ตอนที่ 938 เตาหล่อหลอมจิตวิญญาณและอสูรยักษ์ป่าเถื่อน

ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ

“เรื่องนี้เล่าแล้วยาว ครั้งนี้พวกเรานิกายเทียนกงโชคไม่ดี เข้ามายังเศษซากแห่งโลกบนเวลาสั้นๆ เดือนกว่าก็เสียศิษย์ไปแล้วครึ่งหนึ่ง สิ่งที่แย่ที่สุดก็คือในการค้นหาสมบัติครั้งหนึ่งพวกเราถูกผู้แข็งแกร่งเผ่าพยัคฆ์เงินหลายคนจากแผ่นดินหมานฮวงลอบจู่โจม เมื่อถูกบีบจนไร้ทางเลือกข้ากับศิษย์น้องระดับแก่นแท้อีกคนหนึ่งจึงใช้วิชาลับของนิกาย ผลสุดท้ายจึงพ่ายแพ้บาดเจ็บทั้งสองฝ่าย แม้พวกเราสองคนไม่เป็นอันตรายถึงชีวิต แต่อย่างน้อยก็ต้องรักษาตัวสิบวันไปจนถึงครึ่งเดือนจึงจะฟื้นพลังต่อสู้ได้ ทว่าตอนนี้ไม่ทราบเพราะเหตุใดตำแหน่งสมบัติชิ้นสำคัญที่นิกายเราต้องการตามหาดันถูกกลุ่มอำนาจอื่นล่วงรู้เข้า พวกเราจึงเชิญทุกท่านจากนิกายยอดบริสุทธิ์เดินทางมาช่วยเหลือ” ชายหนุ่มกำยำถอนหายใจแผ่วเบาแล้วเอ่ยขึ้น

เวินเจินได้ยินว่า ‘แผ่นดินหมานฮวง’ ดวงตาก็ฉายแววเหี้ยมเกรียมแวบหนึ่ง

 “ที่แท้เป็นเช่นนี้เอง หลายวันก่อนพวกเราก็ถูกผู้ฝึกฝนเผ่าปีศาจกลุ่มหนึ่งลอบโจมตีจนเสียสหายร่วมนิกายไปหลายคนเช่นกัน คนอื่นก็ล้วนกำลังรักษาตัวอยู่ ด้วยเหตุนี้ข้าจึงพาพวกศิษย์น้องหลิ่วมาแค่สามคน” จินเทียนชื่อได้ฟังก็พยักหน้า

“สหายจินเดินทางมาช่วยเหลือด้วยตนเอง ข้าก็ได้มากกว่าที่หวังแล้ว นอกจากนี้สหายทั้งสามคนที่พี่จินพามาล้วนไม่ใช่พวกฝีมือธรรมดา จะว่าไปแล้วก็ละอาย ยามนี้คนที่บาดเจ็บหนักในนิกายของเรารักษาตัวอยู่ในที่ซ่อนอีกแห่งหนึ่ง ดังนั้นจึงส่งศิษย์ระดับผลึกเดินทางไปได้เจ็ดคนเท่านั้น ภารกิจครั้งนี้จะสำเร็จหรือไม่คงต้องพึ่งพี่จินแล้ว” จ้าวอีเหวยชายหนุ่มร่างกำยำกวาดสายตาผ่านพวกหลิ่วหมิงสามคนแล้วเอ่ยอย่างนิ่งสงบ

“พี่จ้าวเกรงใจแล้ว นิกายของพวกเราทั้งสองเป็นมิตรที่ดีต่อกันมาตลอด เรื่องนี้พวกเราย่อมทำสุดกำลัง ในเมื่อข่าวของสมบัติชิ้นนี้แพร่ออกไปแล้ว ถ้าเช่นนั้นงานก็ไม่ควรชักช้า พวกเราลงมือกันตอนนี้เลยเถิด เรื่องอื่นเดินทางไปคุยไปก็ได้” จินเทียนชื่อเสนอขึ้นมา

“ได้! อาจารย์อาเล็ก ภารกิจครั้งนี้เดิมพวกเราเชิญสหายนิกายยอดบริสุทธิ์เดินทางมาช่วยเหลือ แต่ตอนนี้ดูแล้วกลายเป็นจะต้องให้ศิษย์นิกายเราสนับสนุนพวกพี่จิน รายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องนี้รบกวนอาจารย์อาเล็กบอกพี่จินด้วย” จ้าวอีเหวยย่อมไม่เห็นต่าง เขาหมุนตัวมาประสานมือเอ่ยกับชายหนุ่มรถเงินอย่างเคร่งขรึม

“ศิษย์หลานจ้าววางใจเถิด เรื่องเหล่านี้ไม่ต้องบอกข้าย่อมเข้าใจ” ชายหนุ่มรถเงินได้ยินก็ยิ้มด้วยท่าทางสบายๆ

จ้าวอีเหวยเห็นเช่นนี้หลังจากกำชับอีกสองสามประโยคก็พยักหน้าอย่างพึงพอใจ

หลังจากนั้นคณะเดินทางสิบเอ็ดคนของหลิ่วหมิงก็ออกจากถ้ำแล้วเหาะจากไปไกล

ชายหนุ่มร่างกำยำกับบุรุษผู้มีใบหน้าซีดเผือดอีกคนหนึ่งยืนอยู่ตรงปากถ้ำ เฝ้ามองลำแสงของคณะเดินทางจนมองไม่เห็นแล้วถึงขมวดคิ้วแน่นหมุนตัวกลับมาด้านในถ้ำ

“พี่จ้าว ครั้งนี้ให้อาจารย์อาเล็กพาศิษย์คนอื่นเดินทางไปที่นั่นจะเสี่ยงเกินไปหน่อยหรือไม่ อาจารย์อาเล็กเป็นถึงหลานเพียงคนเดียวของผู้อาวุโสสูงสุด มีตำแหน่งพิเศษในนิกายเรามาตลอด หากเกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้นจริง หลังจากพวกเรากลับไปคงไม่อาจอธิบายประมุขนิกายกับผู้อาวุโสสุงสุดได้” เพิ่งย้อนกลับเข้ามาในถ้ำ บุรุษผู้มีสีหน้าซีดเผือดก็เผยสีหน้ากังวลเอ่ยขึ้นมา

“เรื่องนี้ ข้าจะไม่รู้ได้อย่างไร แต่เตาหล่อหลอมจิตวิญญาณเป็นสิ่งที่สำคัญยิ่งนัก มันเกี่ยวพันกับความรุ่งเรืองตกต่ำหลายหมื่นปีหลังจากนี้ของนิกายเรา จะนิ่งดูดายเสียมันไปได้อย่างไร ตอนนี้ข้ากับเจ้าสองคนล้วนฝืนกดอาการบาดเจ็บอยู่ จะไม่ให้อาจารย์อาเล็กเดินทางไป ศิษย์ระดับผลึกคนอื่นก็ไม่มีคุณสมบัติในการนำกลุ่มแม้แต่น้อย แต่เจ้ากับข้าคงไม่ต้องกังวลมากไปนักหรอก ในเมื่อท่านประมุขวางใจให้อาจารย์อาเล็กเข้ามาในเศษซากแห่งโลกบนครานี้ย่อมต้องมีเหตุผลของเขา ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าเขายังมีสมบัติคุ้มครองกายนานาชนิดที่ผู้อาวุโสสูงสุดมอบให้เป็นการส่วนตัวอีก เกรงว่ากระทั่งข้าหรือเจ้าปะทะกับเขาก็คงทำอันใดไม่ได้ นอกจากนี้แม้ว่านิกายเรากับนิกายยอดบริสุทธิ์จะเป็นพันธมิตรกัน แต่หากไม่มีอาจารย์อาเล็กตามไปคุม ข้ากับเจ้าจะวางใจให้ศิษย์คนอื่นเดินทางไปได้อย่างไร” จ้าวอีเหวยฟังแล้วก็เผยรอยยิ้มจืดเจื่อนอธิบาย

“ตอนนี้ก็ได้แต่คิดเช่นนี้แล้ว! น่าชังจริงๆ หากไม่ใช่เพราะพบกับผู้ฝึกฝนเผ่าปีศาจพยัคฆ์เงินพวกนั้นก่อนหน้านี้ ข้ากับเจ้าจะตกอยู่ในสภาพน่าขายหน้าเช่นนี้ได้อย่างไร หวังว่าอาจารย์อาเล็กออกโรงครานี้จะรีบไปรีบกลับได้นะ อย่าให้มีเรื่องผิดพลาดอันใดเกินขึ้นเลย” บุรุษผู้มีใบหน้าซีดเผือดได้แต่เอ่ยอีกสองประโยคอย่างเคียดแค้น

ในเวลาเดียวกันไกลออกไปหลายร้อยลี้บนท้องฟ้าชายหนุ่มรถเงินกำลังยืนอยู่ที่หัวเรือของเรือเหาะสีฟ้าลำหนึ่ง เขากำลังเล่าเป้าหมายของการเดินทางครั้งนี้ให้กลุ่มคนจากนิกายยอดบริสุทธิ์ฟังอย่างละเอียด

ที่แท้สมบัติที่นิกายเทียนกงตามหาก็คือสมบัติประหลาดชิ้นหนึ่งที่ชื่อว่าเตาหล่อหลอมจิตวิญญาณ

หลิ่วหมิงได้ยินถึงตรงนี้ ในใจก็ตกตะลึง!

ไม่ว่าอาวุธจิตวิญญาณหรืออาวุธเวท โดยทั่วไปหากเป็นจำพวกเตาหลอมกับเตาล้วนล้ำค่ายิ่งขึ้น

“เตานี้คงมีไว้ใช้หลอมอาวุธสินะ?” หลัวเทียนเฉิงที่อยู่ด้านข้างโพล่งถาม

“สหายหลัวคิดเหมือนยามข้าได้ยินครั้งแรก แต่เตาหล่อหลอมจิตวิญญาณนี้ไม่ได้มีไว้ใช้หลอมอาวุธจิตวิญญาณหรืออาวุธเวท ทว่ามีไว้เพิ่มพลังจิตวิญญาณให้แก่อาวุธจิตวิญญาณกับอาวุธเวท หากนิกายเทียนกงของข้าได้ของสิ่งนี้มาจะทำให้พลังของหุ่นทั้งหมดในนิกายเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งระดับ ดังนั้นเตาหล่อหลอมจิตวิญญาณจึงสำคัญยิ่งยวดสำหรับนิกายของเรา คงต้องขอให้ทุกท่านทุ่มเทจิตใจให้งานนี้ หลังเสร็จเรื่องนิกายเราจะมอบของตอบแทนที่ทุกท่านพึงพอใจให้แน่นอน” เยี่ยโจ่งย่อมไม่กังวลว่านิกายยอดบริสุทธิ์ซึ่งเป็นหนึ่งในสี่ยอดนิกายใหญ่เช่นเดียวกันจะสะบั้นสัญญาพันธมิตรเพียงเพื่ออาวุธเวทชิ้นเล็กๆ ชิ้นหนึ่ง แต่เรื่องที่เกี่ยวข้องกับความลับของนิกายเขาก็ยังพูดคลุมเครืออยู่บ้าง เล่าจนถึงสุดท้ายก็ยิ้มน้อยๆ ขณะที่มองจินเทียนชื่อผู้ไม่พูดสักคำ

“ฟังจากคำพูดนี้ของสหายเยี่ย นิกายของท่านน่าจะหมายตาเตาหลอมนี้ไว้นานแล้ว กระทั่งประโยชน์ของมันก็ยังรู้กระจ่างเช่นนี้?” จินเทียนชื่อได้ยินก็เอ่ยถามอย่างไม่แสดงท่าที

“พี่จินพูดไม่ผิด เตาหลอมนี้ถูกบันทึกไว้ในคัมภีร์โบราณของนิกายข้า มันเป็นอาวุธเวทพิทักษ์นิกายที่ตกทอดกันมาของนิกายใหญ่แห่งศาสตร์หลอมอาวุธในสมัยบรรพกาลแห่งหนึ่ง แต่หลังจากนิกายแห่งนั้นล่มสลายมันก็สาบสูญไป จนกระทั่งเมื่อสามหมื่นปีก่อนหรือก็คือการค้นหาสมบัติในเศษซากแห่งโลกบนครั้งก่อน คนรุ่นก่อนของนิกายเราคนหนึ่งค้นพบร่องรอยของสมบัติชิ้นนี้ในซากโบราณสถานแห่งหนึ่งบนเศษซากแห่งโลกบนโดยบังเอิญ ทว่าตอนที่กำลังจะเอามันมา กลับคิดไม่ถึงว่าอสูรยักษ์ป่าเถื่อนตัวหนึ่งจะพุ่งพรวดเข้ามาชิงกลืนสมบัติชิ้นนี้กับสมบัติชิ้นอื่นลงท้องไปพร้อมกันเสียก่อน” เยี่ยโจ่งหัวเราะฝืดเฝื่อน เล่าความเป็นมาเป็นไปของเรื่องนี้ให้พวกเขาฟังอย่างไม่มีเจตนาปิดบังแม้แต่น้อย

“อสูรยักษ์ป่าเถื่อนหรือ?” ไม่เพียงแค่พวกหลิ่วหมิงสามคน กระทั่งจินเทียนชื่อได้ยินคำนี้ก็ประหลาดใจเช่นเดียวกัน

“ไม่ผิด จากที่ผู้อาวุโสท่านนั้นเล่า อสูรยักษ์ป่าเถื่อนตัวนี้รูปร่างมหึมาอย่างยิ่ง เหมือนมันจะไวต่อคลื่นปราณจิตวิญญาณนานาชนิดอย่างที่สุดและชอบกินวัตถุที่มีพลังจิตวิญญาณที่สุด นอกจากนี้ยังหนังหยาบเนื้อหนา จากที่เขาประเมิน แม้เป็นผู้แข็งแกร่งระดับดาราพยากรณ์ก็ยังยากจะทะลวงผ่านร่างเนื้อของมันได้ในเวลาอันสั้น ยามนั้นผู้อาวุโสท่านนั้นของนิกายเราเพิ่งจะพลังระดับแก่นเสมือน เขาไม่อาจแย่งชิงสมบัติจากในปากอสูรตัวนี้ได้เลย ผนวกกับเหลือเวลาก่อนจะเคลื่อนย้ายออกจากเศษซากโลกบนไม่มาก ด้วยความจนหนทาง ผู้อาวุโสท่านนั้นจึงได้แต่ส่งอาวุธเวทกำหนดตำแหน่งชิ้นหนึ่งเข้าไปในปากของอสูรยักษ์หลังจากนั้นก็จากไปอย่างเสียดาย ครั้งนี้เมื่อนิกายของเราเข้ามาในเศษซากโลกบนแห่งนี้จึงส่งศิษย์หลายคนไปตามหาอาวุธเวทกำหนดตำแหน่งค้นหาอสูรตัวนี้ทันที จนกระทั่งไม่กี่วันก่อนพวกเราเพิ่งพบว่ามันยังซุ่มซ่อนอยู่ในสถานที่หนึ่งอย่างสมบูรณ์ดี เตาหล่อหลอมจิตวิญญาณนั่นย่อมยังปลอดภัยไร้อันตรายอยู่ในท้องของมัน ทว่าต่อมาเนื่องจากนิกายของเราพบศัตรูที่แข็งแกร่งกะทันหัน สูญเสียกำลังพลไปมาก ศิษย์พี่ผู้นำคณะเดินทางทั้งสองคนก็บาดเจ็บหนัก พวกเราหมดหนทางถึงขอความช่วยเหลือจากทุกท่าน” หลังจากเยี่ยโจ่งครุ่นคิดครู่หนึ่งก็อธิบายกับทุกคนอย่างละเอียดเพิ่ม

พวกหลิ่วหมิงฟังถึงตรงนี้ก็อดไม่ได้มองหน้ากัน

สมบัติที่นิกายเทียนกงต้องการตามหาถึงกับอยู่ในร่างของอสูรยักษ์ป่าเถื่อนตัวหนึ่ง สถานการณ์เช่นนี้เรียกได้ว่าเหนือความคาดหมายของพวกเขาอย่างสิ้นเชิง

“ไม่ทราบว่านิกายของท่านตรวจสอบกระจ่างหรือยังว่าอสูรยักษ์ตัวนั้นเป็นตัวอะไร? หากพลังของมันทัดเทียมกับผู้แข็งแกร่งระดับดาราพยากรณ์ อาศัยเพียงพวกเราไม่กี่คนนี้เกรงว่าการจะเอาเตาหล่อหลอมจิตวิญญาณนั่นมาให้ได้คงจะฝืนเกินกำลังอยู่บ้าง” จินเทียนชื่อเอ่ยทีละคำด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

“พูดไปแล้วก็ละอาย แม้นิกายเราค้นหาข้อมูลจากเอกสารนับไม่ถ้วน แต่ก็หาความเป็นมาอย่างละเอียดของอสูรยักษ์ตัวนั้นไม่พบ คิดว่ามันน่าจะเป็นสิ่งมีชีวิตเผ่าพันธุ์หนึ่งจากยุคดึกดำบรรพ์ที่หลงเหลือมาจากสมัยบรรพกาลกระมัง แต่ทุกท่านไม่ต้องกังวลใจ จากที่ผู้อาวุโสท่านนั้นสังเกต อสูรยักษ์ป่าเถื่อนตัวนั้นสติปัญญาด้อย ทำทุกสิ่งตามสัญชาติญาณ แม้มีพลังอยู่บ้างแต่น่าจะไม่อันตรายมากนัก เพียงแค่กายเนื้อของอสูรตัวนี้แข็งแกร่งอย่างยิ่ง อยากจะเอาเตาหลอมมาจึงยังค่อนข้างยุ่งยาก” เยี่ยโจ่งส่ายศีรษะเอ่ยบอก

“เช่นนี้ดูท่าอสูรตัวนี้คงหนังหยาบเนื้อหนาจนใช้กำลังทะลวงร่างกายของมันยากยิ่ง และหากบุ่มบ่ามโจมตี มันก็อาจเตลิดหนีไป ถึงเวลาจะรั้งมันไว้ต่อก็คงไม่ใช่เรื่องง่าย” จินเทียนชื่อฟังเยี่ยโจ่งอธิบายอย่างละเอียดจบก็ขมวดคิ้ว

“เรื่องนี้ทุกท่านโปรดวางใจ ก่อนหน้าข้าออกเดินทางได้พกหุ่นห้าธาตุชุดหนึ่งที่นิกายมอบให้เป็นพิเศษมาด้วย หากใช้หุ่นห้าตัวนี้จะสร้างค่ายกลกักขังห้าธาตุชนิดพิเศษได้ชั่วคราว น่าจะขังอสูรตัวนี้ไว้ได้เป็นเวลาไม่น้อย” เยี่ยโจ่งตอบโดยไม่ครุ่นคิด

“หากอสูรตัวนี้ด้อยสติปัญญาและนิกายท่านขังมันไว้ในค่ายกลได้ ข้าก็มีวิธีหนึ่งอาจลองใช้เอาเตาหลอมมาได้” จินเทียนชื่อครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ดวงตาทั้งสองข้างก็เปล่งประกายเอ่ยขึ้นมา

“คำพูดนี้จริงหรือ? ไม่ทราบว่าเป็นวิธีอันใด?” เยี่ยโจ่งได้ยินก็เอ่ยถามอย่างยินดียิ่งนัก

“ที่จริงก็ไม่ใช่วิธีชาญฉลาดอันใด ในเมื่ออสูรตัวนี้ชอบกลืนวัตถุที่มีพลังจิตวิญญาณ ถ้าเช่นนั้นพวกเราก็ใช้อาวุธจิตวิญญาณสักชิ้นลงมือโจมตีอสูรยักษ์ตัวนั้นล่อให้มันกินเข้าไป พริบตาที่มันอ้าปากก็พุ่งเข้าไปในตัวมันหาวิธีเอาเตาหลอมล้ำค่าชิ้นนี้มาก็ได้แล้ว” จินเทียนชื่อยิ้มเล็กน้อยแล้วเอ่ยบอก

“ที่แท้ก็วิธีนี้เอง! ก่อนหน้าที่จะเข้ามายังเศษซากแห่งโลกบน ในนิกายก็เคยหารือเกี่ยวกับวิธีนี้ ทว่าจากที่ผู้อาวุโสท่านนั้นบอก ระหว่างที่อสูรยักษ์ตัวนี้อ้าปากหุบปากจะมีลมหายใจซึ่งมีฤทธิ์กัดกร่อนร้ายกาจยิ่งนัก เกรงว่าภายในร่างคงจะเข้มข้นยิ่งกว่า ลมเหล่านี้เหมือนจะไม่มีผลอย่างใดกับสมบัติประหลาดแห่งฟ้าดินเหล่านั้น แต่หากพวกเราผู้ฝึกฝนเผ่ามนุษย์ตกอยู่ในสภาพแวดล้อมเช่นนี้ แม้กายเนื้อแข็งแกร่งอีกเท่าใดก็ยากนักจะทานทนได้แม้เพียงชั่วครู่ หากเข้าไปเอาสมบัติในท้องจะต้องเอาชนะลมที่มีฤทธิ์กัดกร่อนเหล่านี้ก่อนถึงจะได้” เยี่ยโจ่งลังเลอยู่ครู่หนึ่งก็เอ่ยขึ้นมา

“นี่เป็นข้อยุ่งยากประการหนึ่ง” จินเทียนชื่อฟังแล้วก็ขมวดคิ้ว

“แต่เรื่องนี้ก็พอมีวิธีรับมือชั่วคราวอยู่ ในมือข้ามีชุดเกราะจักรกลเต็มตัวสองชุดที่สร้างขึ้นมาเป็นพิเศษเพื่อเข้าไปในร่างของอสูรตัวนี้ วัสดุที่ใช้หลอมมันผสมดินจิตวิญญาณดำที่หายากเอาไว้ ไม่เพียงต้านทานลมกัดกร่อน ยังมีคุณสมบัติเปลี่ยนรูปได้ประมาณหนึ่ง น่าจะต้านได้ช่วงเวลาหนึ่งอย่างไม่เป็นปัญหา จุดสำคัญอยู่ที่หลังจากเข้าไปจะพุ่งออกมาจากในร่างอสูรตัวนี้ได้อย่างไร เรื่องนี้ยังไม่มีวิธีที่เหมาะสมนัก อีกประการหนึ่งก็คือภายในร่างอสูรตัวนี้เหมือนชั้นจำกัดปิดสนิทขนาดมหึมาแห่งหนึ่ง จิตสัมผัสไม่อาจทะลุผ่านไปได้แต่น้อย เกรงว่าหลังจากเข้าไปด้านในคงไม่อาจสื่อสารกับด้านนอกได้ หากอยู่ในร่างอสูรตัวนี้นานเข้า เมื่อชุดเกราะแตก…” เยี่ยโจ่งเอ่ยขึ้นต่อช้าๆ

เมื่อคำนี้เอ่ยออกมาพวกหลิ่วหมิงก็เงียบไปทันที