ตอนที่ 957 อาจารย์ที่พึ่งพาไม่ค่อยได้
“เป็นผู้ใดมา? ใช่จอมหลอกลวงซุนซิงเจ๋อหรือไม่?”
จูจวิ้นหลานรีบวิ่งไปที่ประตูราวกับเป็นสุนัขบ้า
เกออู๋โหยวได้แต่รีบติดตามไป
เมื่อเปิดประตูแล้ว พวกเขาถึงได้เห็นชายวัยกลางคนท่าทางสง่างามผู้หนึ่งยืนรออยู่ด้านนอก
ชายวัยกลางคนผู้นี้มีร่างผอมสูง แต่ช่วงไหล่กับช่วงเอวอุดมด้วยมัดกล้าม สวนทางกับสองขาที่เรียวยาว แต่เมื่อประกอบร่วมกับอวัยวะอื่น ๆ ทั่วร่างกาย ชายวัยกลางคนผู้นี้กลับมีความสมส่วนอย่างประหลาด
ดวงตาของเขาเป็นประกายสดใส แต่ก็แฝงไว้ด้วยปริศนาบางอย่าง คิ้วหนา แก้มแดง จมูกโด่ง ริมฝีปากบาง นับว่าเป็นบุคคลที่หล่อเหลาคนหนึ่ง เมื่อประกอบกับชุดบัณฑิตสีน้ำเงินเข้มและอัญมณีที่คาดอยู่บริเวณหน้าผาก รวมไปถึงกระบี่ไร้ฝักที่แขวนอยู่ข้างเอว ชายวัยกลางคนผู้นี้จึงดูมีเสน่ห์เป็นอย่างยิ่ง…
รูปลักษณ์ของชายวัยกลางคนให้ความรู้สึกเหมือนกับเขาเป็นมือกระบี่พเนจรที่ออกท่องยุทธภพเพื่อช่วยเหลือผู้คน
และเมื่อเห็นหน้าผู้มาเยือน ทั้งจูจวิ้นหลานกับเกออู๋โหยวต่างก็ต้องตกตะลึงไปตาม ๆ กัน
“อ้อ… ที่แท้ก็เป็นใต้เท้าถังนี่เอง…”
จูจวิ้นหลานประสานมือคำนับโดยไม่รู้ตัว
เกออู๋โหยวเองก็อุทานออกมาด้วยความตกใจว่า “อะ… อาจารย์ เหตุไฉนท่านถึงกลับมาเร็วนัก?”
ชายวัยกลางคนผู้นี้ก็คือถังกงเยวียนผู้ดูแลเจดีย์เซียนเหยียบเมฆแห่งจักรวรรดิเป่ยไห่
“อ้าว ข้าอุตส่าห์รีบกลับมาทั้งที เหตุไฉนลูกศิษย์ถึงทำหน้าเช่นนี้ อย่าบอกนะว่าเจ้าไม่อยากต้อนรับข้า?”
ชายวัยกลางคนพูดพร้อมกับยิ้มแย้มโปรยเสน่ห์ มาดของมือกระบี่พเนจรผู้ผดุงความยุติธรรมสลายหายไปหมดสิ้น
“เอ่อ…”
หัวคิ้วของเกออู๋โหยวขมวดมุ่น เขาพยายามควบคุมอาการของตนเองขณะถามว่า “ศิษย์ขอสอบถามอาจารย์ เป็นท่านไปเที่ยวเล่นกินดื่มสุราเคล้านารีจนเป็นหนี้เป็นสินท่วมหัวอีกแล้วใช่หรือไม่? ท่านไม่มีที่ไปจึงเลือกกลับมาที่นี่?”
“ศิษย์ที่ไหนเขาพูดกับอาจารย์เช่นนี้?” ชายวัยกลางคนชักสีหน้าด้วยความรำคาญใจ
เกออู๋โหยวยังคงถลึงตามองอาจารย์ของตนเองไม่พูดคำใด
ถังกงเยวียนจึงได้แต่หัวเราะแหะ ๆ ตอบว่า “เอ่อ… ลูกศิษย์ที่น่ารักของข้าเดาถูกอีกแล้ว นับว่าไม่มีใครรู้จักอาจารย์มากไปกว่าเจ้าจริง ๆ ถูกต้อง อาจารย์ติดหนี้คนในยุทธภพอยู่มากมาย กราบเรียนลูกศิษย์ที่เคารพรัก อาจารย์ขอยืมศิลาบูชาสัก 500 ก้อนก่อนได้หรือไม่ อาจารย์จะนำไปใช้หนี้พวกเขา”
เมื่อรับฟังมาถึงตรงนี้ เกออู๋โหยวก็มีสีหน้าเคร่งเครียดขึ้นมาทันที
“ศิษย์หมดตัวแล้วขอรับ”
เขาชี้ไปที่จูจวิ้นหลานและพูดต่อ “เป็นเขายืมศิลาบูชาไปจากศิษย์หมดแล้ว”
กล้ามเนื้อบนใบหน้าจูจวิ้นหลานกระตุกระริก
เมื่อถูกเอ่ยถึงเช่นนี้ เขาก็ไม่รู้จะหาทางออกอย่างไรอีกแล้ว
ก่อนหน้านี้ จูจวิ้นหลานยังหาคำตอบไม่ได้ว่าเพราะเหตุใด ผู้มีพลังระดับเซียนขั้นเหรียญทองคำถึงสามคนต้องมาหลอกลวงเขาด้วย แต่บัดนี้ ดูท่าว่าจะมีปัญหาใหม่เกิดขึ้นอีกแล้วกระมัง?
“อ้อ?”
ถังกงเยวียนหันมามองหน้าจูจวิ้นหลาน แล้วสอบถามว่า “คุณชายจู ท่านยืมศิลาบูชาไปจากศิษย์ที่น่าสงสารของข้าจริง ๆ หรือ? ไม่ทราบว่าท่านไปติดหนี้หอนางโลมหรือบ่อนพนันแห่งไหนกัน เหตุไฉนถึงได้ใช้ศิลาบูชาจนหมดตัวเช่นนี้?”
จูจวิ้นหลานมีสีหน้าดำคล้ำยิ่งกว่าก้อนถ่านเผาไฟ
“พวกท่านศิษย์อาจารย์คุยกันไปเถิด ข้าขอตัวกลับก่อน”
จูจวิ้นหลานหมุนตัวเดินออกมาดื้อ ๆ
เมื่อเกออู๋โหยวนำอาจารย์ของตนเองเข้ามานั่งพักในเจดีย์เซียนเหยียบเมฆและหาอาหารรวมถึงเครื่องดื่มให้รับประทาน ถังกงเยวียนก็เริ่มสอบถามเรื่องราวพร้อมกับรับประทานอาหารไปด้วยอย่างตายอดตายอยาก “เจ้าบอกอาจารย์หน่อยสิว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่? เหตุไฉนเจ้าถึงต้องให้ศิลาบูชาเขาไปจนหมดตัว นี่คือเรื่องที่อาจารย์ไม่เข้าใจเลยจริง ๆ”
“ศิษย์แค่ให้ยืมขอรับ”
เกออู๋โหยวตอบด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “แต่เขาให้ดอกเบี้ยสูงมาก”
หลังจากนั้น ชายหนุ่มก็บอกเล่าเรื่องราวทุกอย่างที่เกิดขึ้นในนครหลวงให้ผู้เป็นอาจารย์รับฟัง
“นี่ข้าพลาดเรื่องสนุกไปเยอะขนาดนี้เชียวหรือ?” ผู้พิทักษ์ถังกงเยวียนแสดงสีหน้าเสียใจออกมาเล็กน้อย “เห็นทีต่อจากนี้ไป ข้าคงออกจากเป่ยไห่ไม่ได้แล้ว”
“นั่นเป็นเพราะท่านติดหนี้ผู้คนในยุทธภพจนออกไปไหนไม่ได้ต่างหาก” เกออู๋โหยวพูดด้วยน้ำเสียงสั่งสอน “อาจารย์บอกให้ศิษย์ได้รับทราบหน่อยเถิดว่าครั้งนี้ เป็นท่านไปติดหนี้บุญคุณหรือไปติดหนี้เงินทองผู้ใดอีก?”
“ศิษย์พูดกับอาจารย์เช่นนี้ก็ได้หรือ?”
ถังกงเยวียนพูดด้วยความฉุนเฉียว “ครั้งนี้อาจารย์กลับมาทำภารกิจต่างหาก เจ้ารู้หรือไม่ว่าการประเมินลำดับจักรวรรดิที่กำลังจะมาถึง อาจารย์ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นหัวหน้าผู้ตรวจสอบ โอกาสทำเงินครั้งใหญ่ของพวกเรามาถึงแล้ว ฮ่า ๆๆ ครั้งนี้แหละ อาจารย์จะบดขยี้ตระกูลของหลี่เซวียฉินให้จงได้”
หลี่เซวียฉินคือชื่อจริงขององค์จักรพรรดิแห่งจักรวรรดิเป่ยไห่
มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่รับทราบ
และในกลุ่มไม่กี่คนเหล่านั้น ยังมีอีกเพียงไม่กี่คนที่กล้าเรียกขานชื่อนี้ออกมาจากปาก
ถังกงเยวียนย่อมต้องเป็นหนึ่งในนั้นอย่างไม่ต้องสงสัย
“หากศิษย์จำไม่ผิด นามของหลี่เซวียฉินที่อาจารย์ชอบเอ่ยถึงผู้นี้ ก็คือองค์จักรพรรดิแห่งจักรวรรดิเป่ยไห่ใช่หรือไม่?” เกออู๋โหยวถามด้วยน้ำเสียงแสดงความโศกเศร้า “และอาจารย์ก็ยังติดเงินเขาอยู่เป็นจำนวนมากมายมหาศาลเช่นกัน”
ผู้พิทักษ์เจดีย์ถังกงเยวียนตอบกลับมาหน้าตาเฉยว่า “เรื่องส่วนตัวก็คือเรื่องส่วนตัว หน้าที่ก็คือหน้าที่ คนเราจะเอาเรื่องส่วนตัวมาปะปนกับหน้าที่ไม่ได้เด็ดขาด”
เกออู๋โหยวพูดอะไรไม่ออกอีกแล้ว
ถ้อยคำเช่นนี้ อาจารย์ของเขาสามารถพูดออกมาด้วยความภูมิอกภูมิใจได้อย่างไรกันนะ?
ชายหนุ่มนิ่งเงียบอยู่เนิ่นนาน ก่อนจะนึกอะไรขึ้นมาได้
“เดี๋ยวก่อนนะขอรับ อาจารย์มีภาพลักษณ์เป็นบุคคลเสเพลหน้าด้านไร้ยางอายปราศจากความรับผิดชอบเช่นนี้ เหตุไฉนจึงได้รับการแต่งตั้งเป็นหัวหน้าผู้ตรวจสอบการประเมินลำดับจักรวรรดิเป่ยไห่ได้เล่า?”
เกออู๋โหยวรู้สึกราวกับว่าตนเองได้ค้นพบเรื่องราวมหัศจรรย์บางอย่าง
ถังกงเยวียนหัวเราะด้วยความชอบใจ “นั่นเป็นเพราะว่าอาจารย์ของเจ้ามีเสน่ห์มากเกินไป”
สังหรณ์อัปมงคลปรากฏขึ้นในหัวใจของเกออู๋โหยว ชายหนุ่มลังเลเล็กน้อยก่อนถามว่า “อาจารย์ไปหว่านเสน่ห์ใส่สตรีที่อยู่ในคณะทูตจากกลุ่มพันธมิตรจักรวรรดิส่วนกลาง ก่อนมอมเหล้านางและให้นางแต่งตั้งท่านเป็นหัวหน้าผู้ตรวจสอบใช่หรือไม่?”
ถังกงเยวียนเบิกตาโตด้วยความตกตะลึง “เจ้ารู้ได้อย่างไร?”
หลังจากนั้น ผู้เป็นอาจารย์ก็รีบอธิบายว่า “แต่นอกจากเรื่องนี้แล้ว ระหว่างข้ากับนาง ไม่มีอะไรเกินเลยมากกว่านั้น”
เกออู๋โหยวถึงกับพูดอะไรไม่ออกอีกครั้ง
เขาเริ่มมีความคิดขึ้นมาแล้วว่าตนเองสมควรออกจากเจดีย์เซียนเหยียบเมฆของจักรวรรดิเป่ยไห่ และไปหาที่สงบ ๆ ซ่อนตัวอยู่สักพักใหญ่
หากเกออู๋โหยวจำไม่ผิด คณะทูตจากกลุ่มพันธมิตรจักรวรรดิส่วนกลางมีสตรีเดินทางมาด้วยแค่คนเดียวเท่านั้น และนางก็เดินทางมาพร้อมกับสามี ซึ่งสามีของนางนอกจากมีตำแหน่งใหญ่โตแล้ว ยังมีวิทยายุทธ์แกร่งกล้าอีกด้วย หากสามีของนางมาตามเอาเรื่องอาจารย์ของเขา เกออู๋โหยวผู้เป็นลูกศิษย์ก็ต้องได้รับความเดือดร้อนไปด้วยไม่ใช่หรือ?
“ไม่ต้องห่วง มันไม่ใช่อย่างที่เจ้าคิดหรอก”
ถังกงเยวียนพยายามอธิบายด้วยความมั่นใจ
เกออู๋โหยวจำต้องเชื่ออย่างไม่เต็มใจ
เหตุผลหลักก็คือ เขาคิดไม่ออกว่าตนเองจะสามารถหลบหนีไปที่ไหนได้อีก
“เจ้าไปเอาประวัติของผู้มีพลังระดับเซียนขั้นเหรียญทองคำทั้งสี่คนนั้นมาให้อาจารย์ดูหน่อยซิ อาจารย์อยากจะตรวจสอบอะไรสักหน่อย” ถังกงเยวียนพูดหลังจากรับประทานอาหารหมดเกลี้ยง “ว่าแต่การประเมินลำดับจักรวรรดิในครั้งนี้ เจ้าวางแผนงานว่าอย่างไรบ้างล่ะ?”
“ว่าไงนะขอรับ? ศิษย์ต้องเป็นคนวางแผนงาน?” เกออู๋โหยวกะพริบตาปริบ ๆ “ไม่กะทันหันเกินไปหน่อยหรือ?”
“อ้าว?”
ถังกงเยวียนหันกลับมามองหน้าลูกศิษย์ของตนเองด้วยความฉงน “หากไม่ใช่เจ้า แล้วยังจะเป็นผู้ใดได้อีก?”
นับว่าเกออู๋โหยวพูดอะไรไม่ออกแล้วจริง ๆ
…
“ฮ่า ๆๆ ข้า องค์จักรพรรดิของจักรวรรดิเป่ยไห่ ขอมอบกระบี่วิญญาณมรกตเล่มนี้ให้กับเจ้า”
ในห้องโถงใหญ่ของตำหนักบริหาร ชายวัยกลางคนผู้เป็นองค์จักรพรรดิของจักรวรรดิเป่ยไห่กำลังสอบถามด้วยน้ำเสียงหนักแน่นและจริงใจว่า “ครั้งนี้เจ้าทำให้ข้าประหลาดใจได้จริง ๆ ข้าอยากจะมอบรางวัลให้กับเจ้า บอกมาสิ เจ้าต้องการสิ่งใด?”