ตอนที่ 2223 ทดสอบดูก็ได้

อัจฉริยะสมองเพชร

“คุณไม่รู้สึกว่าเหตุผลของคุณมันห้วนไปหน่อยหรือไง?”

ยังไม่ทันที่ชายวัยกลางคนจะได้พูดอะไร สาวน้อยที่ยืนอยู่ข้างเขาก็คำราม “ความปราดเปรื่องของนักรบคนหนึ่งถูกกำหนดมาแล้วตั้งแต่เกิด คุณจะบอกฉันว่าคุณปัญญานิ่มเสียจนคิดว่าการพัฒนาความปราดเปรื่องของคุณนั้นเป็นสิ่งที่ทำได้?”

กฎเกณฑ์ของตระกูลฉีกำหนดให้สมาชิกของครอบครัวหลักมีสิทธิ์เข้าสู่ทะเลสาบจันทร์กระจ่างได้ 3 ครั้ง ซึ่งฉีหลิงเอ๋อเพิ่งใช้ไปเพียงครั้งเดียว เธอจึงมีสิทธิ์ร้องขอโอกาสที่จะเข้าไปที่นั่นอีกครั้งหนึ่ง

แต่ก็เป็นเรื่องที่รู้กันทั่วตระกูลฉีว่าฉีหลิงเอ๋อทำผลงานได้ไม่ดีนักตอนที่เข้าไปครั้งแรก แล้วการเข้าไปอีกครั้งจะมีประโยชน์อะไร?

ถ้าสติปัญญาและความปราดเปรื่องมันพัฒนากันได้ ป่านนี้ตระกูลฉีคงเต็มไปด้วยอัจฉริยะ

“ฉันเองก็รู้สึกว่ามันเหลือเชื่อ แต่คิดว่าท่านหัวหน้าคงดูออกว่าฉันโกหกหรือไม่” ฉีหลิงเอ๋อตอบอย่างสุขุม

“ผมสัมผัสได้ถึงการเปลี่ยนแปลงบางอย่างในรังสีของคุณ แต่ก็ยังไม่อยากเชื่อในสิ่งที่คุณพูดอยู่ดี” ชายวัยกลางคนส่ายหน้า “เหตุผลที่คุณให้ผมน่ะ ผมไม่พอใจนักหรอก…”

“ถ้าคุณแคลงใจ ทดสอบดูก็ได้” ฉีหลิงเอ๋อรีบเสริม

“ทดสอบ? คุณคิดจะให้พวกเราทดสอบความปราดเปรื่องของคุณด้วยวิธีไหน?” สาวน้อยคำรามเยาะ

การทดสอบประสิทธิภาพการต่อสู้และวรยุทธเป็นเรื่องที่ทำได้ แต่จะทดสอบสิ่งที่เป็นนามธรรมอย่าง ‘สติปัญญา’ ได้อย่างไร?

“ท่านหัวหน้า คุณถ่ายทอดเทคนิคการต่อสู้แบบเดียวกันให้ทั้งฉีชุนเอ๋อและตัวฉัน จากนั้นก็ให้เวลาพวกเราศึกษามัน 1 ชั่วโมง แล้วเราจะลดระดับวรยุทธให้เท่ากันและแข่งขัน ผู้ที่สามารถทำความเข้าใจเทคนิคการต่อสู้ได้ในระดับที่สูงกว่าก็ย่อมมีความปราดเปรื่องมากกว่า ฉีชุนเอ๋อ, คุณคงไม่ขัดข้องหรอกนะ ใช่ไหม?” ฉีหลิงเอ๋อเสนอพร้อมกับยิ้มออกมา

ในฐานะผู้ที่สามารถสร้างรากฐานอำนาจของตัวเองจนมั่นคงและบริหารตลาดมืดมาหลายปีโดยไม่ประสบปัญหาใดๆ ฉีหลิงเอ๋อก็ไม่ใช่คนที่ใครจะสบประมาทได้

คำเย้ยหยันของฉีชุนเอ๋อทำให้เธอรู้สึกต่ำต้อย จึงตั้งใจว่าจะต้องเอาคืน!

“อ้อ? คุณดูมั่นใจในตัวเองเหลือเกินนะ?”

คำพูดของฉีหลิงเอ๋อไม่ได้ทำให้ฉีชุนเอ๋อตื่นตระหนกสักนิด เธอกลับยิ้มเย้ย “ถ้าฉันจำไม่ผิดล่ะก็ คราวก่อนคุณอดทนอยู่ในทะเลสาบจันทร์กระจ่างได้แค่ 15 นาทีเองนี่ ใช่ไหม?”

“ใช่” ฉีหลิงเอ๋อตอบโดยไม่กระอักกระอ่วน “ฉันทนได้ไม่ถึง 15 นาทีด้วยซ้ำ แต่ชุนเอ๋อ, คุณอยู่ที่นั่นได้ 1 ชั่วโมงนี่? ด้วยความเก่งกาจของคุณ การทดสอบครั้งนี้คงง่ายเหมือนปอกกล้วยเข้าปาก จริงไหม?”

“แน่อยู่แล้ว ฉันก็แค่เกรงว่าคุณจะต้องอับอายขายหน้า!” ฉีชุนเอ๋อหัวเราะขณะเดินไปยังใจกลางห้อง

“ท่านหัวหน้าตระกูล ฉันเต็มใจรับข้อเสนอของหลิงเอ๋อและแข่งขันกับเธอ แต่ฉันคิดว่าการกระทำของหลิงเอ๋อที่ละทิ้งหน้าที่และโกหกคุณเป็นเรื่องที่ยอมรับไม่ได้ ถ้าเธอไม่อาจพิสูจน์ตัวเองได้ล่ะก็ ฉันขอเสนอให้คุณถอดถอนสถานภาพของเธอในฐานะหนึ่งในสมาชิกสายหลัก และนำตัวเธอไปกักขัง”

การถอดถอนสถานภาพสมาชิกสายหลักของฉีหลิงเอ๋อหมายถึงการตัดสายเลือดของเธอออกไป เป็นบทลงโทษที่รุนแรงมาก

โดยปกติ การลงโทษแบบนี้จะใช้กับผู้ที่ทำตัวเป็นกบฏและทรยศตระกูลเท่านั้น ซึ่งไม่เพียงแต่จะเสื่อมเสียชื่อเสียงเกียรติยศของตัวเอง ทั้งสายเลือดของเธอก็จะหมองมัวไปด้วย

ดูเหมือนคราวนี้ฉีชุนเอ๋อจะจงใจเล่นงานฉีหลิงเอ๋อให้อยู่หมัด เพื่อให้แน่ใจว่าอีกฝ่ายจะไม่มีโอกาสเงยหน้าอ้าปากได้อีก

“ชุนเอ๋อ คุณไม่คิดบ้างหรือว่าเดิมพันนี้ควรจะมีผลกับเราทั้งคู่? ถ้าการที่ฉันพ่ายแพ้จะทำให้ต้องถูกลงโทษรุนแรงขนาดนั้นล่ะก็ กฎเกณฑ์นี้ก็ควรใช้กับคุณเหมือนกัน” ฉีหลิงเอ๋อพูด

“ฉันไม่ใช่คนที่ออกจากเมืองตะวันรอนโดยไม่ได้รับอนุญาต, ฉันไม่ได้ฝ่าฝืนคำสั่งของหัวหน้าตระกูล! ต่อให้ฉันแพ้ นั่นก็เพียงเพราะการฝึกฝนของฉันยังอ่อนด้อย ก็แล้วทำไมจะต้องถูกลงโทษ?” ฉีชุนเอ๋อคำราม “อีกอย่าง คุณคิดจริงๆหรือว่าน้ำหน้าอย่างคุณจะเอาชนะฉันได้?”

เห็นฉีชุนเอ๋อไม่ตกหลุมพรางการยั่วยุของเธอ ฉีหลิงเอ๋อยักไหล่ “แล้วคุณไม่คิดบ้างหรือว่ามันไม่เหมาะสมที่คุณเสนอให้เขี่ยฉันออกจากตระกูลฉีหากฉันไม่ผ่านการทดสอบ? ฉันอดคิดไม่ได้ว่าคุณคงมีความแค้นส่วนตัว ถ้านี่ไม่ใช่เดิมพันล่ะก็ ฉันสรุปเองได้ไหมว่าคุณกำลังพยายามทำตัวเป็นผู้ตัดสินใจแทนหัวหน้าตระกูล?”

“บังอาจ!” ฉีชุนเอ๋อหน้าแดงก่ำเพราะคำกล่าวหานั้น

เธอกำลังจะตอบโต้ฉีหลิงเอ๋อที่บังอาจกล่าวหาเธอ ก็พอดีกับที่หัวหน้าตระกูลโพล่งออกมา “พอที! ความสามารถในการทำความเข้าใจเทคนิคการต่อสู้น่ะเป็นเกณฑ์ที่ใช้วัดระดับสติปัญญาได้ดี ในเมื่อคุณทั้งคู่ไม่ปฏิเสธ เราก็จะดำเนินการตามนั้น”

ราชันย์เทพเจ้ามีอายุขัยกว่าหมื่นปี จึงมีเวลาเหลือเฟือ

แม้เขาจะอาวุโสกว่าฉีหลิงเอ๋อกับฉีชุนเอ๋อถึงหนึ่งชั่วคน แต่ระหว่างทั้งสองรุ่นยังมีสมาชิกตระกูลฉีคั่นกลางอีกมากมาย เขาจึงไม่ได้สนิทสนมกับทั้งสองมากนัก

ชายวัยกลางคนรู้สึกว่าคำพูดของฉีหลิงเอ๋อไม่น่าเชื่อถือเท่าไหร่ แต่ในเมื่ออีกฝ่ายยินยอมพร้อมใจพิสูจน์ตัวเอง ก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องยับยั้ง เขามองว่าการแข่งขันครั้งนี้คือการได้หยุดพักจากงานที่มีล้นมือสักระยะหนึ่ง

ถ้าฉีหลิงเอ๋อยกระดับความปราดเปรื่องของเธอได้จริง ก็ถือเป็นโชคดีของตระกูลฉี ถึงอย่างไรเขาก็ไม่มีอะไรต้องเสีย

เมื่อพูดจบ หัวหน้าตระกูลสะบัดข้อมือและนำหนังสือเล่มหนึ่งออกมา

“นี่คือเทคนิคการต่อสู้ที่ผมคิดค้นเอง ยังไม่เคยเปิดเผยกับใครมาก่อน พวกคุณวางใจได้ว่าการทดสอบครั้งนี้จะบริสุทธิ์ยุติธรรม”

จากนั้น เขาดีดนิ้ว แล้วธูปก้านหนึ่งที่ปักอยู่บริเวณด้านข้างก็ติดไฟ กลิ่นหอมอ่อนๆอบอวลไปทั่ว

“พวกคุณมีเวลาคนละ 1 ชั่วโมง เริ่มได้”

ทันทีที่พูดจบ หนังสือก็ลอยขึ้นสู่กลางอากาศก่อนจะเริ่มพลิกหน้าหนังสือของมันเอง

ฉีหลิงเอ๋อกับฉีชุนเอ๋อเพ่งสมาธิอย่างหนักที่หนังสือเล่มนั้น

มันพลิกเร็วมาก แต่ในฐานะนักรบผู้ทรงพลัง ทั้งคู่ติดตามรายละเอียดของหนังสือได้โดยไม่มีปัญหา เพียงไม่ถึง 3 นาที ทั้งคู่ก็กวาดสายตาจนทั่วและจดจำเนื้อหาในหนังสือได้ทั้งหมด

ฉีหลิงเอ๋อกับฉีชุนเอ๋อทรุดตัวลงนั่งและตั้งต้นตีความความลับของเทคนิคการต่อสู้ ส่วนจางเซวียนก็แอบชำเลืองหนังสือ

วิ้งงงง!

หอสมุดเทียบฟ้ากระตุก หนังสือเล่มใหม่ถูกประมวลขึ้นมา

เขารีบพลิกดูรายละเอียดก่อนจะส่ายหน้าอย่างขัดใจ

มีข้อผิดพลาดมากมายเหลือเกิน*!*

หอสมุดเทียบฟ้าทำให้จางเซวียนรู้ว่าเทคนิคการต่อสู้นี้มีข้อบกพร่องมากมาย รวมแล้วก็เหยียบร้อย

เขาคิดว่าเทคนิคการต่อสู้ที่ราชันย์เทพเจ้าเป็นผู้คิดค้นขึ้นเองน่าจะใกล้เคียงกับความสมบูรณ์แบบ แต่ตอนนี้ จะเรียกมันว่าเทคนิคการต่อสู้ที่น่าพอใจก็ยังเรียกได้ไม่เต็มปาก

จางเซวียนพลันเกิดความคิดหนึ่งขึ้นมา

หัวหน้าตระกูลจงใจทำแบบนี้เพื่อท้าทายทั้งคู่หรือเปล่า? เพราะเทคนิคการต่อสู้ที่ถูกหยิบยกมาดูจะมีข้อบกพร่องมากกว่าธรรมดา และไม่ชวนให้ใครอยากทำความเข้าใจมันเอาเสียเลย…

ฉีหลิงเอ๋อกับฉีชุนเอ๋อกำลังแข่งขันกันเพื่อพิสูจน์ความปราดเปรื่องของตัวเอง ซึ่งหากคนใดคนหนึ่งสามารถตีความและระบุข้อบกพร่องของเทคนิคการต่อสู้ได้ ก็จะเป็นเครื่องชี้ชัดถึงสติปัญญาของผู้นั้น

สิ่งนี้ทำให้จางเซวียนเกิดความอยากรู้และอยากพิจารณาเทคนิคการต่อสู้ให้ถี่ถ้วน แต่ข้อบกพร่อง มากมายในนั้นทำให้เขาเวียนหัวคลื่นไส้ จึงไม่มีทางเลือกนอกจากต้องสลัดมันทิ้งไป

เพียงแค่มองดูมันก็ทำให้เขาครั่นเนื้อครั่นตัวแล้ว

เขาเคยชินกับเคล็ดวิชาเทียบฟ้าและเทคนิคอื่นๆที่เพียบพร้อมและสมบูรณ์แบบซึ่งเป็นผลผลิตของหอสมุดเทียบฟ้า

“ช่างมันเถอะ”

จางเซวียนถอนหายใจเฮือกใหญ่ เขารวบรวมหนังสือในหอสมุดเทียบฟ้าและประมวลมันเข้าด้วยกันเพื่อขจัดข้อบกพร่องของเทคนิคการต่อสู้

ในเมื่อมันเป็นการทดสอบของฉีหลิงเอ๋อกับฉีชุนเอ๋อ ชายวัยกลางคนผู้นั้นก็คงไม่ใช้บททดสอบที่ยากเกินไป และตัวเขาก็เพิ่งถ่ายโอนหนังสือมากมายจากสภาปรมาจารย์มาเมื่อครู่ก่อน การขจัดข้อผิดพลาดและข้อบกพร่องจึงไม่น่าจะยากเย็น

จางเซวียนรีบพิจารณาเทคนิคการต่อสู้อีกครั้งและขับเคลื่อนพลังงานสวรรค์สร้างไปตามที่เทคนิคระบุไว้ ไม่ช้าก็สามารถทำความเข้าใจจนเชี่ยวชาญ

ช่างง่ายเหลือเกิน

แบบนี้ก็เรียกว่าการทดสอบหรือ?

อย่างกับของเด็กเล่น!

เขาหันไปมองฉีหลิงเอ๋อเพื่อดูว่าเธอไปถึงไหนแล้ว เห็นอีกฝ่ายเหงื่อตกราวกับกำลังเผชิญความยากลำบากในการตีความบางส่วนของเทคนิคการต่อสู้ ทำให้ไม่อาจฝึกฝนมันได้

รู้แล้ว…จางเซวียนตาโตเมื่อพลันเข้าใจ

ตั้งแต่ต้น ชายวัยกลางคนไม่ได้จงใจให้ทั้งคู่ฝึกฝนวรยุทธตามที่ระบุไว้ในเทคนิค แต่ต้องการให้ทั้งคู่ปรับเปลี่ยนเทคนิคการต่อสู้นั้นให้กลายเป็นสิ่งที่เหมาะสมกับความต้องการของตัวเอง!

มีแต่ผู้ที่ก้าวไปได้ไกลเกินกว่าการจดจำแบบนกแก้วนกขุนทองและสามารถถักทอความรู้ที่มีอยู่เข้าด้วยกันได้เท่านั้นถึงจะปีนป่ายขึ้นไปสู่วรยุทธระดับที่สูงขึ้นได้ ซึ่งคนแบบนั้นย่อมคู่ควรกับการได้รับการขนานนามว่าอัจฉริยะ!

ในฐานะผู้เชี่ยวชาญที่อยู่มาหลายพันปี เขาย่อมมีความคิดอยู่ในหัวมากมาย

…..

ทำไม*? ทำไมแบบนี้ถึงใช้ไม่ได้? ทำไมถึงไม่มีวิธีไหนได้ผลเลย? สติปัญญาของเราอ่อนด้อยขนาดนั้นจริงๆหรือ?*

ถ้าสิ่งนี้คือเทคนิคที่หัวหน้าตระกูลคิดค้น เขาก็น่าจะทดสอบแล้วหลายครั้ง ไม่มีทางที่มันจะเป็นเทคนิคการต่อสู้ที่ไม่มีใครสามารถฝึกฝนตามได้ จะต้องมีทางออกสิ เราคงตีความมันผิดวิธีที่จุดไหนสักจุดหนึ่ง

สีหน้าของหญิงสาวทั้งคู่คร่ำเคร่งด้วยความหงุดหงิดและกระวนกระวาย

เดิมพันครั้งนี้ยิ่งใหญ่เกินไป พวกเธอจะยอมแพ้ไม่ได้!

แต่ด้วยเหตุผลอะไรสักอย่าง ไม่ว่าจะพยายามทดสอบเทคนิคการต่อสู้อย่างไร ก็จะต้องมีบางส่วนที่ไม่อาจเชื่อมโยงถึงกันได้ พวกเธอไม่สามารถใช้เทคนิคการต่อสู้สร้างระบบที่เหมาะสมขึ้นมา ซึ่งนั่นทำให้เกิดความสับสนอย่างมาก พวกเธอจะฝึกฝนอะไรสักอย่างที่…ไม่สมบูรณ์แบบได้อย่างไร?

เวลาผ่านไป เกือบหนึ่งชั่วโมงล่วงเลยไปราวกับติดปีก แต่ทั้งฉีหลิงเอ๋อกับฉีชุนเอ๋อก็ยังจนปัญญา ดูเหมือนโชคชะตาของพวกเธอไม่ได้ถูกกำหนดมาให้สามารถทำความเข้าใจเทคนิคการต่อสู้นี้

“น่าเสียดาย!” ชายวัยกลางคนพึมพำขณะมองสภาพของทั้งคู่

เป็นอย่างที่จางเซวียนคิดไว้ เขาจงใจใส่ข้อบกพร่องหลายข้อเข้าไปในเทคนิคการต่อสู้นั้นเพื่อให้ไม่อาจฝึกฝนมันจนเชี่ยวชาญได้หากไม่ปรับเปลี่ยนบางอย่างเสียก่อน แน่นอนว่าเขาตั้งใจปกปิดข้อบกพร่องไว้ด้วย เพื่อให้นักรบทั่วไปไม่อาจมองเห็นได้โดยง่าย เพราะไม่อย่างนั้น หัวใจของบททดสอบก็จะถูกเปิดเผยง่ายเกินไป