ภาคที่ 7 ศึกสุดท้าย บทที่ 20 ริเริ่ม (1)

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 20 ริเริ่ม (1)

เลือดหยดนี้ยังคงส่องประกายแสงจาง ๆ อยู่บนหม้อต้มยา เกาะขอบหม้อไว้แน่น

กระนั้นไอพลังก็เริ่มเลือนหาย

การวิวาทกับแมวปีศาจทำให้ร่างแยกใช้พลังไปมาก ตอนนี้มันไม่อาจทำอะไรได้แล้ว

แต่อย่างน้อยมันก็จัดการเรื่องสำคัญได้แล้วล่ะนะ

เลือดค่อย ๆ เลือนหายไป เหลือไว้เพียงรอยผนึกบนหม้อต้มเท่านั้น

มันเป็นผนึกขนาดเล็กมาก ขนาดพอกับเลือดหยดหนึ่งเท่านั้น ในสภาวะที่ทุกคนวุ่นวายเช่นนี้ ย่อมไม่มีใครสังเกตเห็น เว้นเสียแต่ว่าจะจงใจตามหา แต่ที่สำคัญที่สุดคือผลึกนี้เป็นตัวส่งสัญญาณกลับฐาน

เป็นเครื่องหมายพลังสูญนั่นเอง

เมื่อร่างแยกทำภารกิจเสร็จสิ้น มันก็สูญสลายและหายไปตลอดกาล แก่นพลังเมืองล่องนภากลับมาทำงานอย่างราบรื่นอีกครั้ง…

เมืองล่องนภายังคงห้ำหั่นอยู่กับอสูรกาย แต่ซูเฉินนั้นไม่เฝ้าสังเกตการณ์แล้ว

ภายในนิกายไร้ขอบเขต

“เฮ้อ!”

ซูเฉินถอนหายใจยาว ยกมือขึ้นนวดหน้าผาก

การส่งจิตในระยะไกลเช่นนี้ใช้พลังงานไม่น้อยทีเดียว

“นายท่าน?” กังเหยียนสังเกตเห็นสีหน้าซูเฉินขาวซีดเล็กน้อย จึงอดถามขึ้นไม่ได้

“ข้าไม่เป็นไร แค่ใช้พลังจิตระยะไกลแล้วเหนื่อยนิดหน่อย เรื่องมันเป็นแบบนี้…” ซูเฉินหัวเราะแล้วก็เล่าสิ่งที่พบให้กังเหยียนฟัง

ได้ยินแล้วกังเหยียนก็หัวเราะคิกคัก “นายท่านจะบอกว่า พวกเราทำศึกกับปักษาเมื่อไหร่ ท่านก็จะสามารถแทรกซึมเข้าสู่แก่นพลังของพวกนั้นแล้วก่อความวุ่นวายในจุดเปราะบางที่สุดของพวกเขาได้งั้นหรือ?”

“ถูกต้อง” ซูเฉินยืดเส้นยืดสายดูเกียจคร้าน “ทั้งนี้เพราะเล่อเฟิงช่วยหาโอกาสส่งเลือดข้าเข้าไปด้านใน”

กังเหยียนเอ่ยขึ้นทันควัน “สวรรค์คงเข้าข้างเรา ศึกครั้งนี้เราชนะแน่!”

ซูเฉินหัวร่อ “พวกเราโชคดีเพราะอีกฝ่ายมัวแต่จดจ่ออยู่กับการต่อสู้นี้ พอเจ้าพูดขึ้นมา สหายอสูรกายของเราก็คงเริ่มลงมือแล้วกระมัง?”

“เรายังไม่พบอสูรกายตัวใดเข้ามา แต่ก็ไม่ได้เห็นมาหลายวันแล้ว ข้าคิดว่าพายุคงรออยู่ที่ขอบฟ้าแล้ว” สายตาของกังเหยียนก้าวไกลขึ้นมากหลังจากติดตามซูเฉินมาหลายปี

“อืม” ซูเฉินพึมพำไม่ได้ความ

ทันใดนั้นก็คิดบางอย่างขึ้นได้ “กังเหยียน เจ้าคิดว่าปักษาจะยังมีอุบายลับใดที่ทำให้ล่วงรู้ความลับเราในตอนที่เรากำลังทำศึกใหญ่เช่นนี้อีกหรือไม่?”

กังเหยียนตอบโดยไม่ลังเล “แน่นอนว่ามี ใครจะปล่อยโอกาสเช่นนี้ให้สูญเปล่า แต่นายท่านมอบหมายให้ผู้เก่งกาจมากความสามารถคอยไปตามดูแลผู้สังเกตการณ์ปักษาอย่างใกล้ชิดแล้ว”

ซูเฉินส่ายหน้า “ปักษาเองก็จับตามองเล่อเฟิงอยู่ไม่ใช่หรือ? แต่เขาก็ยังหาโอกาสส่งหยดเลือดข้าเข้าไปในแก่นเมืองล่องนภาได้ ที่สำเร็จเป็นเพราะปักษาไม่รู้จักวิชาร่างแยกโลหิตข้าดีนัก ไม่มีใครคิดว่าข้าจะสามารถควบคุมมันได้จากระยะไกลเช่นนั้น”

กังเหยียนชะงักไปชั่วขณะ “นายท่านจะบอกว่า…”

ซูเฉินเอ่ยเสียงนิ่ง “การป้องกันทั้งหลายที่เราเตรียมไว้ เราต้องการได้แค่สิ่งที่เรารู้เท่านั้น แต่เจ้าคิดว่าเราจะรู้อุบายทั้งหมดที่พวกปักษามีงั้นหรือ? หากเราไม่รู้ว่ามันคิดจะทำอะไร เราก็ทำไม่ได้แม้แต่จะป้องกัน ยกตัวอย่างเช่น เจ้าหรือข้าจะรู้ได้อย่างไรว่าพวกนั้นอาจใช้ค่ายกลบางอย่างกับห้องนี้ หรืออาจมีกลไกลับบางอย่างที่ใช้ดักฟังเราอยู่ก็เป็นได้?”

กังเหยียนได้ยินแล้วก็อึ้งไป

ซูเฉินเรียกสายฟ้าขึ้นมาในฝ่ามือ

ฟ้าว!

สายฟ้าเส้นนั้นแล่นปราดไปรอบห้อง สังหารทุกสิ่งอย่างโดยสมบูรณ์

หากว่ามีค่ายกลขนาดเล็กติดตั้งไว้ภายใน ก็จะถูกสายฟ้าเส้นนี้ทำลาย

กังเหยียนลูบศีรษะตนป้อย ๆ “เราน่าจะปลอดภัยแล้ว”

ซูเฉินกลับส่ายหน้าช้า ๆ “ตอนนี้ที่นี่อากาศปลอดภัย แต่ที่อื่นเล่า? แล้วที่นี่จะปลอดภัยไปถึงเมื่อไหร่? หากผู้สังเกตการณ์ปักษายังอยู่ สุดท้ายก็หาทางทำร้าย หาทางสอดแนมเราได้ทุกชั่วขณะ”

กังเหยียนสะดุ้ง “นายท่านคงไม่ได้คิดจะสังหารพวกเขากระมัง?”

ซูเฉินส่ายหน้า “ไม่ใช่หรอก ทำเช่นนั้นไม่เพียงแต่กระทบต่อชื่อเสียง แต่ยังทำให้เล่อเฟิงและคนอื่นตกอยู่ในอันตรายด้วย”

กังเหยียนได้ยินแล้วก็ถอนหายใจโล่งอก

“แต่จะกักขังไว้ก็ใช่ว่าทำไม่ได้” ซูเฉินงึมงำ

แม้การกักขังผู้สังเกตการณ์ปักษาสุดท้ายแล้วก็ส่งผลกระทบต่อชื่อเสียงเขาอยู่ดี แต่จะไม่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อเล่อเฟิงและมนุษย์คนอื่นที่เป็นผู้สังเกตการณ์จนถึงแก่ความตายได้

แต่ชั่วขณะต่อมา ซูเฉินก็ละความคิดนั้นทิ้งไป “หากทำเช่นนั้น หยงเยี่ยหลิวกวงคงปฏิเสธการต่อสู้กับข้าที่ทุ่งหญ้าฟ้าคลั่ง”

การประลองที่ทุ่งหญ้าฟ้าคลั่งเดิมทีเป็นข้อเสนอของซูเฉิน เขาย่อมไม่ปล่อยให้สิ่งที่ต้องเตรียมมาสูญเปล่า แต่ก็นับว่าผู้สังเกตการณ์ปักษาทั้งสิบนี้เป็นหนามยอกอกซูเฉินจริง ๆ

กังเหยียนเข้าใจสิ่งที่อีกฝ่ายคิด เสนอขึ้นว่า “เหตุใดไม่แต่งตั้งคนให้จับตามองพวกเขาอีกทีเล่า?”

ซูเฉินส่ายหน้า “ข้าพูดไปแล้วว่าปัญหาสำคัญในตอนนี้คือการป้องกันตนเองจากอุบายที่เราไม่ล่วงรู้หรือไม่เข้าใจ เจ้าคิดว่าหากปักษาส่งคนมาจับตาดูเพิ่ม เล่อเฟิงจะไม่สามารถส่งเลือดของข้าเข้าไปในแก่นพลังเมืองล่องนภาผ่านหินพลังได้งั้นหรือ?”

กังเหยียนเงียบไป

ซูเฉินเอ่ย “เสี่ยงเช่นนี้เราจะผลีผลามไม่ได้ ต้องหาทางชิงลงมือก่อน!”

ว่าแล้วนัยน์ตาเขาก็เริ่มเรืองแสงขึ้น

กังเหยียนเห็นหน้าก็รู้ว่าซูเฉินได้คำตอบแล้ว แต่ไม่อาจรู้ได้ว่าซูเฉินคิดทำอะไรหากไม่ใช่การสังหารหรือจับตัวผู้สังเกตการณ์ปักษาไว้

เยี่ยหลิวนั่งอยู่ภายในห้อง ทำความสะอาดดาบพิรุณเหินอย่างเงียบเชียบ

เขาเป็นผู้บังคับบัญชา ไม่จำเป็นต้องเข้าร่วมศึกในครั้งนี้ด้วย

แต่การต่อสู้อยู่ในสายเลือดของเขา

เมื่อไหร่ที่มีดาบอยู่ในมือ เยี่ยหลิวก็จะรู้สึกเหมือนได้กลับไปเป็นตัวของตัวเอง

เพราะมีดาบเล่มนี้อยู่ เขาถึงหลั่งเลือดเป็นสายน้ำ สร้างชื่อให้ตนเองขนาดนี้ได้

น่าเสียดายที่ศึกครั้งนี้เขากลับไม่อาจได้ร่วม

ด้วยเหตุนี้เยี่ยหลิวจึงมองดาบในมือประหนึ่งมองคนรัก

คนรักที่กำลังจะพรากจากกัน

“เยี่ยหลิว? พี่เยี่ยหลิว?” เสียงร้องเส้าซินดังมาจากด้านนอก

เส้าซินเป็นผู้สังเกตการณ์ปกติอีกคนหนึ่ง นิสัยเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย ไม่มีใครรู้ว่าเหตุใดหยงเยี่ยหลิวกวงถึงเลือกเขาให้ทำหน้าที่นี้

ได้ยินเสียงร้องแล้ว เยี่ยหลิวก็ขมวดคิ้วไม่พอใจ “มีอะไร?”

“ปราณชั่วร้ายกำลังรุดหน้าเข้ามาหาพวกเรา” เส้าซินร้องเสียงตื่นเต้นมาจากนอกหน้าต่าง

“หืม?” เยี่ยหลิวได้ยินจึงยืนขึ้น

เขาเปิดประตูแล้วก็เดินออกไปยังระเบียงริมเรือ เห็นเมฆสีดำหนาแน่นลอยอยู่ไม่ไกล

เมฆสีดำก้อนนี้ไม่ใช่เมฆตามธรรมชาติ เนื่องจากเต็มไปด้วยปราณชั่วร้าย ปล่อยแรงกดดันหนาแน่นออกมา หากเป็นคนธรรมดาเห็นเมฆนี้ลอยอยู่ขอบฟ้า ก็คงตกใจตายไปแล้ว

เยี่ยหลิวเองเห็นเมฆผิดปกติก็นี้ยังรู้สึกไม่ดีเลย

“เป็นเมฆปราณชั่วร้ายที่ก้อนใหญ่นัก พวกอสูรกายคงคิดจะลงมือที่นี่เช่นกันสินะ” เยี่ยหลิวพึมพำ

เยี่ยหลิวทราบข่าวมาจากกล่องสื่อสารที่นิกายไร้ขอบเขตมอบให้ ว่าเมืองล่องนภาและสัตว์อสูรเริ่มต่อสู้กันแล้ว สัตว์อสูรในเขตนี้ ผู้ที่คอยควบคุมสถานการณ์อย่างใกล้ชิดก็คิดลงมือแล้วเช่นกัน

วันนี้คงไม่ใช่เพียงปักษาที่ต้องหลั่งเลือดแล้ว

เคราะห์ดีที่สัตว์อสูรรุดหน้าเข้าหานิกายไร้ขอบเขตจริง ดูจากทีท่าแล้ว มากันมากพอกับที่เมืองล่องนภาทีเดียว

เยี่ยหลิวพอใจไม่น้อย

ไม่แน่ว่าเมฆดำก้อนนี้อาจดุร้ายไปสักหน่อย ช่วยขจัดปัญหาให้ปักษาไม่ต้องลงแรงมากก็เป็นได้

แต่เยี่ยหลิวรู้ว่าคงเป็นไปไม่ได้

ทั้งปักษาและมนุษย์แข็งแกร่งกว่าที่เคยเป็น ฝ่ายหนึ่งมีเมืองล่องนภาอันไร้เทียมทาน ส่วนอีกฝ่ายก็มีศิษย์เก่งกล้าจำนวนมาก

แต่เทียบกับสัตว์อสูรก็ยังด้อยกว่า

แต่อย่างที่เขาว่า เผ่าพันธุ์อัจฉริยะไม่ได้ใช้เพียงกำลังในการต่อสู้กับสัตว์อสูร

ปักษามีจุดลอย มนุษย์มีสายเลือด เทียนไขชีวิต และการจัดทัพที่ทรงพลัง

เมื่อกองทัพมนุษย์เคลื่อนพลเข้าใกล้เมฆพลังงานชั่วร้าย ก็ค่อย ๆ เผยให้เห็นทัพสัตว์อสูรเบื้องหน้า

มีวังจักรพรรดิอสูรกายนับร้อยลอยอยู่บนฟ้า ราชันอสูรกายนับไม่ถ้วน และเจ้าอสูรกายคอยกำกับทัพ พวกมันยกทัพเข้าข่มขู่ดูน่าเกรงขาม ทัพใหญ่ปลดปล่อยแรงกดดังมหาศาลบีบคั้นศัตรู

พวกมันครอบครองพื้นที่นี้มานับหมื่นปีแล้ว

แต่วันหนึ่งย่อมมีขุมอำนาจใหม่เข้าครอบครอง

และวันนี้ก็คือวันที่ว่านั่นเอง

สงครามยังไม่เกิดในทันที แต่สองฝ่ายกลับใช้เวลาจัดทัพเตรียมสู้

หากสัตว์อสูรดุร้ายป่าเถื่อน เลือดร้อน และไร้สติ มนุษย์ก็ใจเย็น มีสติ และจัดทัพอย่างเป็นระบบระเบียบ

การปะทะกันระหว่างเหมันต์และเปลวเพลิงย่อมทำให้เกิดปรากฏการณ์น่ามหัศจรรย์ใจขึ้น

ไม่จำเป็นต้องใช้คำพูดเร่าร้อนใดเพื่อจูงใจทัพ เพราะความเคียดแค้นชิงชังนับศตวรรษระหว่างสองฝ่ายนั้นมากพอจะทำให้พวกเขากระโจนเข้าห้ำหั่นกันแล้ว เมื่อทัพทั้งสองฝั่งเข้าสู่จุดประจำการ สัญญาณโจมตีก็ถูกส่งมาไม่หยุด ผู้บัญชาการทัพไม่คิดเสียเวลา นำพาทัพทหารเข้าสู่สนามรบทันที

สัตว์อสูรก็ลงมือเช่นกัน

โดยมีกลยุทธ์ดังเดิม นั่นคือเบื้องหน้าเป็นทหารเดนตาย ใช้จำนวนมหาศาลกลืนกินศัตรู

ฝ่ายมนุษย์กลับตอบโต้ด้วยวิธีที่เรียบง่ายกว่านั้น

เรือบินหุ้มเกราะขนาดเล็กจำนวนมากถูกปล่อยออกมาจากเรือมังกรขนาดใหญ่ เหินลงมาหาสัตว์อสูรราวกับห่าฝนโปรยลงจากฟ้า

เรือเคลื่อนเมฆาเป็นสิ่งประดิษฐ์อันเป็นเอกลักษณ์ของมนุษย์ แม้เทียบกับเครื่องมือต่าง ๆ ที่พวกเขาสร้างมาในหน้าประวัติศาสตร์ มันก็ยังเป็นสิ่งที่โดดเด่นมากอยู่ดี

เพราะมันสามารถทำให้ผู้ใช้พลังระดับต่ำบินได้ กลายเป็นเครื่องมืออันเป็นเอกลักษณ์หนึ่งที่ใช้แยกมนุษย์ออกจากเผ่าพันธุ์อัจฉริยะทั้งหลาย

ในการต่อสู้ขนาดใหญ่เช่นนี้ ปักษาใช้เกราะเมืองล่องนภา เผ่าวิญญาณใช้หุ่นเชิด คนเถื่อนใช้พลังกายและโทเทม มนุษย์เองย่อมใช้เรือเคลื่อนเมฆาเช่นกัน

เมื่อเรือเคลื่อนเมฆาเหล่านี้มีจำนวนมากพอ ก็จะรวมตัวกันสร้างเกราะบนท้องฟ้า ทำให้กลายเป็นแนวหน้าชั้นยอดของเผ่ามนุษย์ เป็นเหมือนเรือเกราะที่คอยรับเอาการโจมตีส่วนใหญ่จากศัตรู ทำให้ผู้เชี่ยวชาญทั้งหลายต่อสู้ได้อย่างไร้กังวล

แน่นอนว่ายังอ่อนแอกว่าเมืองล่องนภานัก แต่พวกมนุษย์มีพลังโจมตีสูงกว่า ในสถานการณ์คับขันมีความยืดหยุ่นสูงกว่า เมื่อได้รับคำสั่งก็สามารถปรับเปลี่ยนรูปทัพได้ทันที

รูปทัพเรือเคลื่อนเมฆานี้คือค่ายกลสะเก็ดดาวอันเลื่องชื่อของเผ่ามนุษย์ แม้จะเป็นทหารธรรมดาแต่ก็สามารถมีส่วนร่วมในค่ายกลได้

ค่ายกลสะเก็ดดาวประกอบไปด้วยเรือเคลื่อนเมฆาพิเศษ 7 ประเภท เรือแต่ละลำเป็นส่วนประกอบสำคัญในการทำให้ค่ายกลสมบูรณ์ ที่สำคัญคือ วิธีการสร้างเรือทั้งหมดถูกแบ่งออกไปในหมู่เจ็ดอาณาจักรด้วย

เหตุที่ต้องทำเช่นนี้เข้าใจง่ายมาก หมายความว่าไม่ให้สามารถใช้ค่ายกลสะเก็ดดาวต่อสู้กันเองได้

ค่ายกลสะเก็ดดาวจะใช้ได้ก็ต่อเมื่อเจ็ดอาณาจักรรวมพลังกันต่อสู้กับศัตรูภายนอก แม้จะเป็นจักรพรรดิก็ไม่สามารถใช้ค่ายกลสะเก็ดดาวต่อสู้กับมนุษย์ด้วยกันเองได้

นี่เป็นอีกสาเหตุที่เจ็ดอาณาจักรจึงสามัคคีกันนัก

เพราะหากแตกแยก ก็จะพากันสูญสิ้นไปทั้งหมด