“ดี ด้วยพลังของพวกเจ้าสองคนคงไม่มีปัญหาแน่” จินเทียนชื่อมองทั้งสองคนแล้วครุ่นคิดเล็กน้อยก่อนจะพยักหน้า

เดิมทีหลิ่วหมิงเป็นคนที่เขาสนใจอยู่แล้ว พลังย่อมไม่ต้องสงสัย ส่วนหลัวเทียนเฉิงก็ครอบครองร่างจิตวิญญาณตูเทียนที่ใกล้เคียงกับการเป็นอมตะคงกระพัน หากพูดถึงการรักษาชีวิต ทุกคนที่นี่คงไม่มีใครสู้เขาได้ เข้าร่วมการเดินทางที่อันตรายเช่นนี้ก็เหมาะสมอย่างยิ่งจริงๆ

“แค่กๆ ศิษย์พี่ ข้าก็ยินดีร่วมเดินทางไปด้วย” ในตอนนี้เองด้านหลังของกลุ่มคนก็มีเสียงแหบพร่าไอขึ้นเบาๆ แล้วเอ่ยขึ้นมา

ทุกคนหันหน้าไปมอง สิ่งที่ทำให้ผู้คนประหลาดใจก็คือผู้ที่เอ่ยคือเวินเจิง

หลิ่วหมิงมองเวินเจิง เด็กคนนี้แม้จะได้สติแล้ว แต่สีหน้ายังซีดจนเป็นสีเทาอย่างเห็นได้ชัด ปราณบนร่างเหี่ยวเฉาเห็นชัดว่าอาการบาดเจ็บยังห่างไกลจากการหายดี

“ศิษย์น้องเวิน การเดินทางครั้งนี้ค่อนข้างอันตราย คงมีศึกที่ต้องปะทะอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้หลายครั้ง ตอนนี้อาการบาดเจ็บของเจ้ายังไม่หายดีต้องพักรักษาให้ฟื้นตัว ไม่จำเป็นต้องฝืนเกินไปหรอก อย่างไรเสียเวลาที่จะได้อยู่ในเศษซากแห่งโลกบนนี้ก็ยังเหลือไม่น้อย” จินเทียนชื่อมองเขาแล้วส่ายหน้าเอ่ยบอก

“ศิษย์พี่หมายความว่าขอแค่ผู้แซ่เวินอาการบาดเจ็บหายดีก็เข้าร่วมการเดินทางได้ใช่หรือไม่?” เวินเจิงรับรู้ได้ถึงสายตาของผู้คนรอบด้านที่มองมาจึงเอ่ยขึ้นด้วยใบหน้าไร้อารมณ์

“หากอาการบาดเจ็บของศิษย์น้องหายดีย่อมเข้าร่วมการเดินทางครั้งนี้ได้ แต่สภาพของเจ้าตอนนี้…” จินเทียนชื่อคิ้วขมวดพลางคิดจะเปลี่ยนวิธีพูดเกลี้ยกล่อมห้ามเวินเจิง

“ได้ ในเมื่อขอเพียงอาการบาดเจ็บของข้าไม่เป็นไรก็ใช้ได้ เรื่องนี้ย่อมง่ายดายยิ่ง!”

เวินเจิงตอบกลับเสียงดังประโยคหนึ่งขัดคำพูดที่จินเทียนชื่อกำลังจะเอ่ย จากนั้นมือข้างหนึ่งก็พลิกหงาย ยันต์สีน้ำเงินแผ่นหนึ่งปรากฏออกมา มันส่งเสียง “ปัง” ขึ้นครั้งหนึ่งแล้วกลายเป็นไอหมอกสีน้ำเงินกลุ่มแล้วกลุ่มเล่าล้อมร่างกายของเขาเข้าไป ด้านในมีอักขระแสงสีน้ำเงินสารพัดรูปแบบทะลักออกมาลอยร่อนขึ้นลงไม่หยุด

พวกจินเทียนชื่อกับฉิวหลงจื่อเห็นเช่นนี้ย่อมเผยสีหน้าประหลาดใจ ศิษย์นิกายยอดบริสุทธิ์ที่เหลือก็พากันซุบซิบ

เวินเจิงทำสีหน้าเคร่งขรึมอยู่ท่ามกลางไอหมอก สิบนิ้วบนสองมือทำท่าเคล็ดวิชาไม่หยุดประหนึ่งกงล้อขณะที่ปากท่องมนตร์ประหลาดแผ่วเบา เสียงทุ้มต่ำดังอื้ออึงคล้ายเสียงครวญครางของภูตผีลอยออกมาจากกลางไอหมอกรอบด้านเป็นระยะ

ครู่ต่อมาทุกคนก็รู้สึกถึงสายลมเย็นเยียบที่ฉับพลันโชยพัดในถ้ำ แสงเรืองรองสีน้ำเงินสายแล้วสายเล่าปรากฏขึ้นจากความว่างเปล่าทั่วทุกสารทิศลอยละล่องไปยังจุดที่เวินเจิงอยู่

ผ่านไปพักหนึ่ง แสงสีน้ำเงินกับไอหมอกก็เกี่ยวกระหวัดเข้าหากันกลายเป็นรังไหมหมอกสีน้ำเงินรังหนึ่งล้อมเวินเจินไว้อย่างสมบูรณ์ อีกทั้งยังขยายหดเป็นจังหวะไม่หยุดประหนึ่งมีชีวิต

หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ดวงตาพลันเป็นประกาย

เขาสัมผัสได้ชัดเจนว่าทุกครั้งที่รังไหมหมอกนี้ขยายแล้วหดตัว ลมปราณที่เดิมทีเบาบางของเวินเจิงก็จะเพิ่มขึ้นหนึ่งส่วน

คนอื่นย่อมสัมผัสเรื่องนี้ได้เช่นเดียวกัน พวกเขาฮือฮาขึ้นมาพักหนึ่ง

“ศิษย์พี่จิน หรือว่า…” หลังจากฉิวหลงจื่อเผยสีหน้าประหลาดใจเล็กน้อยออกมาก็หันไปถามจินเทียนชื่อประโยคหนึ่งทันที

“ไม่ผิด น่าจะเป็นวิชาสาปคืนกำเนิดไม่ผิดแน่” จินเทียนชื่อขมวดคิ้วน้อยๆ เอ่ยตอบ

หลิ่วหมิงได้ยินก็ตกตะลึงทันที ตอนนั้นในแดนลึกลับปีศาจสวรรค์เขาเคยเห็นผู้อาวุโสขุยมู่ใช้วิชาพฤกษาแห้งพบหยาดพิรุณ หลังจากเขากลับนิกายจึงเคยอ่านตำราที่เกี่ยวข้องอยู่ นิกายยอดบริสุทธิ์เองก็มีวิชาลับที่ฟื้นสภาพร่างกายตนเองได้ในเวลาสั้นๆ จำพวกนี้เช่นเดียวกัน หนึ่งในนั้นก็คือวิชาสาปคืนกำเนิดที่จินเทียนชื่อเอ่ยออกมา

วิชานี้จะกระตุ้นศักยภาพในร่างด้วยวิชาคำสาปชนิดพิเศษทำให้ฟื้นฟูอาการบาดเจ็บภายในและภายนอกร่างได้ในเวลาอันสั้นจนดูเหมือนร่างกายฟื้นฟูจนหายดีในพริบตา แต่ความจริงมันก็เหมือนวิชาพฤกษาแห้งพบหยาดพิรุณ คือจะสร้างความเสียหายแก่กายเนื้อและอายุขัยไม่น้อย ดังนั้นในสถานการณ์ทั่วไปจึงไม่มีใครเสี่ยงอันตรายใช้วิชาลับนี้อย่างเด็ดขาด

เวลาผ่านไปอีกหนึ่งเค่อเต็มๆ ในที่สุดรังไหมหมอกก็สงบแล้วพังทลายดังฟู่ หลังจากไอหมอกสลายไปก็เผยร่างกายของเวินเจิงออกมาอีกครั้ง

แต่ในเวลานี้สีหน้าซีดเซียวบนใบหน้าเขาหายไปหมดสิ้น สิ่งที่มาแทนที่คือใบหน้าแดงระเรื่อ และลมปราณเต็มเปี่ยม ไหนเลยยังจะเห็นสภาพป่วยไข้บาดเจ็บหนักเมื่อครู่อีก

ความเปลี่ยนแปลงก่อนหน้าและภายหลังของเวินเจิง ทำให้ผู้คนด้านข้างที่มองดูอยู่ส่งเสียงฮือฮาแล้วอดไม่ได้จุ๊ปากเอ่ยชม

“ศิษย์พี่จิน ไม่ทราบว่าตอนนี้ข้าเข้าร่วมการเดินทางครั้งนี้ได้หรือไม่?” เวินเจิงดูเหมือนจะมีความสุขกับสายตาตกตะลึงที่ทุกคนมองมาอย่างยิ่ง หลังจากเหล่มองหลิ่วหมิงกับหลัวเทียนเฉิงครั้งหนึ่ง เขาก็เอ่ยถามเสียงดัง

“ในเมื่อศิษย์น้องเวินตัดสินใจแน่วแน่แล้วก็ไปด้วยกัน” จินเทียนชื่อเห็นสถานการณ์เช่นนี้ก็ได้แต่ตอบรับอย่างนิ่งสงบ

จากนั้นก็มีศิษย์ที่หายดีแล้วแต่พลังค่อนข้างอ่อนแอสองคนเอ่ยว่าอยากเข้าร่วมการเดินทางครั้งนี้ด้วย แต่หลังจากจินเทียนชื่อกับฉิวหลงจื่อหารือกันพักหนึ่งก็ไม่อนุญาตให้ทั้งสองคนเข้าร่วม

ท้ายที่สุดก็มีเพียงหลิ่วหมิง หลัวเทียนเฉิงกับเวินเจิงสามคนและจินเทียนชื่อเท่านั้นที่เข้าร่วมภารกิจครั้งนี้กับนิกายเทียนกง

จินเทียนชื่อไม่ใส่ใจจำนวนคนมากน้อยสักนิด เขาเพียงกำชับทุกคนให้เตรียมตัวเพิ่มสักหน่อย ครึ่งวันให้หลังจะออกเดินทางทันที หลังจากนั้นทุกคนก็ต่างสนใจเพียงตัวเองหามุมสักมุมหลับตาทำสมาธิ

หลิ่วหมิงกลับไม่ได้เตรียมพร้อมอะไรนัก เขาเพียงเดินไปข้างกายพี่น้องโอวหยางแล้วกำชับพวกนางทั้งสองว่าให้เคลื่อนไหวร่วมกับนิกายยอดบริสุทธิ์คนอื่นให้มากที่สุดแล้วระวังความปลอดภัยของตนเอง

หลังจากพี่น้องโอวหยางผ่านเหตุการณ์ก่อนหน้านี้มา พวกนางย่อมรู้ซึ้งถึงความไร้ระเบียบของเศษซากแห่งโลกบนดี พวกนางจึงพยักหน้าตกลง

หลิ่วหมิงคุยกับสตรีทั้งสองอีกสองสามประโยคก็เดินไปอีกมุมหนึ่งของถ้ำ ขณะที่กำลังจะนั่งลงทำสมาธิ ด้านหลังก็มีเสียงฝีเท้าดังขึ้น กลิ่นหอมพัดโชยมา

เขางุนงงไปชั่วครู่ เมื่อหมุนตัวไปก็เห็นหลงเหยียนเฟยขยับเท้าดอกบัวเดินเข้ามาหา

“ดูท่าศิษย์น้องหลิ่วกับแม่นางตระกูลโอวหยางสองคนนั่นจะมีมิตรภาพต่อกันไม่น้อย นับตั้งแต่มาถึงเศษซากโลกบนแห่งนี้ เรียกได้ว่าเจ้าดูแลพวกนางทั้งสองพร้อมสรรพ หรือว่าพวกนางทั้งคู่จะเป็นสตรีคนรู้ใจของศิษย์น้องหลิ่ว” หลงเหยียนเฟยกวาดตามองสองพี่น้องโอวหยางด้านนั้นแล้วเอ่ยขึ้นคล้ายยิ้มแต่ไม่ยิ้ม

“ศิษย์พี่หลงล้อเล่นแล้ว!” หลิ่วหมิงได้ฟังก็ตกตะลึงแล้วยิ้มพลางส่ายหน้า

“เรื่องส่วนตัวของศิษย์น้องหลิ่ว เดิมทีข้าก็ไม่มีอำนาจถามอยู่แล้ว แต่ศิษย์น้องอย่าลืมว่าน้องเจียหลานยังรอเจ้าอยู่ที่ยอดเขาเลื่อนลอย” หลงเหยียนเฟยไม่รอหลิ่วหมิงเอ่ยจบก็ขัดเขาด้วยสีหน้าจริงจัง

“ศิษย์พี่เข้าใจผิดแล้ว ข้าเพียงถูกคนไหว้วานให้ดูแลความปลอดภัยของคุณหนูตระกูลโอวหยางทั้งสองในเศษซากโลกบนแห่งนี้ก็เท่านั้น” หลิ่วหมิงขมวดคิ้วอธิบายหลายประโยค

“อ้อ ที่แท้ข้าเข้าใจผิดไป หวังว่าคำพูดนี้ของศิษย์น้องจะเป็นคำพูดจากใจจริง” หลงเหยียนเฟยฟังคำนี้ สีหน้าก็ดีขึ้นนิดหน่อย หลังจากคุยกันอีกสองสามประโยคนางก็หมุนตัวจากไป

หลิ่วหมิงถอนหายใจแล้วนวดกลางหว่างคิ้ว หลังจากนั้นจึงนั่งขัดสมาธิหลับตาทำสมาธิอยู่ที่เดิม

ครึ่งวันหลังจากนั้นลำแสงสีสันแตกต่างกันสี่สายก็เหาะจากที่พักชั่วคราว มุ่งเร็วรี่ไปยังขอบฟ้าไกลอย่างเงียบเชียบ

หลายวันให้หลังลำแสงสี่สายพุ่งเร็วรี่จากขอบฟ้าไกลมาถึงตีนเขาของขุนเขาใหญ่ยักษ์สีดำขลับที่สูงทะลุเมฆลูกหนึ่ง พวกเขาก็คือพวกจินเทียนชื่อสี่คนที่เดินทางมานั่นเอง

ทั้งสี่คนหาพื้นที่ว่างแห่งหนึ่งตามแต่ใจต้องการแล้วร่อนลงมา พวกเขาเงยหน้ามองรอบด้านแล้วค้นพบว่าอาณาบริเวณล้วนเป็นแผ่นดินรกร้างที่มีต้นไม้ไม่มาก

“น่าจะเป็นที่นี่” จินเทียนชื่อกวาดสายตามองแผนที่ในมือครั้งหนึ่งแล้วเอ่ยปากขึ้นเรียบๆ

หลิ่วหมิงหลับตาทั้งสองข้างแล้วปล่อยจิตสัมผัสออกไปกวาดผ่านพื้นที่บริเวณสิบลี้ตรงนี้ แต่กลับว่างเปล่า ไม่พบคลื่นพลังจิตวิญญาณแต่อย่างใด

“ศิษย์พี่จิน คนของนิกายเทียนกงยังมาไม่ถึงหรือ?” หลัวเทียนเฉิงกวาดสายตามองรอบด้านแล้วเอ่ยขึ้นอย่างไร้ความอดทนอยู่บ้าง

“เดิมทีนิกายเทียนกงจะนัดสองวันก่อน แต่เพราะทางด้านพวกเราต้องการพักรักษาตัวเพิ่มสักหน่อย ดังนั้นข้าถึงเปลี่ยนมานัดวันนี้ ไม่แน่ว่าคนของนิกายเทียนกงอาจมาถึงก่อนแล้ว”

สายตาของจินเทียนชื่อกวาดมองสภาพรอบด้านอย่างรวดเร็ว ทันใดนั้นร่างกายก็ขยับวูบหนึ่งปรากฏตัวหน้าศิลายักษ์ก้อนหนึ่งไม่ไกลจากตีนเขาแล้วเงยหน้าขึ้นสำรวจมอง

นี่เป็นศิลายักษ์สีเทาขาวก้อนหนึ่งที่สูงถึงหนึ่งจั้งกว่า กว้างสองถึงสามจั้ง แม้จะใหญ่กว่าศิลารอบด้านไม่น้อย แต่ก็ไม่ได้ผิดปกติมากมายนัก

พวกหลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็พากันเดินมาหยุดสองฝั่งข้างจินเทียนชื่อแล้วปล่อยจิตสัมผัสกวาดผ่านศิลานี้ด้วย พวกเขาค้นพบว่าศิลานี้ดูเหมือนธรรมดา แต่เมื่อสำรวจให้ละเอียดกลับสัมผัสได้ถึงความผิดปกติจางๆ

ครู่ต่อมาจินเทียนชื่อก็ยื่นมือกดเบาๆ บนศิลายักษ์ ผิวของศิลายักษ์ทอแสงสีน้ำเงินอ่อนชั้นหนึ่งออกมา จินเทียนชื่อขยับร่างกายวูบหนึ่งก็จมลงไปในศิลายักษ์ทันที ทิ้งเอาไว้เพียงเสียงกระแสจิตเบาบางประโยคหนึ่ง

“พวกเจ้าก็เข้ามาเถอะ”

หลังจากตกตะลึงนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง หลัวเทียนเฉิงก็กลายเป็นแสงสีเงินเส้นหนึ่งตามเข้าไป

หลิ่วหมิงกับเวินเจิงที่เหลืออยู่มองตากันครั้งหนึ่งก็จมเข้าไปด้วย

เมื่อผ่านศิลายักษ์เข้ามา ทิวทัศน์เบื้องหน้าหลิ่วหมิงก็เปลี่ยนไปทันที เขาอยู่ในถ้ำที่กว้างขวางแห่งหนึ่ง

เวลานี้จินเทียนชื่อกำลังสนทนาอยู่กับชายหนุ่มรูปร่างกำยำที่แต่งกายมอซอ บนศีรษะสวมหมวกฟางคนหนึ่ง

แม้ชายหนุ่มกำยำผู้นี้ใบหน้าจะไร้สีเลือด ปราณบนร่างก็มีท่าทีไม่มั่นคงอยู่บ้าง แต่หลิ่วหมิงก็ยังสัมผัสได้ว่าเขาเป็นผู้ฝึกฝนระดับแก่นแท้ขั้นปลายคนหนึ่ง แต่ดูเหมือนร่างกายจะบาดเจ็บหนัก

ด้านข้างชายหนุ่มกำยำมีศิษย์ที่แต่งชุดของนิกายเทียนกงเกือบสิบคนยืนเรียงแถวอยู่ ในนั้นมีชายหนุ่มคนหนึ่งที่สวมเสื้อตัวสั้นสีน้ำเงินเช่นเดียวกัน เขาก็คือเยี่ยโจ่ง ชายหนุ่มรถเงินที่เคยร่วมมือกับหลิ่วหมิงต่อสู้กับศัตรูในงานชุมนุมประตูสวรรค์เมื่อครั้งนั้นนั่นเอง

“สหายเยี่ย พวกเราพบหน้ากันอีกแล้ว” หลิ่วหมิงประสานมือให้เยี่ยโจ่งแล้วพยักหน้าเอ่ยขึ้น

“ข้าเดาอยู่แล้วว่าคนของนิกายท่านที่มาครั้งนี้จะต้องมีสหายหลิ่วแน่นอน” ชายหนุ่มรถเงินยิ้มตาหยีคำนับคืน

หลัวเทียนเฉิงมองทั้งสองคนครั้งหนึ่งแต่ไม่ขยับทักทายแต่อย่างใด

อีกด้านหนึ่งชายหนุ่มกำยำกำลังยิ้มน้อยๆ เอ่ยกับจินเทียนชื่อว่า

“เมื่อครู่ข้ากำลังคิดว่าพี่จินน่าจะใกล้มาแล้ว เดิมทีคิดจะเปิดชั้นจำกัดออกไปต้อนรับแขก แต่คิดไม่ถึงว่าค่ายกลเงาวงกตนี่กลับถูกพี่จินมองออกอย่างง่ายดายเช่นนี้”

“พี่จ้าวชมเกินไปแล้ว แค่โชคดีเท่านั้น มา ข้าจะแนะนำศิษย์น้องทั้งสามคนกับพวกท่าน” จินเทียนชื่อตอบกลับอย่างนิ่งสงบแล้วชี้นิ้วไปยังสามคนด้านหลังร่าง

พวกหลิ่วหมิงทั้งสามคนเห็นสถานการณ์ก็ขานชื่อแซ่ตามลำดับทันที

“อ้อ? ท่านก็คือหลิ่วหมิงที่แสดงความสามารถโดดเด่นในงานชุมนุมประตูสวรรค์ มีฉายาว่าศิษย์สายในอันดับหนึ่งของนิกายยอดบริสุทธิ์หรือ?” หลังจากชายหนุ่มกำยำฟังจบก็มองสำรวจหลิ่วหมิงจากหัวจรดเท้ารอบหนึ่งแล้วเผยสีหน้าสนใจอย่างยิ่งออกมา

ศิษย์นิกายเทียนกงคนอื่นต่างพากันเบนสายตามาเช่นกัน บนใบหน้ามีสีหน้าต่างๆ กันไป เห็นชัดว่าได้ยินชื่อเสียงยิ่งใหญ่ของหลิ่วหมิงมาก่อน

“ศิษย์พี่ชมเกินไปแล้ว ข้าเป็นเพียงศิษย์สายในตัวเล็กๆ คนหนึ่งของนิกายยอดบริสุทธิ์เท่านั้น” หลิ่วหมิงได้ยินก็ประสานมือเอ่ยตอบอย่างไม่ยโสแต่ก็ไม่ดูถูกตน

“ฮ่ะๆ ชมเกินไปหรือไม่ คิดว่าไม่นานหลังจากนี้ผู้แซ่จ้าวก็จะรู้” ชายหนุ่มกำยำหัวเราะแล้วเอ่ยขึ้น

จากนั้นชายหนุ่มผู้นี้ก็แนะนำศิษย์นิกายเทียนกงสั้นๆ รอบหนึ่ง ส่วนตัวชายหนุ่มเองชื่อว่าจ้าวอีเหวย หลิ่วหมิงเหมือนจะเคยได้ยินชื่อคนผู้นี้มาก่อน ดูเหมือนว่าเขาจะเป็นผู้ที่มีชื่อเสียงโด่งดังในหมู่ศิษย์ลับของนิกายเทียนกงเช่นกัน

หลังจากทั้งสองฝ่ายแลกเปลี่ยนชื่อแซ่กันแล้วบรรยากาศระหว่างกันก็กลมเกลียวกันขึ้นมาบ้าง ต่อมาจินเทียนชื่อจึงถามรายละเอียดเกี่ยวกับสมบัติที่จะร่วมมือกันไปเอา