ภาคที่ 7 ศึกสุดท้าย บทที่ 21 ริเริ่ม (2)

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 21 ริเริ่ม (2)

การจะใช้ค่ายกลสะเก็ดดาวในสถานการณ์กะทันหันเช่นนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ในหลายพันปีที่ผ่านมา เผ่าพันธุ์มนุษย์ก็สะสมลำเรือไว้ได้มากมายแล้ว แม้ว่าจะต้องสูญเสียเรือไปจำนวนไม่น้อยในทุกการต่อสู้ครั้งใหญ่ แต่มนุษย์ก็มิวายเก็บสะสมเรือเคลื่อนเมฆาไว้ได้มากถึงราวหนึ่งล้านลำ

มันเป็นหนึ่งในไพ่ตายที่ยอดเยี่ยมที่สุดของอาณาจักรทั้งเจ็ด ชีวิตของทหารหลายล้านคนที่ได้รับมอบหมายให้ดูแลเรือเหล่านี้สำคัญน้อยกว่ามาก

กลุ่มแรกที่ปรากฏขึ้นคือทัพเรือเคลื่อนเมฆาสีเหลืองทัพใหญ่ที่เคลื่อนพลเข้ามาในรูปแบบของค่ายกลที่แน่นหนา เรือเคลื่อนเมฆาทุกลำล้วนมีเกราะป้องกันเป็นของตัวเอง ทว่าเกราะป้องกันเหล่านั้นเชื่อมถึงกันทั้งหมด

เรือเคลื่อนเมฆาทั้งเจ็ดที่รวมตัวกันเป็นค่ายกลสะเก็ดดาวนั้นประกอบด้วย เรือเหาะเพลิงสวรรค์ เรือเหาะธุลีฟุ้ง เรือเหาะเพลิงเมฆินทร์ เรือเหาะเสาะพลัง เรือเหาะหัวโลหะ เรือเหาะวายุพรรษ และเรือเหาะอสุนีบาต

ทัพเรือแรกปรากฏก็คือ เรือเหาะธุลีฟุ้ง

เรือเหาะธุลีฟุ้งมักถูกใช้เพื่อการป้องกันเป็นหลัก

สายเลือดเทพอสูรของวายุกรรโชกคือสายเลือดอินทรีเย้ยเมฆา เป็นผู้กุมอำนาจบนท้องนภาในยามที่ยังรุ่งเรืองอยู่

เกราะป้องกันของทัพเรือถูกสร้างขึ้นโดยเรือเหาะธุลีฟุ้ง และกระจายตัวราวกับปีกที่สยายออก แต่กระนั้นเกราะป้องกันที่ว่านี้กลับกระจุกตัวกันอยู่ในบริเวณปลายปีกเสียมากกว่า นั่นทำให้มันไม่สามารถปกปิดทัพเรือได้ทั้งหมด

การใช้เกราะป้องกันในเริ่มแรกนี้เป็นเพียงการเตรียมพร้อมสำหรับการโจมตีที่จะตามมาเท่านั้น

ต่างไปจากเผ่าปักษาที่บนท้องฟ้าพึ่งพาเฉพาะเกราะป้องกันที่แข็งแกร่ง ชาวมนุษย์เชื่อว่าการป้องกันที่ดีที่สุดก็คือการโจมตีที่ทรงพลัง แม้กระทั่งค่ายกลสะเก็ดดาวที่ถูกออกแบบมาเพื่อใช้สำหรับการป้องกันโดยเฉพาะ ก็ยังถูกใช้โดยเป็นไปตามหลักการนี้ด้วย ดังนั้นหนึ่งในความสามารถหลักของมันจึงรวมถึงการโจมตีโต้ตอบที่มีประสิทธิภาพด้วย

ตอนนี้ฝูงจักรพรรดิอสูรพากันเข้ามาใกล้เกราะป้องกันของทัพเรือแล้ว พวกมันเริ่มตะเกียกตะกายและโจมตีกำแพงลอยฟ้าขนาดยักษ์ที่เพิ่งถูกสร้างขึ้น

เกราะที่แน่นหนาของเรือเหาะธุลีฟุ้งถูกนำมาใช้อย่างเต็มกำลัง ขณะที่ฝ่ายอสูรกายปะทะเข้าใส่อย่างบ้าบิ่น ไม่มีอสูรตนใดสามารถทะลวงผ่านเกราะนั้นไปได้เลย

ในตอนนั้นเองเรือรบสีแดงก็ค่อย ๆ ปรากฏขึ้นที่ด้านหลังเรือเหาะธุลีฟุ้ง

แนวเพลิงขนาดใหญ่พวยพุ่งนำหน้ามาและห่อหุ้มเหล่าอสูรกายไว้

เพลิงกัลป์แผดเผาไปทั่วในระยะสองหมื่นลี้ และทำลายจักรพรรดิอสูรจนกลายเป็นจุณ

เรือเหาะเพลิงสวรรค์นั่นเอง!

เรือเหาะเพลิงสวรรค์เป็นอาวุธระยะประชิดที่ถูกสร้างขึ้นโดยอาณาจักรนกฮูก

สายเลือดจักรพรรดิอสูรของอาณาจักรนกฮูกเป็นวิหคทองสามขาที่เชี่ยวชาญในการใช้ไฟเป็นพิเศษ ไม่แปลกเลยที่ชาวอาณาจักรนกฮูกจะมีความสามารถในการควบคุมเปลวไฟมาแต่กำเนิด อีกทั้งยังเห็นได้จากความสามารถในการสร้างเขตแดน ‘เพลิงสวรรค์’ ที่ไม่มีทางหนีรอดได้ของเรือเหาะเองด้วย หากทัพเรือเหาะเพลิงสวรรค์ทั้งหมดจู่โจมพร้อมกัน เปลวเพลิงที่ถูกส่งออกไปนั้นสามารถพุ่งกระจายออกไปได้ในระยะที่ไกลถึงหลายร้อยลี้ในทุกทิศทาง น่าเสียดายที่การจู่โจมในลักษณะนี้จะทำให้ประสิทธิภาพของมันลดลง ซึ่งแปลว่าเปลวเพลิงที่กินระยะได้ไกลกว่าก็จะสามารถทำอันตรายกับอสูรกายในระดับที่ต่ำลง

แต่ในตอนนี้มันสามารถสังหารอินทรีที่กำลังทะยานเข้ามาได้อย่างราบคาบในพริบตาเดียว

ทว่าแนวรบของจักรพรรดิอสูรนั้นไม่มีที่สิ้นสุด แนวหน้าที่ถูกทำลายลงด้วยอานุภาพของเปลวเพลิงถูกสร้างขึ้นใหม่อย่างรวดเร็วจากขบวนอสูรที่แห่กันเข้ามาแทนที่

คราวนี้เป็นฝูงอีกาเพลิง

อีกาเพลิงไม่ได้เป็นจักรพรรดิอสูรที่แข็งแกร่งเป็นพิเศษ แต่มันก็มีความสามารถในการต้านทานเปลวไฟอยู่แล้วตามธรรมชาติ

ประสิทธิภาพของเรือเหาะเพลิงสวรรค์ลดลงมากเมื่อต้องเผชิญหน้ากับพวกมัน

ต้องขอบคุณผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดที่อยู่ตรงนั้น

ผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดกลุ่มใหญ่ประจำอยู่ที่ด้านหลังของค่ายกลสะเก็ดดาว ทำหน้าที่ในการปล่อยดาบบินออกไปจนทั่วฟ้าเต็มไปด้วยคมดาบที่หลั่งไหลลงใส่อีกาเพลิง ราวกับห่าฝนและฉีกร่างพวกมันออกเป็นชิ้น ๆ

อย่างไรแล้วค่ายกลสะเก็ดดาวก็ไม่ได้เกิดขึ้นและคงอยู่ได้ด้วยตัวของมันเอง สาเหตุที่มันถูกนำมาใช้งานก็เพื่อเป็นเกราะป้องกันให้กับผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดที่จะได้โจมตีอย่างปลอดภัย เพียงแต่มันไม่สามารถตอบโต้ด้วยตัวมันเองได้เท่านั้น

อีกาเพลิงที่พ่ายแพ้ไปไม่ได้ทำให้ทัพของเหล่าจักรพรรดิอสูรล่าถอย พวกมันกลับส่งจักรพรรดิอสูรที่แข็งแกร่งกว่ามุ่งหน้าเข้ามาแทน พวกมันทรงพลังยิ่งกว่าแนวหน้าในรอบก่อนอย่างเห็นได้ชัด หลายตนเป็นจักรพรรดิอสูรระดับสูงที่มีความสามารถในการต้านเปลวเพลิงดีเป็นพิเศษ

ทว่าในตอนนั้นเอง เรือรบสีเงินขนาดเล็กก็ปรากฏขึ้น และยิงลำแสงเข้าใส่จักรพรรดิอสูรทันที

เรือเหาะเสาะพลังนั่นเอง

เรือเหาะเสาะพลังถูกนำมาใช้ในการทำให้ศัตรูอ่อนแอลงเป็นหลัก

เทพอสูรของเมืองหลงซางเป็นสายเลือดมังกรตะขาบที่ลือชื่อในเรื่องการใช้คำสาปทำลายล้างกับศัตรู ทันทีที่เรือเหาะเสาะพลังเคลื่อนทัพ เรือทั้งหลายก็จะยิงพลังคำสาปออกไปใส่ทุกสิ่งมีชีวิตที่ขวางหน้า ทำให้อานุภาพพลังของเหยื่อลดลงถึง 40 ในร้อยส่วน

จักรพรรดิอสูรระดับสูงโดนลดพลังลงถึง 30 ส่วนทันทีที่เข้ามาในเขตแดนของเรือเหาะเสาะพลัง ทันใดนั้นเรือเหาะเพลิงสวรรค์ก็ปล่อยเพลิงกัลป์ออกมาอีกครั้ง และเปลี่ยนร่างของจักรพรรดิอสูรพวกนั้นให้กลายเป็นเถ้าธุลีไปในพริบตา

แน่นอนว่าฝ่ายจักรพรรดิอสูรก็โจมตีมาจากระยะไกลด้วยเช่นกัน

พลังปราณชั่วร้ายปะทะเข้ากับเรือเหาะธุลีฟุ้งจนทำให้เกราะป้องกันสั่นสะท้านอย่างแรง

เจ้าอสูรและราชันอสูรใช้โอกาสนี้ในการโจมตีทัพมนุษย์จากด้านหลังด้วยพลังที่แข็งแกร่งโดยที่ไม่ต้องกังวลกับการโจมตีของเรือเหาะเสาะพลัง และเปลวเพลิงจากเรือเหาะเพลิงสวรรค์ เป้าหมายหลักของพวกมันก็คือการทำลายค่ายกลสะเก็ดดาวนั่นเอง

พายุหมุนรุนแรงก่อตัวขึ้นที่ด้านหน้าค่ายกลสะเก็ดดาว ประกายไฟกระจัดกระจายออกไปและปะทะเข้าใส่เกราะป้องกันอย่างแรง

พายุหมุนสลายหายไปทันทีที่เผชิญหน้ากับเกราะป้องกัน เผยให้เห็นจักรพรรดิอสูรด้านในนั้น ซึ่งมีทั้งจักรพรรดิอสูรหนึ่งตน ราชันอสูรสี่ตน และเจ้าอสูรอีกราวยี่สิบตน

พายุหมุนที่ถูกสร้างขึ้นโดยจักรพรรดิอสูรในร่างของชายหน้าซีดที่มีฟันเขี้ยวนั้น เกิดจากกระแสลมรุนแรงที่เต็มไปด้วยใบไผ่ เขาส่งมันเข้าโจมตีเรือเหาะธุลีฟุ้งโดยไม่รอช้า หนึ่งในเรือเหาะเหล่านั้นพ่ายแพ้และเกราะป้องกันก็ถูกทำลายลง จักรพรรดิอสูรใช้โอกาสนี้ในการทำลายเรือรบให้กลายเป็นชิ้น ๆ

แม้ว่าจักรพรรดิอสูรจะมีสติปัญญาในระดับหนึ่ง แต่ก็เป็นไปไม่ได้เลยที่พวกมันจะแสดงธรรมชาติและความเป็นสัตว์ของตัวมันเองได้ เมื่อไรก็ตามที่เกิดการต่อสู้ขึ้น อสูรกายทั้งหลายก็จะแห่กันเข้ามา และจักรพรรดิอสูรเองก็เช่นกัน

ทว่าขณะที่กำลังจะโจมตีนั้นเอง เรือรบสีทองก็พุ่งออกมาจากค่ายกลพร้อมกับเปล่งประกายสว่างจ้าใส่จักรพรรดิอสูร

น่าประหลาดใจไม่น้อยที่แสงสีทองอร่ามเพียงลำแสงเดียวก็สามารถสร้างความเสียหายให้กับจักรพรรดิอสูรได้อย่างมาก

ไม่ช้าเรือสีทองในลักษณะเดียวกันอีกหลายร้อยลำก็ปรากฏขึ้น และพากันมารวมพลังเรียกหอกสีทองที่ทะยานเข้าโจมตีจักรพรรดิอสูรด้วยความเร็วสูง อสูรชั่วร้ายพยายามจะใช้แขนขาเหยียดออกไปเพื่อหยุดหอกเหล่านั้นไว้ แต่ปลายแหลมกลับแทงทะลวงเข้าไปจนถึงหน้าอกของพวกมันแทน หอกนั้นพุ่งทะลุร่างจักรพรรดิอสูรไปได้อย่างง่ายดาย แม้ว่าจะไม่ใช่การโจมตีที่เป็นอันตรายถึงชีวิต แต่ก็ทำให้จักรพรรดิอสูรบาดเจ็บไม่น้อยเลย

แต่แล้วฝ่ายจักรพรรดิอสูรกลับยังไม่พอใจและพุ่งตัวขึ้นไปกลางอากาศอีกครั้ง ก่อนจะส่งกระแสลมรุนแรงออกมา

ทันใดนั้น สายฟ้ามากมายจากบนท้องฟ้าก็ฟาดเข้าใส่หัวของจักรพรรดิอสูร ทำให้มันเคลื่อนไหวไม่ได้

เพียงชั่วพริบตา หอกทองคำจำนวนนับไม่ถ้วนก็ทิ่มแทงร่างของจักรพรรดิอสูร เสียงร้องคำรามเงียบลงพร้อมกับที่ร่างของอสูรร้ายระเบิดเป็นจุณ

จักรพรรดิอสูรแทบจะถูกค่ายกลของเรือเคลื่อนเมฆาสังหารในทันที

เรือเหาะอสุนีบาต

เรือเหาะหัวโลหะนั่นเอง

เรือเหาะอสุนีบาตเป็นเรือที่ถูกสร้างขึ้นโดยอาณาจักรเลี่ยวเยี่ย

สายเลือดนิมิตลาวัณย์ของอาณาจักรเลี่ยวเยี่ยเป็นสายเลือดพลังจิตที่ทำให้พวกเขาเชี่ยวชาญในการซุ่มโจมตีฝ่ายตรงข้าม เรือเหาะอสุนีบาตนี้ก็ถูกตั้งชื่อขึ้นเพราะการโจมตีในรูปแบบของสายฟ้า แต่ถึงอย่างนั้นสายฟ้าที่ว่านี้แท้จริงแล้วเป็นเพียงภาพลวงที่ถูกสร้างขึ้นด้วยพลังจิตเท่านั้น การโจมตีที่ปรากฏอาจดูทรงพลังอย่างน่าเหลือเชื่อ แต่อันที่จริงแล้วสิ่งที่ซ่อนอยู่ก็คือการโจมตีด้วยพลังจิตนั่นเอง ไม่ว่าเป้าหมายจะแข็งแกร่งเพียงไร ก็จะต้องตกอยู่ในสภาวะอัมพาตไปชั่วคราว โดยที่ระดับพลังของผู้นั้นจะเป็นตัวกำหนดระยะเวลาของการตกอยู่ในสภาวะนี้นานเท่าใด

เรือเหาะหัวโลหะรับผิดชอบในการโจมตีเป็นหลัก พวกมันถูกควบคุมโดยอาณาจักรภูผาสูญ

สายเลือดเทพอสูรของอาณาจักรภูผาสูญก็คือ สายเลือดเขี้ยวขาวที่มีความสามารถในการโจมตีสูงที่สุดเพราะฟันที่แหลมคมและแข็งแกร่งราวกับเหล็กกล้า นี่เองที่เป็นสาเหตุให้ตระกูลฉู่ได้รับหน้าที่ในการควบคุมมัน ที่ในสมรภูมิแห่งนี้ หน้าที่หลักของมันก็คือการโจมตีเป้าหมายเจ้าอสูรหรือระดับสูงกว่าโดยเฉพาะ

เรือรบสีม่วงจำนวนหนึ่งปรากฏขึ้นที่ด้านหลังสุด ลำเรือเหล่านั้นมันวาวและส่องประกายดูลึกลับยิ่งนัก ตำแหน่งของเรือสีม่วงนี้อยู่ในจุดที่จักรพรรดิอสูรเริ่มโจมตีอย่างพอดิบพอดี

พวกมันคือเรือเหาะวายุพรรษนั่นเอง

เรือเหาะวายุพรรษทำหน้าที่ในการฟื้นฟูและซ่อมแซมโดยถูกควบคุมโดยอาณาจักรประกายวารี

สายเลือดเทพอสูรของอาณาจักรประกายวารีก็คือ สายเลือดราชันอสูรลั่วโหยว ยักษ์ทะเลที่สามารถควบคุมเกลียวคลื่นได้ตามใจปรารถนาและมีความสามารถในการฟื้นฟูและเสริมกำลังที่แข็งแกร่ง พวกเขาถือเป็นพันธมิตรที่เชื่อถือได้มากที่สุดในการต่อสู้ และเป็นกำลังเสริมที่พึ่งพาได้อย่างไม่ต้องสงสัย ด้วยเหตุนี้ ตู่ชิงซี่จึงขอร้องให้เจียงจูเซิงยุติความบาดหมางกับซูเฉินเสีย เพื่อที่พวกเขาจะได้ต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กันในแนวหน้าได้

ด้วยการสนับสนุนจากเรือเหาะวายุพรรษ ทัพที่ได้รับความเสียหายจึงค่อย ๆ ฟื้นฟูกลับมาอีกครั้ง

ส่วนสุดท้ายของทัพเรือเคลื่อนเมฆาก็คือเรือเหาะเพลิงเมฆินทร์ที่ถูกควบคุมโดยอาณาจักรวายุโหม และมีหน้าที่ในการระเบิดตัวมันเอง

ความว่องไวของเทพอสูรวายุกรรโชกนั้นแทบไม่มีผู้ใดเทียบได้ เรือเหาะเพลิงเมฆินทร์โจมตีด้วยการระเบิดตัวเองออก นั่นแปลว่าทัพเรือนี้ถือเป็นที่พึ่งสุดท้ายของค่ายกลสะเก็ดดาว ความสามารถในการทำลายล้างของมันรวมเข้ากับคุณสมบัติของเรือเหาะเพลิงสวรรค์และเรือเหาะหัวโลหะเป็นหนึ่งเดียว เหตุนี้เรือทั้งหลายจึงจำเป็นต้องมีความเร็วสูงเป็นพิเศษ ไม่เช่นนั้นแล้วก็จะถูกทำลายก่อนที่จะเข้าประชิดเป้าหมายที่จะระเบิดได้

แม่ทัพเรือเหาะเพลิงเมฆินทร์จะต้องมีความหนักแน่นอย่างที่สุด รวมถึงจิตวิญญาณแห่งวีรบุรุษที่พร้อมจะสละชีวิตเพื่อผู้อื่น ด้วยเหตุนี้เรือเหาะเพลิงเมฆินทร์จึงถูกนำมาใช้น้อยที่สุดและมักจะไม่ได้ทำหน้าที่จนกว่าจะถึงวินาทีสุดท้ายจริง ๆ

ค่ายกลสะเก็ดดาวประกอบด้วยเรือรบ 7 ระดับต่างกันที่กลายเป็นกำแพงเหล็กกล้าประจันหน้ากับจักรพรรดิอสูร ดังนั้นในทางยุทธศาสตร์แล้ว ทัพเรือจึงถือเป็นแนวหน้าของการรบ

จุดประสงค์ของค่ายกลสะเก็ดดาวก็คือเพื่อป้องกันและขับไล่ศัตรู

มือสังหารที่แท้จริงยังคงเป็นผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดทั้งหลาย

ก่อนที่นิกายไร้ขอบเขตจะปรากฏขึ้น เผ่าพันธุ์มนุษย์ต่อสู้เพื่อดินแดนที่มีอยู่มาจนถึงทุกวันนี้ได้ก็ด้วยพลังจากสายเลือด เทียนไขชีวิต และค่ายกลสะเก็ดดาวนี้เอง

ภาระทั้งหลายตกเป็นหน้าที่ของผู้มีพลังสายเลือด

แม้ว่าพลังสายเลือดจะสร้างความเหลื่อมล้ำและความขัดแย้งขึ้นมากมายในสังคม แต่ตระกูลสายเลือดชั้นสูงก็ถือว่ามีความสำคัญอย่างปฏิเสธไม่ได้

สมาชิกส่วนมากมีความรับผิดชอบในการเป็นแนวหน้าในการต่อสู้เพื่อรักษาดินแดนของตัวเองไว้

การรุกรานของอสูรกายในคราวนี้ ผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดของเผ่าพันธุ์มนุษย์ได้แยกกันเป็นสองกลุ่ม

กลุ่มหนึ่งคือทัพของอาณาจักรทั้งเจ็ดที่ใช้ค่ายกลสะเก็ดดาวเป็นกำแพงให้กับผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดจำนวนนับไม่ถ้วนที่มีพลังสายเลือด และพวกเขาเหล่านี้จะใช้ทักษะต้นกำเนิดในการโจมตีศัตรู ดังนั้นทั้งอุปกรณ์และวิชาทั้งหลายจึงถูกนำมาใช้ในการรบครั้งนี้

ส่วนอีกกลุ่มคือ ทหารของนิกายไร้ขอบเขต ซึ่งเมื่อเทียบกับทัพของอาณาจักรทั้งเจ็ดแล้ว นิกายไร้ขอบเขตถือว่าเรียบง่ายกว่ามาก ศิษย์ของนิกายได้รับอาวุธและอุปกรณ์แบบเดียวกัน ใช้ดาบแบบเดียวกัน และใช้วิชาที่คล้ายคลึงกันทั้งหมด แม้จะมีศิษย์บางคนใช้อาวุธที่แตกต่างออกไป แต่ก็ยังมีดาบติดตัวเหมือนคนอื่นด้วย

แต่เพราะทหารของอาณาจักรทั้งเจ็ดเคยรบด้วยค่ายกลสะเก็ดดาวมาก่อน ความคุ้นเคยจึงทำให้ตำแหน่งและความสามารถในการหาโอกาสที่เหมาะสมเพื่อโจมตีมีประสิทธิภาพกว่ามาก นิกายไร้ขอบเขตยังขาดประสบการณ์จึงเสียเปรียบในส่วนนี้ ในด้านของค่ายกลแล้ว ผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดของอาณาจักรทั้งเจ็ดดูเหมือนจะทำได้ดีกว่า

แต่หากพูดถึงการต่อสู้ เห็นได้ชัดว่าทั้งสองกลุ่มทำได้ต่างกันมากอีกเช่นกัน

ผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดของอาณาจักรทั้งเจ็ดมาจากหลากหลายตระกูล การโจมตีของพวกเขาจึงมีความแตกต่างกันออกไป

บางคนเชี่ยวชาญในการต่อสู้ระยะประชิดมากกว่า ในขณะที่บางคนก็ถนัดการโจมตีระยะไกล

ซึ่งกลุ่มที่ต่อสู้ระยะประชิดทำได้เพียงแค่รอเวลาเท่านั้น

ฝ่ายนิกายไร้ขอบเขตต่างไปมาก พวกเขาฝึกฝนวิชาที่คล้ายคลึงกันมา แน่นอนว่าแต่ละคนอาจจะมีความเชี่ยวชาญในแบบของตัวเอง แต่ก็ถูกนำมาปรับใช้ในการต่อสู้ในสมรภูมิใหญ่ได้อย่างกลมกลืน

เมื่อการต่อสู้ดำเนินขึ้นแล้ว ศิษย์นิกายไร้ขอบเขตก็ตั้งดาบในมือขึ้นส่งลำแสงจำนวนนับแสนพุ่งออกไปบนท้องฟ้าอย่างพร้อมเพรียงกัน

แม้ว่าตำแหน่งในการรบของชาวนิกายไร้ขอบเขตจะเสียเปรียบเพราะเหล่าทหารของอาณาจักรทั้งเจ็ด ทว่าการควบคุมดาบของพวกเขาก็ไม่ได้รับผลกระทบจากส่วนนี้แต่อย่างใด ดาบหลายแสนเล่มโลดแล่นไปในอากาศและรวมตัวกันจนเป็นคมดาบขนาดยักษ์ที่พร้อมทำลายศัตรู

อานุภาพของมันทำให้ผู้มีพลังสายเลือดต้องอาย