซินรู้เรื่องนี้ดี แต่เขาก็ยังเห็นด้วยกับแผนการนี้ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าความภักดีของเขามีมากเพียงไร

ทว่าในท้ายที่สุด ความภักดีนั้นกลับไม่มีความหมาย เพราะภารกิจของเขาไม่สำเร็จ

วันนี้เขาคงไม่ได้เป็นวีรบุรุษของเผ่าปักษาเสียแล้ว

หลังจากซูเฉินฝืนใส่ชิ้นส่วนวิญญาณกลับเข้าสู่ร่างของเส้าซิน แล้วชายหนุ่มก็ดีดนิ้ว โลงแก้วพลันปรากฏขึ้นรอบกายของเส้าซิน

แม้ว่าทักษะนี้จะดูเรียบง่าย แต่อันที่จริงแล้วมันซับซ้อนอย่างน่าเหลือเชื่อทีเดียว ศิษย์นิกายไร้ขอบเขตเห็นดังนั้นก็รู้ในทันใดว่าเจ้านิกายของพวกเขาได้บรรลุสู่อีกขั้นหนึ่งเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

พลังของซูเฉินพัฒนาขึ้นอย่างก้าวกระโดดจริง ๆ ในช่วงนี้

การพัฒนาของเขาเทียบได้กับพลังงานสีขาวที่ได้รับมาจากการสร้างเม็ดกลมสีทอง และการเปลี่ยนอักขระศักดิ์สิทธิ์ให้เป็นพลังศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งด้วยพลังชนิดใหม่นี้ ชายหนุ่มจึงสามารถเพิ่มความเร็วในการฝึกได้ ทฤษฎีมากมายที่เคยเป็นอุปสรรคต่อเขาก่อนหน้านี้กลายเป็นเรื่องที่ซูเฉินแทบไม่ต้องพยายามก็เข้าใจได้อย่างง่ายดาย

ตอนนี้เขายังได้การเห็นแจ้งใหม่จากเส้นทางของเม็ดกลมสีทองด้วย

หลังจากหยุดแผนการของเผ่าปักษาได้แล้ว ซูเฉินก็ดูจะอารมณ์ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

ณ ตอนนั้น การโจมตีจากจักรพรรดิอสูรยังคงรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ มันแตกต่างไปจากที่เห็นในภาพลวงก่อนหน้านี้ การโจมตีของจักรพรรดิอสูรโหดร้ายและรวดเร็วยิ่งนัก หลังจากโจมเกิดการโจมตีไปมาอยู่หลายครั้ง จักรพรรดิอสูรก็เข้ามาร่วมรบด้วย ดูเหมือนฝ่ายพวกมันต้องการให้การต่อสู้นี้จบลงอย่างเร็วที่สุด

“จักรพรรดิอสูรเคลื่อนไหวแล้วสินะ ก็ได้ ๆ ดูเหมือนว่าข้าจะต้องเริ่มอุ่นเครื่องแล้วสิ” ซูเฉินพึมพำกับตัวเองขณะใช้วิชาเคลื่อนกายไปยังค่ายกลรบที่แนวหน้า น่าประหลาดใจยิ่งนักที่จักรพรรดิอสูรได้มุ่งหน้าเข้ามาหาเขาแล้วในตอนนั้น

จักรพรรดิอสูรตนนี้มีรูปกายเป็นหมูป่า มันลงแรงทั้งหมดที่มีไปกับร่างกายทว่าไม่ใช่กับสมอง มันโจมตีศัตรูทุกตัวอย่างบ้าบิ่นโดยไม่มีการคิดคำนวณใด ๆ ทั้งสิ้น อสูรหมูป่ามีชีวิตอยู่มาได้ถึงตอนนี้ก็เพราะการต่อสู้ที่ยิ่งใหญ่ขนาดนี้ไม่ได้เกิดขึ้นง่าย ๆ ไม่เช่นนั้นแล้วคงไม่มีทางเลยที่อสูรอย่างมันจะรอดมาถึงจุดนี้ได้

ตอนนั้นเองจักรพรรดิอสูรหมูป่าคืนสู่ร่างเดิมของมัน หมูป่าขนาดยักษ์กำลังมุ่งหน้าเข้ามาทางซูเฉิน ทุกฝีก้าวของมันทำให้พื้นดินสั่นสะเทือนไปหมด

เรือเหาะหัวโลหะปล่อยหอกสีทองจำนวนหนึ่งเข้าใส่หมูยักษ์ แต่เมื่อมันเหวี่ยงหัวเพียงครั้งเดียวก็สามารถปัดป้องอาวุธเหล่านั้นออกไปได้หมดแล้ว

ดูเหมือนว่าการไม่มีสมองจะกลายเป็นข้อดีของมันเสียแล้ว แม้จะขาดสติปัญญา แต่หมูป่ายักษ์ก็ไม่ได้อ่อนแอแต่อย่างใด

น่าเสียดายที่การไร้ซึ่งสติปัญญานั้นยังหมายความว่ามันอาจเลือกคู่ต่อสู้ที่ผิดด้วย… และคราวนี้มันเลือกซูเฉิน

เมื่อเห็นดังนั้นชายหนุ่มก็หัวเราะ “ไม่เลวเลย”

เขาตอบโต้ด้วยการโจมตีทันที

ทั้งสองฝ่ายมีพลังด่านมหาราชันด้วยกันทั้งคู่ ในทางทฤษฎีแล้ว ทั้งซูเฉินและอสูรร้ายต้องโจมตีกันไปมาเกือบพันครั้งจึงจะสามารถตัดสินแพ้ชนะได้ โดยฝ่ายที่หมดพลังและใช้ไพ่ตายสุดท้ายไปก่อนก็จะเป็นฝ่ายแพ้

แต่ซูเฉินคิดต่างออกไป สำหรับเขาแล้วการต้องโจมตีเพื่อสังหารหมูป่าตัวนี้ถือเป็นการสูญเปล่า

ชายหนุ่มจึงเลือกที่จะใช้เพียงนิ้วมือนิ้วเดียวเท่านั้น

นิ้วมือที่ทิ่มแทงออกไปอย่างไร้พิษสง ทิ้งรูกลวงขนาดเล็กไว้บนร่างของอสูรหมูป่า

โดยปกติแล้ว แม้จะมีบาดแผลนับหมื่นแห่งในขนาดเดียวกันนี้ ทั่วทั้งร่างของมันก็คงยังไม่สามารถสังหารจักรพรรดิอสูรได้ด้วยซ้ำ แต่หลังจากนิ้วของซูเฉินโจมตีออกไป ร่างของหมูป่าที่กำลังมุ่งหน้าเข้ามาก็พลันเซไปมาราวกับว่ากำลังมึนเมาอะไรบางอย่างเสียอย่างนั้น จู่ ๆ หมูยักษ์ก็ล้มครืนและร่วงลงจากท้องฟ้า

นิ้วเพียงนิ้วเดียวของซูเฉินสามารถทำลายพลังชีวิตของจักรพรรดิอสูรได้อย่างสิ้นซาก เขาสังหารมันได้ในคราวเดียว

จักรพรรดิอสูรมีชีวิตรอดจากนิ้วพิฆาตของจักรพรรดิแห่งการทำลายล้าง หนีออกมาจากการปิดล้อมของราชันอสูรถึงสี่สิบสองตน และได้รับบาดเจ็บมาแล้วเกือบสามพันครั้ง มันถึงขั้นเคยถูกฉีกร่างออกเป็นชิ้น ๆ โดยราชันจักรพรรดิผ่าสวรรค์ แต่สุดท้ายมันกลับต้องมาจบชีวิตลงด้วยการโจมตีด้วยนิ้วมือที่แสนเรียบง่ายของซูเฉิน

จักรพรรดิอสูรจำนวนหนึ่งที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียงเห็นดังนั้นก็ตกใจไม่น้อย

ทันใดนั้น จักรพรรดิอสูรสามตนก็ตรงเข้ามาหาซูเฉินพร้อมกัน

เมื่อเห็นดังนั้นแล้วชายหนุ่มก็เพียงเผยยิ้มและกล่าวกับตัวเอง “ต้องอย่างนี้สิ”

เขาชักดาบออกจากฝักและส่งคมดาบฝ่ามิติออกไปหั่นร่างอสูรเหล่านั้นออกเป็นสองส่วนในพริบตา แต่คบดาบฝ่ามิตินี้ไม่ทรงอานุภาพพอที่จะสังหารพวกมัน แม้ว่าจักรพรรดิอสูรจะถูกฉีกร่างเป็นสองส่วนแต่มันก็ยังคงไม่ตาย ร่างทั้งสองซีกเริ่มเชื่อมเข้าหากันอีกครั้งขณะที่มันร้องขึ้น “เจ้าใช้กระบวนสังหารนั่นหลายครั้งติดต่อกันไม่ได้หรอก!”

หือ? นี่กำลังบอกว่าข้าคิดผิดที่ไม่สังหารเจ้าในคราวเดียวอย่างนั้นหรือ

คิ้วของซูเฉินกระตุกอย่างบ้าคลั่ง

วิชาที่เขาใช้ในการสังหารจักรพรรดิอสูรหมูป่านั้นไม่ใช่วิชาทั่ว ๆ ไป จริง ๆ มันเป็นการผสานพลังอันลึกลับของพลังงานสีขาวนั้นเข้าไปด้วย

แต่หากจักรพรรดิอสูรพวกนี้คิดว่าซูเฉินสามารถส่งการโจมตีออกไปได้ไม่ถี่พอ พวกนั้นก็คิดผิดอย่างมหันต์เสียแล้ว

ขณะที่คิดว่ากำลังจะใช้มันอีกครั้ง ความคิดหนึ่งก็แวบเข้ามาในหัว ซูเฉินจงใจหลีกเลี่ยงที่จะใช้พลังนั้นและกระตุ้นลักษณ์เจ็ดสายเลือดแทนเพื่อปลดปล่อยวิชาจิตมังกรเพลิงแทน

ความสามารถนี้กลายเป็นเอกลักษณ์ของซูเฉินไปแล้ว ทันทีที่ลักษณ์เจ็ดสายเลือดและวิชาจิตมังกรเพลิงปรากฏ ศัตรูก็จะรู้ทันทีว่ากำลังต่อสู้อยู่กับใคร

“ซูเฉิน! นั่นซูเฉิน!”

หลังจากเผยตัวแล้ว จำนวนของจักรพรรดิอสูรที่มุ่งหน้ามาทางเขาก็ลดลงอย่างเห็นได้ชัด

มีจักรพรรดิอสูรอย่างน้อยสิบตนที่ยังคงตรงเข้ามาพร้อมกับราชันอสูรอีก 30 ตน และเจ้าอสูรอีกหลายร้อย

แรงกดดันที่อสูรกลุ่มใหญ่นี้แผ่ออกมาถือว่ารุนแรงทีเดียว

แต่ซูเฉินกลับลอยนิ่งอยู่กลางอากาศที่ด้านนอกเขตการป้องกันของค่ายกลสะเก็ดดาวเสียอย่างนั้น แม้จะมีอสูรมากมายดาหน้ากันเข้ามาเพื่อโจมตีเขา แต่ท่าทางของชายหนุ่มกลับดูไร้กังวลอย่างประหลาด ศิษย์นิกายไร้ขอบเขตเห็นดังนั้นก็อดตกใจไม่ได้ ทุกคนต่างเป็นกังวลและพากันกรูเข้ามาเพื่อเสริมกำลังให้ซูเฉินทันที

ซูเฉินหันไปและกล่าวอย่างหนักแน่น “พวกเจ้าไม่ต้องมากันหรอก ข้าจัดการพวกนี้คนเดียวได้”

อะไรนะ?!

ศิษย์นิกายไร้ขอบเขตตะลึงอีกครั้งกับคำพูดของซูเฉิน

จำนวนนั้นไม่ใช่สิ่งที่ไร้ความหมายเลยในทวีปต้นกำเนิดแห่งนี้ เมื่อศัตรูกลุ่มใหญ่รวมตัวเข้าด้วยกันเป็นกลุ่มที่ใหญ่ยิ่งกว่า พลังของพวกเขาก็จะเพิ่มขึ้นอีกมหาศาล เช่นเดียวกันกับการรวมพลังของปักษาและมนุษย์ รวมไปถึงเหล่าจักรพรรดิอสูรด้วย

ดังนั้นแล้วเพียงเพราะแข็งแกร่งกว่า ซูเฉินจึงไม่ได้ถือว่าไร้เทียมทานเมื่อต้องเผชิญหน้ากับอสูร แม้แต่ยอดปรมาจารย์มากมายที่เชี่ยวชาญกฎแห่งพลัง หรือวิชาต้องห้ามต่าง ๆ ก็ไม่สามารถต่อกรกับอสูรฝูงใหญ่ถึงเพียงนี้ได้ด้วยซ้ำ

จักรพรรดิอสูร ราชันอสูร และเจ้าอสูรมุ่งหน้ากันเข้ามาหาซูเฉินอย่างไม่ขาดสาย การโจมตีของพวกมันดูเหมือนถูกส่งมาทับซ้อนกันเรื่อย ๆ จนทำให้พลังทำลายล้างอยู่ในระดับที่น่ากลัวทีเดียว

วิชาจิตมังกรเพลิงผนวกรวมเข้ากับกฎแห่งพลังธาตุไฟของซูเฉิน แต่พลังของเหล่าอสูรทั้งหมดรวมกันก็สามารถสร้างสุญญากาศขนาดมหึมาที่แม้แต่มังกรเพลิงก็ไม่สามารถที่จะเอาชนะได้ มังกรยักษ์จึงจำต้องถอยกลับมา

พลังที่เหลืออยู่พาดผ่านกายของซูเฉินไปและปะทะเข้าอย่างแรงกับลักษณ์ 7 สายเลือด

ลักษณ์ 7 สายเลือดทำหน้าที่เป็นเกราะกำบังให้กับซูเฉิน มันแยกร่างของเขาออกไปจากโลกใบนี้อย่างสิ้นเชิง เป็นประสิทธิภาพที่ยอดเยี่ยมที่สุดของลักษณ์นี้นั่นเอง

แต่เมื่อต้องเผชิญกับจักรพรรดิอสูรจำนวนมากมายขนาดนี้ แม้แต่ลักษณ์ 7 สายเลือดก็ไม่สามารถรับแรงปะทะได้ไหว เสียงแตกหักเริ่มดังก้องขึ้นราวกับว่าเกราะกำบังรอบตัวซูเฉินพร้อมที่จะแตกออกทุกเมื่อ

ศิษย์นิกายไร้ขอบเขตต่างอยู่ไม่สุขเมื่อเห็นดังนั้น ทุกคนพากันกรูเข้ามาเพื่อช่วยเจ้านิกาย แต่ก็ไม่กล้าที่จะลงมือทำอะไรจริง ๆ แต่กระนั้นชาวนิกายไร้ขอบเขตก็ไม่สามารถไปจากตรงนั้นได้ จึงทำได้แค่มองดูอยู่ห่าง ๆ เท่านั้น

เขาจะปล่อยทัพหุ่นเชิดยักษ์ออกมาหรือ? หลี่ฉงซานกับทุก ๆ คนอดสงสัยไม่ได้ว่าแผนการของซูเฉินคืออะไรกันแน่

หุ่นเชิดยักษ์จำนวนราวห้าสิบตัวนั้นสามารถที่จะเอาชนะอสูรพวกนี้ได้อย่างแน่นอน แต่เขาตั้งใจจะเก็บมันไว้เป็นไพ่ตายในการเผชิญหน้ากับเมืองล่องนภาไม่ใช่หรอกหรือ นี่เขาจะเอามันออกมาใช้แล้วหรืออย่างไรกัน?

ทุกคนสงสัยเหลือเกินว่าซูเฉินจะทำอะไรต่อไป ตอนนั้นเองชายหนุ่มก็ดันฝ่ามือออกไปข้างหน้าเบา ๆ ลักษณ์ 7 สายเลือดที่ดูเหมือนกำลังจะแตกออกเมื่อกี้นี้ กลับเปล่งแสงสีเงินสว่างจ้าขึ้นมา การโจมตีร่วมของเหล่าจักรพรรดิอสูรหยุดลงด้วยพลังจากลักษณ์นั้นในทันที

ขณะที่ทุกคนพยายามจะคิดว่ากระบวนท่าถัดไปของซูเฉินจะเป็นอะไร… เขาก็โจมตีอีกครั้ง!

ไม่ชัดนักว่าซูเฉินทำอะไรกันแน่ แต่จักรพรรด์อสูร ราชันอสูร และเจ้าอสูรทั้งหมดต่างหยุดชะงักอยู่กับที่ พวกมันเริ่มมีท่าทางตื่นตระหนก แต่ก็ไม่มีอสูรตนใดเลยที่สามารถขยับเขยื้อนไปจากตรงนั้นได้ ไม่ว่าจะพยายามมากเพียงไรก็ตาม

สิ่งที่น่ากลัวยิ่งกว่านั้นก็คือ…พลังร่วมของพวกมันได้ถูกแยกออกจากกันเสียแล้ว

หากการโจมตีดังกล่าวถูกแยกออก นั้นแปลว่าอสูรแต่ละตนจะต้องสู้ด้วยพลังของตัวเองแต่เพียงผู้เดียว อันที่จริงแล้วคือไม่ได้ช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้กับอสูรกันและกันเอง แต่ตอนนี้มันกำลังจะกลายเป็นการขัดขวางพวกเดียวกันแทน!

การถูกแยกพลังออกเช่นนี้ทำให้จักรพรรดิอสูรเสียขวัญยิ่งนัก

หนึ่งในนั้นตะโกนขึ้น “เราจะเปิดโอกาสให้เขาแยกเราออกจากกันไม่ได้ พวกเราโจมตี!”

แม้จะไม่สามารถเคลื่อนไหวได้แต่เหล่าอสูรก็ยังสู้ตอบ

จักรพรรดิอสูรทั้งหลายปล่อยพลังรวมกันออกไป แต่ในเมื่อพลังของพวกเขากระจัดกระจายไปหมดแล้ว ตอนนี้มันจึงกลายเป็นกลุ่มก้อนพลังที่อ่อนแอลงมาก แต่ถึงกระนั้นก็ยังถือว่าเป็นก้อนพลังที่จัดการได้ยากอยู่เหมือนกัน

ซูเฉินไม่ได้ใส่ใจแต่อย่างใด ตอนนี้เขากำลังสัมผัสถึงการเปลี่ยนแปลงของสิ่งแวดล้อมโดยรอบหลังจากที่ได้ใช้พลังงานสีขาวอันลึกลับนั้นไป ทันทีที่แยกการโจมตีของศัตรูออกจากกันได้ ชายหนุ่มก็พลันนึกขึ้นได้ว่า ตนได้สร้างเส้นทางสำหรับการเอาชนะความเสียเปรียบทางด้านจำนวนขึ้นมาแล้ว

ซูเฉินในปัจจุบันสามารถสังหารสิ่งมีชีวิตทั้งหมดที่ตรงหน้าได้ด้วยการโบกมือเพียงครั้งเดียว แต่หลังจากคิดทบทวนแล้ว เขาก็ตัดสินใจว่าการไม่ทำตัวเด่นดังในตอนนี้ดูจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่า

ดังนั้นเขาคงต้องมองข้ามสิ่งมีชีวิตระดับล่าง ๆ พวกนั้นไป และสังหารเฉพาะจักรพรรดิอสูรทั้งหลายก่อนเป็นอันดับแรก

หากใครมาได้ยินความคิดนี้เขาคงต้องอ้าปากค้างเป็นแน่ แต่ถึงอย่างนั้นทางเลือกนี้ก็ถือว่าเป็นการ ‘ไม่เป็นจุดเด่น’ แล้วสำหรับซูเฉิน

ไม่ช้าชายหนุ่มก็ปล่อยฝ่ามือออกไปโจมตีอีกครั้ง

ขณะที่ฝ่ามือนั้นถูกส่งออกไป ท้องฟ้าก็พลันครึ้มลงอย่างเห็นได้ชัด

จักรพรรดิอสูรกำลังร่วงหล่นลงมาจากท้องฟ้านั่นเอง!