บทที่ 956 นี่มันไร้ยางอายสิ้นดี

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

ตอนที่ 956 นี่มันไร้ยางอายสิ้นดี

“นายน้อยพอใจกับการจัดการของหวังจงไหมขอรับ?”

พ่อบ้านชราก้มหน้าต่ำหลังรายงานสิ่งที่เกิดขึ้นด้านนอกจบ

หลินเป่ยเฉินเบิกตาโตจ้องมองหวังจงด้วยความประหลาดใจ

ชายชราผู้นี้นับว่ามีมันสมองเป็นเลิศ

บิดาของเขาได้ค้นพบขุมสมบัติล้ำค่าแล้วจริง ๆ

แต่ทว่า…

“ช่วงเวลาทำเงินออกจะน้อยเกินไปหน่อยกระมัง?”

หลินเป่ยเฉินยกมือขึ้นมานวดขมับตนเองและพูดด้วยน้ำเสียงไม่แน่ใจ “จีหวูชวงเป็นตัวแทนจากกลุ่มพันธมิตรจักรวรรดิส่วนกลาง เปรียบดั่งเทพเจ้าที่มีชีวิตของชาวเป่ยไห่ โอกาสเช่นนี้หาได้ยากมาก ขยายเวลาการทำงานให้เขารับลูกค้าต่อวันนานขึ้นซะ”

“นายน้อยช่างมีวิสัยทัศน์กว้างไกล”

หวังจงรีบยกนิ้วโป้งชื่นชมอย่างประจบเอาใจ

ก่อนที่ชายชราจะกล่าวเสริมว่า “ถ้าอย่างนั้น ข้าน้อยจะปรับเป็นให้เขาทำงาน 12 ชั่วยามต่อวัน และแบ่งเวลาส่วนหนึ่งไว้ให้แขกระดับสูงโดยเฉพาะ สำหรับบรรดามหาเศรษฐีหรือขุนนางใหญ่เหล่านี้ นอกจากพวกเขาจะใช้ตาดูใช้มือสัมผัสได้แล้ว พวกเรายังจะเพิ่มบริการถ่ายภาพกับผู้มีพลังระดับเซียนอีกด้วย และสำหรับบริการเหล่านี้ หวังจงตั้งใจจะคิดค่าบริการเป็นศิลาบูชาครั้งละ 10 ก้อนขอรับ”

หลินเป่ยเฉินเลิกคิ้วขึ้นสูง

ให้ตายสิ ตาเฒ่าผู้นี้…ชำนาญเรื่องการหลอกลวงเงินผู้อื่นเหลือเกิน

หลินเป่ยเฉินคิดไม่ถึงจริง ๆ ว่าตนเองจะมีมังกรซ่อนเล็บแฝงตัวอยู่ข้างกาย

แต่ถ้าทำเช่นนั้น เขาจะใจร้ายกับจีหวูชวงเกินไปหรือเปล่านะ?

นี่ออกจะเป็นการกระทำที่ไร้ยางอายมากเกินไปแล้วกระมัง?

ต่อให้จีหวูชวงจะมีพลังอยู่ในขั้นเซียน ก็คงทนรับเรื่องราวเหล่านี้ไม่ไหวแน่ ๆ

มันเป็นการเหยียบย่ำศักดิ์ศรีกันมากเกินไป

“ประเสริฐ”

หลินเป่ยเฉินพยักหน้ายิ้มแย้มด้วยความชอบใจ “ข้าพอใจการจัดการของเจ้า ไม่ต้องเปลี่ยนแปลงอะไรทั้งนั้น จัดการตามที่เจ้าว่ามาทั้งหมดนี่แหละดีแล้ว”

หวังจงประสานมือรับคำสั่งและยิ้มออกมาด้วยความภาคภูมิใจ

เห็นไหมล่ะ สุดท้ายเขาก็ยังเป็นผู้ที่รู้ใจนายน้อยมากที่สุดอยู่ดี

“ถ้าอย่างนั้นนายน้อยขอรับ สำหรับคันธนูเทพเจ้าร่ำไห้… พวกเราจะจัดการอย่างไร?”

ชายชราสอบถาม

หลินเป่ยเฉินตอบว่า “เจ้าคิดว่าอย่างไรล่ะ?”

หวังจงยิ้มและตอบว่า “หวังจงจะติดต่อกับคนของสถานทูตจักรวรรดิจี้กวงอย่างลับ ๆ และให้พวกเขาจ่ายเงินเพื่อรับคันธนูกลับไปขอรับ”

หลินเป่ยเฉินปรบมือด้วยความชอบใจ ส่วนหวังจงก็ยิ้มกว้างมากกว่าเดิม

เด็กหนุ่มคิดไม่ถึงจริง ๆ ว่าชายชราจะมีความยอดเยี่ยมถึงเพียงนี้

นับว่าเป็นตัวเงินตัวทองของเขาอย่างแท้จริง

ขโมยของมาเพื่อนำไปขายคืนแก่เจ้าของเก่า?

นี่คือเรื่องที่ไร้ยางอายมากที่สุดแล้ว

มูลค่าของคันธนูเทพเจ้าร่ำไห้ไม่ใช่เล็กน้อย หากนำไปวางขายในตลาดมืด อย่างน้อยก็ต้องประมูลได้เป็นศิลาบูชาหลายพันก้อน

ย่อมมีจอมยุทธ์จำนวนมากที่เชี่ยวชาญด้านการยิงธนูต้องการครอบครองมัน

แต่หากอยากจะได้ราคาดีที่สุด ก็ต้องขายคืนให้แก่จักรวรรดิจี้กวงเท่านั้น

เพราะคันธนูนี้คืออาวุธประจำชาติของชาวจี้กวง สำหรับพวกเขาแล้ว ว่ากันว่านี่คืออาวุธที่มีความสำคัญต่อประเทศชาติมากที่สุด

เพื่อให้ได้รับคันธนูเทพเจ้าร่ำไห้กลับคืนไป จักรวรรดิจี้กวงย่อมยินดีรับข้อเสนอทุกอย่าง

แม้ว่ามันจะเป็นเงินจำนวนมหาศาลก็ตาม!

เพราะฉะนั้น การขายคืนให้แก่จักรวรรดิจี้กวงจึงเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด

หรือจะเก็บไว้ใช้เองดีนะ?

หลินเป่ยเฉินมั่นใจว่าตนเองมีฝีมือด้านการยิงธนูพอสมควร

แต่อาวุธหลักของเขาคือกระบี่

และอาวุธหลักจริง ๆ ของเขาก็คือโทรศัพท์มือถือมากกว่า

ซึ่งนั่นหมายความว่าเขาต้องหาศิลาบูชาจำนวนมากเพื่อมาชาร์จแบตโทรศัพท์มือถือให้ใช้งานได้อยู่ตลอดเวลา

ต่อให้มีคันธนูเทพเจ้าร่ำไห้สิบล้านคัน ก็ไม่สู้มีโทรศัพท์มือถือของเขาเพียงเครื่องเดียว

เพราะฉะนั้น การนำไปขายจึงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด

“ประเสริฐ ตอนซื้อขายก็ระมัดระวังตัวด้วย”

หลินเป่ยเฉินเห็นด้วยกับแผนการของหวังจง “ข้าจะให้อากวงกับเซียวปิงไปคอยช่วยเหลือ”

“ขอบคุณนายน้อยมากขอรับ”

หวังจงยกมือตบหน้าอกตนเองด้วยความมั่นใจ “คำว่าจงในนามของหวังจงนั้น มาจากคำว่าจงรักภักดี หวังจงเอ็นดูนายน้อยราวกับเป็นบุตรชายของตัว…”

พูดยังไม่ทันจบประโยค

โครม!

หลินเป่ยเฉินยกเท้าถีบ

หวังจงลอยกระเด็นออกไปจากห้อง

“ไอ้เฒ่านี่ ใครเป็นลูกชายเจ้าไม่ทราบ”

เขาส่งเสียงคำรามไล่หลังไป

หลินเป่ยเฉินนั่งลงบนขอบเตียง ยกมือขึ้นมานวดขมับตนเองอย่างใช้ความคิด

“ตอนนี้การประลองเดิมพันชีวิตก็สิ้นสุดลงอย่างเป็นทางการแล้วสินะ”

“หลังจากนี้ก็จะเป็นการประเมินลำดับจักรวรรดิ แต่เรายังไม่รู้เลยว่าพวกเขาจะทำการประเมินกันยังไง ในเมื่อตัวเราเองก็ได้ชื่อว่าเป็นชาวเป่ยไห่เช่นกัน เราก็ไม่ควรทนเห็นประเทศชาติของตนเองล่มจมไปต่อหน้าต่อตา”

“เอาไว้จัดการเรื่องการประเมินลำดับจักรวรรดิเสร็จเมื่อไหร่ ถึงตอนนั้น เราค่อยเดินทางกลับนครเจาฮุย… เอ๊ะ นี่เราลืมเรื่องสำคัญไปได้ยังไงกันนะ”

“เรายังไม่ได้แก้แค้นเลย ตำแหน่งลาภยศก็ยังไม่ได้รับอย่างเป็นทางการ”

“ถ้าช่วยให้การประเมินลำดับจักรวรรดิผ่านพ้นไปด้วยดี เราก็จะต่อรองกับทางราชสำนัก ขอให้องค์จักรพรรดิมอบตำแหน่งแม่ทัพใหญ่พร้อมกับกองกำลังจำนวนมาก บุกไปถล่มตระกูลเว่ยแห่งมณฑลเฉียนเกา ฮ่า ๆๆ ตระกูลเว่ยครอบครองมณฑลเฉียนเกามายาวนาน จวนของพวกมันต้องมีทรัพย์สมบัติมากมายมหาศาลแน่ ๆ โฮะโฮะโฮะ”

“เรานี่มันอัจฉริยะด้านการหาเงิน อายุน้อยร้อยล้านของจริงเลยนะเนี่ย”

ยิ่งคิดถึงเรื่องนี้มากเท่าไหร่ หลินเป่ยเฉินก็ยิ่งมีความสุขมากเท่านั้น

จังหวะนั้น นักรบเกราะเงินผู้หนึ่งก็เดินเข้ามารายงานว่า ขณะนี้ ขันทีชราจางเชียนเชียนมาขอเข้าพบอยู่หน้าจวนซางจั้วหยวนแล้ว

ทุกครั้งขันทีชราจางเชียนเชียนมักจะเดินเข้ามาหาเขาโดยทันที

แล้วเหตุไฉนครั้งนี้ถึงต้องยืนรออยู่ด้านนอกจวนด้วย?

แปลกคนจริง ๆ

หลินเป่ยเฉินลุกขึ้นและเดินออกไปพบผู้มาเยือน

หลังจากนั้นไม่นาน เด็กหนุ่มและขันทีเฒ่าก็พูดคุยกันอย่างหัวเราะเฮฮา ก่อนจะโดยสารรถม้าเดินทางมุ่งหน้าสู่ตำหนักส่วนพระองค์

สถานทูตจักรวรรดิจี้กวง

“องค์ชายขอรับ กระหม่อมขอแนะนำให้พระองค์ทรงนำองค์หญิงรีบเดินทางกลับจักรวรรดิของเราโดยเร็วที่สุด”

เอกอัครราชทูตเว่ยชงเฟิงกล่าวด้วยความร้อนรนเล็กน้อย

ก่อนหน้านี้ ความตายของอวี้ซือไป๋ในการประลองเดิมพันชีวิตทำให้สถานการณ์ของจักรวรรดิจี้กวงย่ำแย่ก็จริง แต่ฝ่ายเป่ยไห่ก็เสียหายใหญ่หลวงไม่แพ้กันด้วยความตายของหลินเป่ยเฉิน

แต่บัดนี้เล่า?

หลังได้รับทราบรายละเอียดเรื่องที่จีหวูชวงไปคุกเข่าอยู่หน้าจวนซางจั้วหยวน ขวัญกำลังใจของผู้คนในสถานฑูตจักรวรรดิจี้กวงก็มลายหายไปหมดสิ้น

ขณะนี้ ทุกคนตกอยู่ภายใต้ความหวาดกลัว

ด้วยความอำมหิตของหลินเป่ยเฉิน หากเขาไม่คิดไว้ชีวิตผู้คนชาวจี้กวงในสถานทูตแห่งนี้ขึ้นมา พวกเขาจะทำอย่างไรดี?

มีแต่ต้องรีบหลบหนีไปก่อนเท่านั้นจึงเป็นการดีที่สุด

โดยเฉพาะผู้ที่มีตำแหน่งสูงส่งอย่างองค์ชายอวี่ ในสถานการณ์คับขัน องค์ชายไม่ควรมายืนอยู่ในสถานที่อันตรายเช่นนี้เลย

หากสูญเสียองค์ชายไปอีกคน จักรวรรดิจี้กวงก็จะต้องเผชิญหน้ากับหายนะใหญ่หลวงที่แท้จริง

เมื่อได้ยินคำแนะนำของเว่ยชงเฟิง องค์ชายอวี่ก็เลือกที่จะนิ่งเงียบ

ตัวเขาเองนั้นไม่กลัวตาย

ความตายหาได้มีความสำคัญต่อเขาไม่

แต่หากเลือกอยู่ต่อ ยังจะมีประโยชน์อีกสักแค่ไหน?

เขาหันหน้ามองไปทางบุตรสาว

องค์หญิงอวี่เค่อกอดตุ๊กตาอยู่ในอ้อมแขน ยิ้มแย้มอ่อนหวาน เงยหน้าขึ้นมาพูดว่า “ท่านพ่อไม่ต้องเป็นกังวล ตัวข้านั้นได้พูดคุยกับท่านพี่หลินไว้ก่อนหน้านี้แล้ว นางจะช่วยปกป้องพวกเราเอง”

ดวงตาขององค์ชายอวี่พลันเป็นประกายวาวโรจน์

เจดีย์เซียนเหยียบเมฆ

จูจวิ้นหลานกำลังจะบ้าตาย

หากเกออู๋โหยวไม่คอยห้ามปรามเอาไว้ เกรงว่าเจดีย์แห่งนี้คงถูกจูจวิ้นหลานพังทลายไม่เหลือชิ้นดี

“ข้าถูกหลอก ข้าถูกหลอก”

“เจ้าตัวบัดซบซุนซิงเจ๋อมันกล้าหลอกข้าได้อย่างไร?”

“นี่คือการต้มตุ๋น พวกมันตั้งใจหลอกลวงข้า!!”

“ข้าจะต้องแก้แค้นให้ได้ ต่อให้ต้องตายข้าก็ยอม”

จูจวิ้นหลานเงยหน้าส่งเสียงคำรามคอแทบแตก

ไม่ต่างไปจากสุนัขป่าที่บ้าคลั่ง

นับตั้งแต่ที่รู้ข่าวว่าหลินเป่ยเฉินยังไม่ตาย จูจวิ้นหลานก็เป็นเช่นนี้มาตลอด

เกออู๋โหยวได้แต่นั่งอยู่ข้าง ๆ จิบน้ำชาอยู่ในความเงียบ คร้านที่จะปลอบโยนจูจวิ้นหลานอีกต่อไป

ความจริง เขาเป็นห่วงจูจวิ้นหลานมากทีเดียว

ไม่ได้ห่วงว่าอีกฝ่ายกำลังจะเสียสติ

แต่ห่วงว่าอีกฝ่ายกำลังเสแสร้งแกล้งเสียสติต่างหาก

นับยอดรวมจนถึงบัดนี้ จูจวิ้นหลานติดหนี้เกออู๋โหยวเป็นศิลาบูชาทั้งสิ้น 2,200 ก้อนเข้าไปแล้ว

ซ้ำมันยังเป็นศิลาบูชาที่เป็นของภรรยาเกออู๋โหยวอีกด้วย

หากจูจวิ้นหลานเสแสร้งแกล้งเสียสติไม่ยอมชดใช้จะเกิดอะไรขึ้น?

เฮ้อ รู้เช่นนี้ไม่น่าให้ยืมตั้งแต่แรกก็ดีหรอก

โชคดีที่หลินเป่ยเฉินไม่ตาย

มิหนำซ้ำ ยังเหลือความน่ากลัวมากพอที่จะทำให้จีหวูชวงไปนั่งคุกเข่าได้อีก

ช่างน่ากลัวเหลือเกิน

เกออู๋โหยวนึกทบทวนความทรงจำอย่างละเอียดรอบคอบว่าระหว่างตนเองกับหลินเป่ยเฉินนั้น ดูเหมือนจะไม่เคยมีความขัดแย้งกันมาก่อน และเขาก็ไม่เคยพูดจาดูถูกดูหมิ่นคุณชายหลินเสียด้วย ดังนั้น เกออู๋โหยวจึงรู้สึกเบาใจขึ้นมาไม่น้อย

‘สงสัยคงต้องหาโอกาสเชิญหลินเป่ยเฉินมารับประทานมื้อค่ำด้วยกันสักมื้อ และพูดว่าจะขึ้นเงินเดือนให้เขาสักหน่อยดีหรือไม่?’

เกออู๋โหยวกำลังคิดวางแผนการอยู่ในใจ

ทันใดนั้นมีเสียงเคาะประตูดังขึ้น

เกออู๋โหยวหนาวเย็นไปถึงขั้วหัวใจ

ผู้ใดมาอีกแล้ว?

ไม่รู้เพราะเหตุใด ช่วงนี้ได้ยินเสียงเคาะประตูทีไร หัวใจของเกออู๋โหยวก็ต้องกระตุกวูบด้วยความรู้สึกหวาดหวั่นทุกที