ภาคที่ 7 ศึกสุดท้าย บทที่ 22 ริเริ่ม (3)

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 22 ริเริ่ม (3)

บนเรือมังกรชิงหลาน

การต่อสู้ที่อยู่ไกลออกไปกำลังดำเนินไปอย่างดุเดือด แต่ความสนใจของเยี่ยหลิวกลับอยู่ที่อื่น

เขามองไปที่ทัพหลัง

ที่บนท้องฟ้า วังไร้ขอบเขตลอยอยู่เดียวดายดูสง่างามนัก

มันคือเป้าหมายของเยี่ยหลิวนั่นเอง

เช่นเดียวกับวังแสงตะวันชั่วกาล วังไร้ขอบเขตไม่ใช่ที่ที่ใครจะเข้าออกได้ตามใจ

โชคดีที่แผนการของเยี่ยหลิวแยบยลกว่าการจะเดินดุ่ม ๆ เข้าไปเฉย ๆ

เขารอโอกาสอยู่อย่างเงียบ ๆ

แม้ว่าจะมีแนวหน้าและแนวหลังของการรบตามตำรา แต่ความแตกต่างของมันก็ไม่ได้ชัดเจนนักในชีวิตจริง

พลังต้นกำเนิดหลั่งไหลทั่วฟ้า หลายครั้งพลังงานเหล่านั้นระเบิดออกส่งแรงกระแทกไปยังเรือทั้งหลาย ทั้งที่เป็นเพียงกระแสพลังก็ยังแข็งแกร่งอย่างน่าเหลือเชื่อ ค่ายกลสะเก็ดดาวไม่สามารถต้านทานกับคลื่นพลังไม่ให้หลุดรอดผ่านเข้าไปได้ มันตรงเข้าทำลายเรือมังกรที่ด้านหลังทัพหน้าทันทีราวกับพายุหมุน

ผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดหลายคนก็ต้องถอยกลับไปเพื่อรับการรักษาก่อนจะกลับมาทำหน้าที่ยังทัพหน้าอีกครั้ง

ในขณะเดียวกันนั้น รถม้าที่ถูกออกแบบมาเพื่อขนส่งเครื่องมือต่าง ๆ ก็แล่นผ่านไปมาระหว่างทั้งสองจุดอย่างต่อเนื่อง

การจราจรทั้งหมดทำให้ทัพหลังสับสนวุ่นวายไม่น้อย เยี่ยหลิวคอยสังเกตการณ์อยู่ตลอดเวลาและเห็นถึงรายละเอียดนี้ด้วยเช่นกัน

ผู้สังเกตการณ์ควรจะคอยสังเกตสถานการณ์และการดำเนินไปของการต่อสู้เพื่อให้แน่ใจว่าฝ่ายตรงข้ามกำลังเคลื่อนทัพไปตามทิศทางที่วางแผนเอาไว้ แต่ทั้งสองฝ่ายกลับมุ่งความสนใจไปที่ไพ่ตายของฝ่ายตรงข้าม รวมถึงการมองหาจุดอ่อนและความลับต่าง ๆ

ทั้งชาวมนุษย์และชาวปักษาต่างก็พึ่งพาเครื่องมือที่ต้องใช้พลังต้นกำเนิดเพื่อให้ทัพหน้าทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ดังนั้นแล้วพวกเขาจึงทำงานด้วยระบบที่ต่างกัน และการรู้ถึงระบบของอีกฝ่ายก็จะทำให้เข้าใจถึงความลับทางยุทธวิธีของศัตรูด้วย

แน่นอนว่าสิ่งนี้ยังไม่ใช่เป้าหมายที่สำคัญที่สุดในการรบครั้งนี้

เป้าหมายที่แท้จริงก็คือนิกายไร้ขอบเขตต่างหาก

เยี่ยหลิวมองดูด้วยสายตาที่แอบแฝงด้วยเจตนาบางอย่าง

โอกาสที่เขากำลังรอคอยยังมาไม่ถึง มันทำให้เยี่ยหลิวเริ่มจะหงุดหงิดก็จริง แต่ภายนอกของเขายังคงดูสงบนิ่งและเฉยชาอย่างเดิม

“ศิษย์พี่เยี่ยหลิว” เส้าซินเดินตรงเข้ามา สายตาของเขาดูไม่สบายใจเอาเสียเลย

เยี่ยหลิวหันไปมองพร้อมกับส่งสายตาบ่งบอกว่าเดี๋ยวโอกาสก็จะมาถึงเอง หากรออย่างอดทน

เส้าซินใจเย็นลงอีกครั้งราวกับว่าเข้าใจในสิ่งที่เยี่ยหลิวต้องการจะสื่อได้ในทันที

การต่อสู้ที่บนท้องฟ้าดุเดือดขึ้นทุกขณะ ผู้บาดเจ็บและล้มตายก็มีจำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆ ทหารอาการสาหัสถูกส่งกลับไปยังทัพหลังเป็นจำนวนมาก ระยะเวลาในการฟื้นฟูก็มากขึ้นตามไปด้วย ผู้คนตะโกนโหวกเหวกอยู่ตลอดเวลา

“ยาล่ะ ยังมียาอยู่ไหม”

“ส่งคนไปตรงนั้นหน่อย”

“ส่งคนไปทางตะวันตกเพื่ออุดรอยรั่วตรงนั้นด้วย!”

ความรุนแรงของสมรภูมิรวมถึงผู้คนที่ล้มตายยังเพิ่มขึ้นไม่หยุด สภาพจิตใจของทุกคนจึงเริ่มสั่นคลอน

ทันใดนั้น ลูกไฟขนาดมหึมาก็ลอยมาในอากาศ

ดวงตาของเยี่ยหลิวเบิกโพลง

ผู้ฝึกตนคนหนึ่งจากบนเรือมังกรเหาะเข้าไปทำลายลูกไฟนั้นด้วยดาบในมือ…มันสลายไปในพริบตา

เยี่ยหลิวถอนใจเบา ๆ

แต่นี่ก็หมายความว่าความรุนแรงของการต่อสู้ได้เพิ่มขึ้นอีกระดับหนึ่งแล้ว และการโจมตีที่จะผ่านรอยรั่วเข้ามาได้ก็จะมากขึ้นด้วย

แน่นอนว่าหลังจากลูกไฟนั้นก็มีการโจมตีอื่น ๆ ตามมาอีกมากมาย

ค่ายกลสะเก็ดดาวดูเหมือนจะได้รับความเสียหายพอสมควรและเข้าใกล้ขีดจำกัดในการรักษาประสิทธิภาพของมันเต็มที

เพราะเหตุนี้การโจมตีจึงเริ่มทะลวงผ่านเข้ามาได้มากขึ้นเรื่อย ๆ นั่นเอง

ขณะที่ค่ายกลสะเก็ดดาวกำลังหดตัวลง จำนวนของการโจมตีที่ผ่านเข้ามานั้นกลับเพิ่มมากขึ้น

ในไม่ช้าโอกาสก็คงจะมาถึง

เยี่ยหลิวขยับหัวไหล่เพื่อคลายเมื่อย

“นี่ เจ้าสองคน แยกกันหน่อย” หนึ่งในมนุษย์ผู้ฝึกตนที่มีหน้าที่ดูแลพวกเขากล่าวขึ้น

เส้าซินตอบทันควัน “ไม่ต้องมายุ่งน่า พวกข้าไม่ไปไหนหรอก”

ผู้สังเกตการณ์สามารถพูดคุยกันได้ตามที่ต้องการ มนุษย์ผู้ฝึกตนคนนั้นบอกให้ทั้งสองแยกห่างกันก็คงเพราะความระแวงของเขาเอง แต่ก็ทำได้เพียงแค่บ่นพึมพำต่อไปเท่านั้น “พวกเจ้านี่มันขันทีติดปีกชัด ๆ”

“เจ้าว่าอะไรนะ” เส้าซินไม่พอใจ

เยี่ยหลิวหยุดเขาไว้ “อย่าไปเสวนากับคนพวกนี้เลย”

“ฮึ่ม! ข้าจะรายงานเจ้ากับเจ้านิกาย!” เส้าซินโวยวาย

“เอาสิ ไปเลย” มนุษย์ผู้ฝึกตนตอบอย่างไม่ใส่ใจ “กฎบอกว่าข้าไม่สามารถสัมผัสตัวเจ้าได้ การพูดเพียงไม่กี่ประโยคนี่ไม่ถือเป็นการโจมตีใครสักหน่อย ถ้าแค่นี้เจ้ารับไม่ได้ก็อกแตกตายไปซะเถอะ”

“เจ้า…” เส้าซินโกรธเลือดขึ้นหน้าแต่ก็ไม่สามารถพูดหรือทำอะไรชายหนุ่มได้มากไปกว่านี้

สิ่งที่เขาพูดมานั้นถูกต้องทั้งหมด ฝ่ายมนุษย์ไม่สามารถแตะต้องตัวพวกเขาได้ และผู้สังเกตการณ์เองก็ไม่มีทางเลือกอื่นใดนอกจากทนรับฟังคำดูถูกเหล่านั้น

อันที่จริงแล้ว เล่อเฟิงได้รับการปฏิบัติที่คล้ายคลึงกันเมื่อตกอยู่ในความควบคุมของเผ่าปักษา แต่ผู้สังเกตการณ์ชาวมนุษย์ล้วนมุ่งมั่นในหน้าที่และไม่ได้ใส่ใจถ้อยคำหรือการกระทำจากอีกฝ่ายแต่อย่างใด

ในทางกลับกัน เผ่าปักษาได้ส่งผู้สังเกตการณ์มาทั้งหมดสิบคน และหนึ่งในนั้นยังเป็นเด็กอยู่ด้วยซ้ำ!

ในตอนนั้นเอง ลำแสงสว่างจ้าก็ปรากฏขึ้นบนท้องฟ้าและพุ่งตรงเข้ามายังเรือมังกร

ลำแสงนั้นเป็นสายฟ้าที่รุนแรงและชั่วร้ายนัก มันมุ่งโจมตีเรือมังกร และตั้งใจจะตัดทั้งลำเรือออกเป็นสองส่วน

เหมาะเจาะยิ่งนัก!

เยี่ยหลิวรีบพุ่งตัวออกไปในอากาศพร้อมกับคว้าตัวเส้าซินไปโดยมีเกราะกำบังค่อย ๆ ปรากฏขึ้นรอบตัวเขา

แต่แล้วเกราะที่ว่านี้กลับดูเหมือนมีบางอย่างผิดไปจากปกติ และเส้าซินก็ไม่ได้อยู่ภายในเกราะนั้นด้วย

สายฟ้าฟาดเข้าใส่ร่างของเส้าซินอย่างแรง จนเด็กชายต้องส่งเสียงร้องลั่น ขณะที่ร่วงลงมาจากท้องฟ้า เขาได้รับบาดเจ็บสาหัส บาดแผลส่วนหนึ่งมากจากสายฟ้านั้นโดยตรง แต่บาดแผลส่วนมากกลับเป็นเพราะสายฟ้าที่แวบผ่านมือของเยี่ยหลิวไปในเสี้ยววินาทีนั้น

เยี่ยหลิวพลันร้องลั่น “เร็วเข้า! ใครก็ได้ช่วยเขาที!”

ผู้รับหน้าที่ดูแลรีบตรงเข้ามาโดยไม่รอช้า คนเหล่านี้ถูกห้ามไว้ไม่ให้อยู่ไกลเกินไปจากเขาไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม หน้าที่ของพวกเขาก็คือปกป้องทั้งสองนั่นเอง หากผู้สังเกตการณ์คนใดเสียชีวิต เป็นไปได้สูงทีเดียวว่าชาวปักษาจะเชื่อว่ามนุษย์มีส่วนรู้เห็นในการตายของพวกเขา

ผู้ดูแลดูท่าทางไม่พอใจเป็นอย่างยิ่งขณะมองดูบาดแผลที่น่าสยดสยอง หนึ่งในนั้นกล่าวขึ้น “แผลพวกนี้สาหัสมาก เขาโดนสายฟ้าสังหารฟาดเข้าเต็ม ๆ เมื่อพลังงานของมันเข้าไปในร่างแล้วก็จะทำลายอวัยวะภายใน หนำซ้ำยังขับออกไปได้ยากนัก”

“เราจะปล่อยให้เขาตายไปไม่ได้!” ชายอีกคนร้องขึ้น

“มีเพียงเจ้านิกายเท่านั้นที่จะช่วยเขาได้”

“พาเขาไปพบเจ้านิกายเดี๋ยวนี้!” เยี่ยหลิวโวยวาย

เหล่าผู้ฝึกตนเริ่มจะลังเล

“รออะไรอยู่เล่า เขาจะตายอยู่แล้วไม่เห็นหรือ!” เยี่ยหลิวตะโกน

หนึ่งในกลุ่มผู้ฝึกตนพยักหน้าตอบรับในที่สุด “พาเขาไปวังไร้ขอบเขตก่อน”

“ปักษาคนนี้ก็บาดเจ็บเช่นกัน” ผู้ฝึกตนอีกคนชี้ไปที่เยี่ยหลิวสายฟ้าฟาดผ่านร่างของเส้าซินไปและทำอันตรายเขาด้วยเล็กน้อย แม้ว่าบาดแผลนั้นจะไม่ได้ร้ายแรงอย่างเส้าซิน แต่ก็เป็นอาการบาดเจ็บที่ยากจะรักษา

“พาไปทั้งสองคนนี่แหละ”

ผู้ฝึกตนเผ่ามนุษย์พาปักษาทั้งสองไปยังวังไร้ขอบเขต

ขณะนั้นซูเฉินกำลังยืนอยู่ที่โต๊ะยุทธศาสตร์ของวังและออกคำสั่งเป็นครั้งคราวพร้อมกับสังเกตสภาพการณ์ในสนามรบ

ผู้ฝึกตนเพิ่งมาถึงและกำลังจะแจ้งให้กับเจ้านิกายทราบ แต่ก็พลันได้ยินเสียงโวยวายของเยี่ยหลิวดังขึ้นอีกครั้ง “เส้าซิน! เส้าซิน!”

เหล่าผู้ฝึกตนหันไปแล้วก็ต้องตกใจเมื่อพบว่าเส้าซินหมดลมหายใจเสียแล้ว

หนึ่งในผู้ฝึกตนรีบตรงเข้ามาตรวจสอบและยืนยันกับทุกคนว่าเด็กชายตายแล้วจริง ๆ

เส้าซินตายแล้ว!

ผู้สังเกตการณ์อายุน้อยที่เป็นที่รักที่สุดของชาวปักษาได้เสียชีวิตลงเสียแล้ว

เรื่องนี้เป็นปัญหาให้กับชาวมนุษย์พอสมควร

ผู้ดูแลทั้งหลายมองหน้ากันอย่างหมองหม่น

สำหรับพวกเขาแล้ว นี่ถือเป็นการล้มเหลวในหน้าที่

เยี่ยหลิวกอดร่างไร้วิญญาณของเส้าซินและร้องไห้โฮด้วยความขมขื่น พลังจากสายฟ้าสังหารยังคงเคลื่อนอยู่ในกายเขา ดูเหมือนความโศกเศร้านี้มีแต่จะทำให้ร่างกายของเขาแย่ลงเท่านั้น

“รีบพาเขาไปพบเจ้านิกายสิ!” ผู้ฝึกตนคนหนึ่งกล่าว

ปักษาสังเกตการณ์คนหนึ่งตายไปแล้ว จะยอมให้เหตุการณ์แบบเดียวกันเกิดขึ้นกับอีกคนไม่ได้เป็นอันขาด

“จับตาดูเขาไว้ให้ดี!” ผู้ฝึกตนบางคนยังมีสติอยู่บ้าง

ไม่ว่าอย่างไรพวกเขาก็ไม่มีทางยอมให้ปักษาที่ยังมีชีวิตนำหายนะมายังเผ่าพันธุ์มนุษย์ได้แน่

เยี่ยหลิวถูกพาไปที่ที่ซูเฉินนั่งอยู่ก่อนหน้านี้ ทุกคนจับตามองมาที่เขา โดยในตอนนี้มีเพียงผู้ฝึกตนคนเดียวเท่านั้นที่ดูแลร่างของเส้าซินอยู่ เขาเองก็มองซ้ายมองขวาด้วยความเป็นกังวลและไม่ได้ใส่ใจอะไรมากนัก จึงไม่ทันได้สังเกตเห็นเงาดำที่หลุดออกมาจากใต้ร่างของเส้าซิน

เงาที่เหมือนจะมีชีวิตนี้ลอบเข้าไปวังลึกขึ้นเรื่อย ๆ

เงาดำไม่ได้มีอะไรปกปิดมันไว้ ดังนั้นหากสังเกตดี ๆ ก็จะเห็นมันได้ทันที

แต่การต่อสู้อันเข้มข้นที่กำลังดำเนินอยู่นั้นทำให้เงาดำไม่ได้เป็นจุดสนใจเลยแม้แต่น้อย อย่างไรแล้วเงามากมายในลักษณะเดียวกันก็เกิดขึ้นทั่วทุกหนแห่ง จึงไม่แปลกเลยที่จะไม่มีใครทันสังเกตเห็นมันเคลื่อนไหวไปมาด้วยตัวเอง

มันเคลื่อนที่ไปอย่างลื่นไหลจนไปถึงยังที่ที่ซูเฉินอยู่ในที่สุด… โถงคลายคำนึงนั่นเอง

ที่นี่เป็นจุดศูนย์กลางของนิกายไร้ขอบเขต ความลับทั้งหมดที่เกิดขึ้นในนิกายจะถูกเก็บไว้ ณ ที่แห่งนี้

นั่นรวมถึงบันทึกการวิจัยของซูเฉิน สมบัติที่เขาได้มาจากการเดินทางไปทั่วทวีป และแม้กระทั่งไพ่ตายของนิกาย ซึ่งทั้งหมดทั้งมวลนี้รวมกันอยู่ที่โถงคลายคำนึงทั้งสิ้น

ซูเฉินปล้นเอาสมบัติมาจากจักรพรรดิอสูร เผ่าคนเถื่อน และเผ่าปักษามา ตอนนี้ดูเหมือนว่าเขาจะได้รับการตอบแทนในสิ่งที่ตัวเองทำเสียแล้ว

แม้จะเป็นเช่นนั้น…แต่เงาดำกลับไม่ได้สนใจสมบัติเหล่านี้แต่อย่างใด

มันยังคงเคลื่อนตัวต่อไปในโถงแห่งนั้น จนกระทั่งไปถึงยังห้องทดลองของซูเฉิน

และเพราะซูเฉินมักทำผิดพลาดอยู่บ่อยครั้งขณะทำการวิจัย จึงไม่มีสิ่งมีค่าใด ๆ ถูกเก็บไว้ที่นี่

แต่ดูเหมือนห้องนี้กลับเป็นที่สนใจของเงาดำเสียอย่างนั้น

ในห้องทดลองไม่มีใครอยู่เลย

เมื่อเข้าไปข้างในได้แล้ว เงาดำก็มองไปรอบ ๆ ก่อนจะยืนขึ้นเผยร่างเล็กที่มีความสูงเพียงหนึ่งฉื่อเท่านั้น

ร่างเล็กมองไปทั่วก่อนจะกระโดดขึ้นไปบนโต๊ะทดลอง

เงานั้นดูเหมือนจะคุ้นเคยกับโต๊ะนี้เป็นอย่างดี มันตรงมายังจุดที่ซูเฉินมักยืนอยู่เป็นประจำก่อนจะค้นดูอย่างรวดเร็วและหยิบถ้วยพิเศษออกมา สิ่งที่มันทำถัดไปนั้นน่าตกใจยิ่งนัก

อย่างแรกคือมันถอดหัวตัวเองออกจากร่างและโยนลงในถ้วยนั้น หัวของร่างเงาพลันกลายสภาพเป็นของเหลวสีเข้มที่หลอมรวมเข้ากับถ้วยจนหมดไป

ส่วนหัวงอกขึ้นมาใหม่บนร่างเล็กนั้นทำให้ขนาดของร่างยิ่งหดลง หลังจากตรวจดูบริเวณโดยรอบอย่างคร่าว ๆ แล้ว มันจึงเดินไปยังแผ่นหินที่ถูกสร้างขึ้นเป็นพิเศษและโยนหัวตัวเองเข้าไปอีกครั้ง

หลังจากถอดหัวไปแล้วถึงสามครั้ง ร่างเงาก็มีขนาดเพียงลูกเหอเถาเท่านั้น

มันเริ่มเคลื่อนกลับออกไปจากห้อง…ดูเหมือนว่าจะกลับไปยังร่างของเส้าซิน

ทันใดนั้นเองเสียงหนึ่งก็กล่าวขึ้น “พิษกลืนวิญญาณ…อย่างนี้นี่เองสินะ เป้าหมายของเจ้าไม่ใช่การมาขโมยบางอย่างไปจากนิกายไร้ขอบเขต แต่เพื่อจะสังหารข้าต่างหาก อืม ก็มีเหตุผล หากแก่นของเมืองล่องนภาคือแกนแห่งซาร์ค นั่นแปลว่าแก่นของเผ่าพันธุ์มนุษย์ก็คือข้า การสังหารข้าเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการเอาชนะ มันคงจะดียิ่งกว่าการได้สมบัติหรือความรู้ใด ๆ ไปจากพวกข้าด้วยซ้ำ”