นอกเสียจากผู้ที่ครอบครองสายเลือดจอมราชันย์ จะมีใครอื่นที่ทำเรื่องยากๆให้สำเร็จได้ง่ายดายแบบนี้?
ตระกูลฉีคือหนึ่งในตระกูลชั้นนำของเมืองหลวงแห่งจิตวิญญาณเร่ร่อน พวกเขาจึงได้สิทธิพิเศษในการพำนักอยู่บนภูเขาลอยฟ้า ฉีหลิงเอ๋อเช่าอสูรสวรรค์บินได้มาตัวหนึ่ง จากนั้นทั้งคู่ก็มุ่งหน้าสู่ภูเขาลอยฟ้า
ในตอนนั้นเองที่จางเซวียนได้มีโอกาสพิจารณาวรยุทธระดับเทพเจ้าขั้นสูงของฉีหลิงเอ๋ออย่างถี่ถ้วน
ถึงวรยุทธของเธอจะอ่อนด้อยกว่าเขา แต่ด้วยความที่สืบทอดสายเลือดจากราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติ จึงไม่ฉลาดนักหากจะสบประมาทพละกำลังของเธอ
“ในฐานะสมาชิกร่วมตระกูล ชะตากรรมของพวกคุณถูกถักทอเข้าไว้ด้วยกันแล้ว พวกคุณควรจะร่วมมือกันเพื่อพัฒนาตระกูลให้ก้าวหน้ากว่าคนอื่นๆไม่ใช่หรือ?” จางเซวียนถามด้วยความสงสัยเมื่อหวนนึกถึงสิ่งที่ฉีหลิงเอ๋อบอกไว้เมื่อครู่
“สมัยก่อน ความขัดแย้งในตระกูลไม่ได้หนักหนาสาหัสอย่างตอนนี้หรอก เพราะทรัพยากรที่ราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติได้รับน่ะแทบจะเรียกได้ว่ามีไม่จำกัด เหล่าสมาชิกในตระกูลจึงไม่มีความขัดแย้งใดๆต่อกัน การร่วมมือกันทำได้ง่ายกว่าเดี๋ยวนี้มาก”
ฉีหลิงเอ๋อถอนหายใจเฮือกใหญ่ด้วยความเสียดายและอธิบายต่อ “แต่เมื่อ 40 ปีก่อน ตอนที่พลังจิตวิญญาณในบรรยากาศเกิดการเสื่อมถอย ทรัพยากรสำหรับการฝึกฝนวรยุทธที่พวกเราเคยได้รับก็ลดปริมาณลงอย่างฮวบฮาบ จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะเกิดความขัดแย้งขึ้น และเมื่อ 20 ปีก่อน เกิดอุบัติเหตุครั้งหนึ่งที่คร่าชีวิตท่านพ่อของฉีชุนเอ๋อ เรื่องนั้นทำให้เธอจงเกลียดจงชังสายเลือดของฉันอย่างรุนแรง ถึงกับสาบานว่าจะไม่มีวันปล่อยให้พวกเราได้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุข…”
“ผมเข้าใจ” จางเซวียนพยักหน้า
เมื่อทรัพยากรขาดแคลน แม้พี่น้องสายเลือดเดียวกันก็เข่นฆ่ากันเองได้!
นั่นคือธรรมชาติของมนุษย์
“ที่ผ่านมา สายเลือดของเราเป็นหนึ่งในสายเลือดที่ทรงพลังที่สุด ฉีชุนเอ๋อจึงไม่กล้าทำอะไร แต่เมื่อพี่ชายของเธอก้าวขึ้นสู่อำนาจ สถานภาพของสายเลือดของพวกเราก็ค่อยๆตกต่ำ…”
เมื่อหวนนึกถึงความทุกข์ที่ได้รับตลอดระยะเวลาหลายปี ฉีหลิงเอ๋อได้แต่ส่ายหน้าอย่างท้อใจ
ถ้าเธอยังอยู่กับตระกูลฉี คงได้เป็นเทพเจ้าสวรรค์สร้างไปนานแล้ว เป็นเพราะความแร้นแค้นของทรัพยากรในเมืองตะวันรอนที่ทำให้เธอต้องติดแหงกอยู่กับวรยุทธระดับเทพเจ้าขั้นสูง
“เล่าเรื่องพี่ชายของฉีชุนเอ๋อให้ผมฟังหน่อย” จางเซวียนพูด
นักรบที่ดูจะมีศักยภาพพอจะได้เป็นราชันย์เทพเจ้าน่าจะมีอะไรมากกว่ากายเนื้อที่ทรงพลัง เป็นไปได้ว่าเขาคงมีคุณสมบัติบางอย่างที่เหนือชั้นกว่านักรบทั่วไป
“พี่ชายของเธอชื่อฉีเยว่ สายเลือดของเขาบริสุทธิ์กว่าสมาชิกส่วนใหญ่ของตระกูลฉี เขาสามารถทำความเข้าใจเทคนิควรยุทธและเทคนิคการต่อสู้ได้อย่างว่องไว ทำให้พัฒนาตัวเองได้เร็วมาก ตอนนี้ เขารั้งอันดับ 7 ในการจัดอันดับศักยภาพของราชันย์เทพเจ้า” ฉีหลิงเอ๋อตอบ
แม้จะแบ่งพรรคแบ่งพวกกัน แต่เธอก็ยังออกจะยำเกรงในสติปัญญาและความแข็งแกร่งของฉีเยว่
“การจัดอันดับศักยภาพของราชันย์เทพเจ้า?”
“ใช่ มันคือระบบการจัดอันดับอย่างเป็นทางการของเมืองหลวงแห่งจิตวิญญาณเร่ร่อน ทำหน้าที่ประเมินความเป็นไปได้ของการที่ใครสักคนจะได้เป็นราชันย์เทพเจ้า ในท้ายที่สุด รายชื่อส่วนใหญ่ที่ติดอันดับก็มักไม่อาจก้าวข้ามขั้นสุดท้ายไปได้ แต่นั่นแหละ การที่พวกเขาเคยมีชื่อติดโผการจัดอันดับก็เป็นเครื่องพิสูจน์ถึงพละกำลังและความแข็งแกร่งที่พวกเขามี” ฉีหลิงเอ๋อตอบ
“ถ้าฉีเยว่รั้งอันดับ 7 ก็หมายความว่ามีนักรบถึง 6 คนที่ปราดเปรื่องกว่าเขา?” จางเซวียนออกจะอัศจรรย์ใจ
ในฐานะตระกูลของจอมราชันย์ผู้ทรงเกียรติ ตระกูลฉีน่าจะเป็นหนึ่งในกลุ่มอำนาจที่แข็งแกร่งที่สุดของเมืองหลวงแห่งจิตวิญญาณเร่ร่อน
ซึ่งก็น่าสงสัยที่ได้รู้ว่าสมาชิกที่ปราดเปรื่องที่สุดในตระกูลของพวกเขา รวมถึงที่ฉีหลิงเอ๋อเคยบอกว่าในประวัติศาสตร์ของตระกูลฉีมีนักรบที่มีความสามารถระดับนี้เพียงแค่ 4 คน-จะรั้งเพียงอันดับ 7 เท่านั้น
“แหม คุณก็คิดน้อยจัง!”
ฉีหลิงเอ๋อรู้ว่าจางเซวียนคิดอย่างไร จึงรีบอธิบายถึงความสำคัญของการจัดอันดับ
“เทพเจ้าสวรรค์สร้างมีอายุขัย 1,000 ปี และนักรบส่วนใหญ่ที่มีชื่ออยู่ใน 10 อันดับแรกก็มีชีวิตอยู่มาอย่างน้อย 500 ปีแล้ว ฉีเยว่เพิ่งอายุ 30 ปลายๆเท่านั้น แต่ก็คว้าอันดับ 7 มาได้ นั่นหมายความว่าในอีก 50 ปีหรือ 100 ปีข้างหน้า เขาก็มีโอกาสไต่ขึ้นไปเป็นที่หนึ่ง!”
จางเซวียนตาโตเมื่อพลันเข้าใจ
ความอ่อนวัยคือสัญลักษณ์ของพลังและศักยภาพ ผู้นั้นจะมีเวลามากกว่าคนอื่นๆในการผลักดันตัวเองให้ประสบความสำเร็จแบบที่ใครๆก็ทำไม่ได้
เท่าที่ดูจากความแตกต่างของอายุ ฉีเยว่น่าจะมีโอกาสได้เป็นราชันย์เทพเจ้ามากกว่านักรบคนอื่นๆที่มีรายชื่ออยู่ในการจัดอันดับศักยภาพของราชันย์เทพเจ้า
หลังจากบินไปได้อีกครู่ใหญ่ ฉีหลิงเอ๋อหันมาถามจางเซวียน “นายน้อยจาง คุณหลอมยาเม็ดที่จะช่วยให้ฉันอดทนกับพลังงานในทะเลสาบจันทร์กระจ่างได้แล้วหรือยัง?”
ทั้งคู่กำลังจะถึงตระกูลฉีแล้ว แต่ตลอดทางที่มาก็ยังไม่เห็นจางเซวียนหลอมยาเม็ดใดๆ เธออดกังวลไม่ได้ว่าอีกฝ่ายอาจยังไม่ได้จัดเตรียมสิ่งที่เธอต้องการ ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้น ยืดเวลาออกไปอีกหน่อยย่อมดีกว่า
เพราะทันทีที่ถึงตระกูลฉี ฉีชุนเอ๋อคงไม่ปล่อยให้พวกเธอได้มีเวลาหายใจหรือเตรียมการใดๆแน่
“มันยากอยู่นะที่ผมจะจัดเตรียมสิ่งที่มีประสิทธิภาพหากยังไม่ได้เห็นทะเลสาบจันทร์กระจ่างกับตา อีกอย่าง อานุภาพของยาเม็ดก็อาจลดลงมาก” จางเซวียนตอบด้วยสีหน้าเรียบเฉย
“เอาเถอะ…”
เห็นความมั่นใจของจางเซวียน ฉีหลิงเอ๋อตัดสินใจเชื่อเขา
ไม่ช้า ภูเขาลอยฟ้าที่ถูกห้อมล้อมด้วยหมู่เมฆก็ปรากฏตรงหน้า มันแตกต่างจากสันเขาโดยทั่วไป ให้ความรู้สึกราวกับมีใครสักคนใช้พละกำลังแรงกล้าพลิกภูเขาให้คว่ำลง ส่วนฐานของมันแหลมและตั้งตรง ขณะที่ส่วนยอดราบเรียบราวกับกระจก คฤหาสน์หลังหนึ่งตั้งอยู่บนนั้น นกกระเรียนสวรรค์สร้างจำนวนนับไม่ถ้วนบินอยู่รอบๆภูเขา
ช่างเหมือนกับแหล่งพำนักพักพิงของเหล่าเทพเจ้า
สมกับที่เป็นหนึ่งในตระกูลชั้นนำของเมืองหลวงแห่งจิตวิญญาณเร่ร่อน ที่นี่เหนือระดับกว่าใครๆ!
“มีค่ายกลอยู่รอบภูเขาหรือเปล่า?” จางเซวียนตั้งคำถามขณะใช้ดวงตาหยั่งรู้ประเมินภูเขานั้น
เขาสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่ามีค่ายกลล้อมรอบภูเขาลอยฟ้า แต่ด้วยเหตุผลบางอย่าง ก็กลับมองไม่เห็นมันแม้จะเปิดใช้งานดวงตาหยั่งรู้
ดวงตาหยั่งรู้ของเขาแข็งแกร่งกว่าเดิมมากหลังจากได้เป็นเทพเจ้าสวรรค์สร้าง แต่ค่ายกลของที่นี่ก็ยังหลุดรอดสายตาไปได้ นี่หมายความได้อย่างเดียวว่าค่ายกลอันนี้ทรงพลังมาก น่าจะเป็นฝีมือของราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติของตระกูลฉี
“มีค่ายกลอยู่รอบภูเขา แต่คุณไม่ต้องห่วง มันแยกแยะสายเลือดของบุคคลได้ ขอแค่ผู้มาเยือนอยู่ใกล้ๆกับสมาชิกในตระกูล ค่ายกลก็จะเปิดทางให้โดยอัตโนมัติ” ฉีหลิงเอ๋อตอบ
เป็นอย่างที่เธอบอก อสูรสวรรค์บินได้ไม่ได้ทำให้ค่ายกลรู้สึกถึงความผิดแปลกใดๆขณะที่มันบินตรงไปยังภูเขาลอยฟ้า ไม่ช้าพวกเขาก็มายืนอยู่หน้าประตูบานใหญ่
“พี่ใหญ่หลิงเอ๋อ คุณกลับมาแล้ว!”
ชายหนุ่มสองคนที่อารักขาประตูบานใหญ่จดจำฉีหลิงเอ๋อได้ทันที พวกเขารี่เข้ามาหาพร้อมกับยิ้มกว้างอย่างตื่นเต้น
“ฉันมาขอพบหัวหน้าตระกูล!” ฉีหลิงเอ๋อแจ้งความประสงค์ด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“เชิญทางนี้”
สีหน้าของฉีหลิงเอ๋อทำให้พอเดาได้ว่าเธอน่าจะมีธุระสำคัญ ชายหนุ่มคนหนึ่งในนั้นชำเลืองมองจางเซวียนก่อนจะนำทางเข้าสู่คฤหาสน์
ทันทีที่เหยียบย่างเข้าไปในคฤหาสน์ จางเซวียนก็รู้สึกได้ถึงพลังจิตวิญญาณเข้มข้นที่พุ่งเข้าสู่ร่างของเขาโดยผ่านทางผิวหนัง ทำให้นึกอยากทรุดตัวลงนั่งและฝึกฝนวรยุทธเดี๋ยวนั้น
สมกับที่เป็นกลุ่มอำนาจของราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติ!
พลังจิตวิญญาณที่มีอยู่ในเมืองหลวงเทียบชั้นกับที่นี่ไม่ได้เลย
จางเซวียนมั่นใจว่าหากฝึกฝนวรยุทธที่นี่ เขาจะต้องได้เป็นเทพเจ้าสวรรค์สร้างขั้นกลางโดยเร็วแน่ แม้ไม่มียาเม็ดแก่นสารเทพเจ้าขั้นสูงก็ตาม
ทั้งคู่ตามชายหนุ่มไป ไม่ช้าก็มาถึงห้องโถงขนาดใหญ่ที่ว่างเปล่า
พวกเขารออยู่ 2-3 นาทีก่อนที่สองร่างจะเดินเข้ามา
หนึ่งในนั้นคือชายวัยกลางคนที่มีอายุราว 30 ต้นๆ เขาเดินตรงไปยังที่นั่งใจกลางห้อง
ส่วนอีกคนคือสาวน้อยที่น่าจะอายุรุ่นราวคราวเดียวกับฉีหลิงเอ๋อ เธอสวมเสื้อผ้ารัดรูปที่เน้นส่วนโค้งส่วนเว้าชัดเจน เธอยืนประจำที่หลังชายวัยกลางคนผู้นั้น
“ท่านหัวหน้าตระกูล!”
ฉีหลิงเอ๋อประสานมือทักทายชายวัยกลางคน
จางเซวียนรู้ดีว่าไม่ใช่เวลาที่เขาควรพูดอะไร จึงตัดสินใจยืนเงียบๆอยู่ด้านข้างและเฝ้ามองสิ่งที่เกิดขึ้น
“อือ” ชายวัยกลางคนตอบรับพร้อมกับพยักหน้า
เขาจ้องมองและประเมินฉีหลิงเอ๋อครู่หนึ่งก่อนจะเริ่มพูด “ถึงเมืองตะวันรอนจะอยู่ในพื้นที่ห่างไกลที่น่านฟ้าแห่งจิตวิญญาณเร่ร่อนไม่เห็นคุณค่าสักเท่าไหร่ แต่มันก็เป็นทำเลทางยุทธศาสตร์ที่สำคัญกับพวกเรามาก ผมจำได้ว่าผมบอกคุณให้อยู่รักษาการณ์ที่นั่นเพื่อรวบรวมข้อมูลข่าวสาร และคุณจะกลับมาไม่ได้จนกว่าผมจะอนุญาตให้กลับ แล้วทำไมจู่ๆคุณถึงกลับมาโดยไม่แจ้งพวกเรา? ถ้าไม่ใช่เพราะฉีชุนเอ๋อบอกผม ป่านนี้ผมก็คงยังไม่รู้เรื่อง!”
เสียงของเขาไม่ดังเท่าไหร่ แต่เปี่ยมด้วยอำนาจ บรรยากาศบริเวณนั้นหนักอึ้งขึ้นมาทันทีจนแทบหายใจหายคอไม่ออก
ราชันย์เทพเจ้า*!* จางเซวียนคิด
แม้อีกฝ่ายยังไม่ได้สำแดงวรยุทธ แต่จางเซวียนก็พบว่าเขาไม่อาจหยั่งถึงพละกำลังของชายวัยกลางคนผู้นี้ได้เลย อีกอย่าง การปรากฏตัวของอีกฝ่ายก็ดูจะหลอมรวมและกลมกลืนเป็นหนึ่งเดียวกับสภาพแวดล้อม ทำให้รู้สึกเหมือนกับว่าธรรมชาติคงจะลงโทษใครก็ตามที่กล้าขัดใจเขา
จางเซวียนแอบพิจารณาวรยุทธของอีกฝ่ายและเฝ้ามองอย่างเงียบๆ ไม่แสดงทีท่าว่าจะเสนอความคิดเห็นใดๆ
เขามาที่นี่เพราะอยากรู้จักทะเลสาบจันทร์กระจ่าง ไม่มีเจตนาจะหาเรื่องขัดแย้งกับราชันย์เทพเจ้าแห่งตระกูลฉี
ด้วยเหตุนี้ ชายวัยกลางคนจึงไม่รู้สึกผิดสังเกตในตัวจางเซวียน เขาคิดว่าชายหนุ่มคงเป็นแค่บริวารคนหนึ่งที่ฉีหลิงเอ๋อพามา จึงไม่ได้ใส่ใจ
“ท่านหัวหน้า ฉัน…”
แรงกดดันหนักหน่วงที่แผ่ออกมาจากร่างของชายวัยกลางคนทำให้ฉีหลิงเอ๋อค่อนข้างกระวนกระวาย เธอกำลังจะแก้ตัว ก็พอดีกับที่อีกฝ่ายพูดแทรก “ผมจะให้โอกาสคุณแก้ตัวเพียงครั้งเดียวนะ ถ้าคุณให้คำอธิบายที่น่าพอใจกับผมไม่ได้ ผมก็ต้องใช้กฎระเบียบของตระกูลจัดการ!”
“ฉันเข้าใจแล้ว…” ฉีหลิงเอ๋อสูดหายใจลึกก่อนจะเริ่มพูด “ฉันบังเอิญพบกับความโชคดีครั้งใหญ่ ส่งผลให้ร่างกายของฉันเกิดการเปลี่ยนแปลง ฉันจึงกลับมาที่นี่เพื่อร้องขอโอกาสที่จะได้ฝึกฝนวรยุทธในทะเลสาบจันทร์กระจ่างอีกครั้ง”