ตอนที่ 745 เราต้องการให้เจ้าตาย

ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง

เดิมทีหยวนเมิ่งคิดว่าจะต้องเผชิญกับความทุกข์ทรมานบางอย่าง แต่ว่าพอตราประทับเข้าไปในร่างกาย นางกับไม่รู้สึกอะไรทั้งสิ้น 

 

 

แค่นี้ก็ได้แล้วหรือ? 

 

 

แน่นอนว่าไม่ใช่ 

 

 

จีเฉวียนยังคงยืนอยู่ข้างกายนาง ในแววตามีแต่แสงที่เย็นยะเยือก แม้แต่น้ำเสียงที่เอ่ยออกมาก็ฟังแล้วเหน็บหนาวยิ่งไปกว่าเดิม 

 

 

“คนที่สามารถกลายเป็นยมราช ล้วนแล้วแต่เป็นคนตาย” 

 

 

หยวนเมิ่ง “ข้า….สำนึกเสียใจตอนนี้ยังทันหรือไม่?” 

 

 

กว่าจะได้มาเกิดใหม่อีกครั้งมิใช่เรื่องง่าย จึงไม่ค่อยอยากจะตายเท่าไหร่ จริงๆนะ 

 

 

“ร่างเนื้อตายไป เกิดใหม่ผ่านไฟ จึงจะเป็นชีวิตใหม่” 

 

 

ลมพัดเข้ามาทางหน้าต่าง เป่าเส้นผมจนพลิ้วออกไป จีเฉวียนปรายตามองดูหยวนเมิ่งแวบหนึ่ง “เจ้าเป็นเผ่ามาร เมื่อจะกลายเป็นสิบยมราช ย่อมต้องชำระล้างไอมารในกายทิ้งไป ละทิ้งรากฐานของจิตมาร ก้าวผ่านความเจ็บปวดที่ร่างแหลกเหลวกระดูกย่อยยับ จึงจะสำเร็จ” 

 

 

หยวนเมิ่งนั่งหลังตรงอย่างเอาจริงเอาจัง ศักดิ์ฐานะของนางในเผ่ามาร แม้ผ่านการไปเกิดใหม่ก็ยังไม่อาจเปลี่ยนแปลงไป เช่นนี้แล้วจะชำระกาย ละทิ้งรากฐานแห่งจิตมารได้อย่างไร 

 

 

ร่างแหลกกระดูกย่อยยับอะไรนั่น ฟังดูช่างน่ากลัว แต่ว่าก็เป็นเพียงแค่ชั่วขณะ 

 

 

ชาติก่อนตอนที่เผ่ามารล่มสลาย นางก็มิใช่ว่าร่างแหลกกระดูกย่อมยับมาแล้วหรือ? 

 

 

คิดๆดูแล้ว แม้แต่ความน่ากลัวเช่นนั้นก็ยังผ่านมาจนจำไม่ได้แล้ว สิ่งที่เจ็บปวดที่สุดในหัวใจของนาง คือช่วงเวลาที่ติดตามอยู่ข้างกายซือหนานตลอดหลายหมื่นปีนั้น 

 

 

เขาไม่ได้ยินและไม่เห็นนาง นางอยู่อย่างโดดเดียวเพียงลำพัง 

 

 

ความโดดเดี่ยวที่ไร้สิ้นสุดเช่นนั้นต่างหากจึงจะเป็นเรื่องที่น่าหวาดกลัวที่สุด 

 

 

ความตายหรือน่ากลัวเท่าความโดดเดี่ยวนับหมื่นปีได้? 

 

 

นางคิดดูแล้ว ก็พยักหน้าติดๆกัน “ฝ่าบาททรงต้องการให้ข้าทำเช่นไร?” 

 

 

จีเฉวียนปรายตามองดูแวบหนึ่ง เอ่ยอย่างเย็นชาเพียงไม่กี่คำ “เราต้องการให้เจ้าตาย” 

 

 

……………… 

 

 

พระตำหนักตี้หัวกง ทันทีที่จีเฉวียนกลับมาถึง ตู๋กูซิงหลันก็กระโดดเข้าไปหาเป็นคนแรก 

 

 

พอเข้าไปอยู่ในอ้อมกอดได้ก็ระดมจูบอย่างไม่ยั้ง 

 

 

คู่แต่งงานข้าวใหม่ปลามันย่อมอยากจะพัวพันกันทั้งวัน แยกยังไงก็แยกไม่ออก 

 

 

ตู๋กูซิงหลันรู้สึกเหมือนตนเองเป็นฮ่องเต้ที่มัวเมา พอมีคนงามแล้ว ฮ่องเต้ก็ไม่คิดจะว่าราชการอีก 

 

 

“เสี่ยวเฉวียนเฉวียน นางตกลงแล้วหรือ?” 

 

 

หลังจูบไปหลายรอบ ตู๋กูซิงหลันค่อยถามออกไป 

 

 

เรื่องอย่างอยากให้คนไปตาย คนทั่วไปคงรับไม่ไหว  

 

 

“อืม” จีเฉวียนถอดเสื้อคลุมชั้นนอกออก พอเจอตู๋กูซิงหลัน ดวงตาที่เคยเย็นชาเป็นน้ำแข็งก็หลอมละลาย เหลือแต่ความอบอุ่น 

 

 

“สมแล้วที่เป็นเสี่ยวเฉวียนเฉวียน มีความสามารถสูงส่งจริงๆ” 

 

 

ตู๋กูซิงหลันหัวเราะออกมา นางคลายมือออกจากจีเฉวียน นั่งลงบนเบาะนุ่มที่วางอยู่ด้านข้าง ยกสองขาไขว่ห้าง มือเท้าคางมองดูจีเฉวียน “เจ้าว่า พี่ใหญ่ที่ไม่ได้เรื่องของข้า พอเห็นเสี่ยวหยวนหยวนตายลงตรงหน้าเขาอีกครั้ง จะรู้สึกเช่นไร?” 

 

 

จีเฉวียนเดินตรงมา โอบคนเข้าไปในอ้อมอก มือก็ไล้ลงไปบนสันจมูกของนางเบาๆ “ข้ารู้แต่ว่า เจ้ามันเป็นตัวน้อยที่ร้ายกาจอย่างมาก” 

 

 

“พวกเราสองคนล้วนพอๆกัน ไม่จำเป็นต้องแบ่งแยกไป” ตู๋กูซิงหลันยักคิ้ว “มิใช่เจ้าบอกว่า ใช้แผนซ้อนแผนหรือไง” 

 

 

ในเมื่อคนบนแดนสวรรค์เฝ้าค้นหาแต่หยวนเมิ่ง เช่นนั้นก็ส่งหยวนเมิ่งออกไปเสียเลย 

 

 

พวกมันต้องการนำตัวหยวนเมิ่งไปสังเวยจอมมารมิใช่หรือ? 

 

 

พอดีเลย ตอนที่ถูกนำไปสังเวยไอมารทั้งหมดในร่างของนางต้องถูกสูบออกไปจนหมดสิ้น จากนั้นฉีกร่างป่นกระดูก พอไอมารทั้งหมดสูญสิ้นไป ใต้หล้านี้ก็จะได้ไม่ต้องมีองค์หญิงเผ่ามารอีกแล้ว 

 

 

แต่จะเพิ่มหนึ่งในสิบยมราชผู้หนึ่งขึ้นมาแทน นั่นก็คือหยวนเมิ่ง 

 

 

ส่วนพวกนางก็จะจัดการกับจอมมารที่พึ่งจะถูกปลดปล่อยออกมา กลายเป็นวีรบุรุษที่กำจัดภัยร้ายอย่างเหนือคาด 

 

 

แผนการณ์นี้ดีมากเลย 

 

 

“ข้านะ อยากจะสั่งสอนพี่ใหญ่ที่ไม่ค่อยได้เรื่องของข้าสักหน่อย มัวแต่ซ้ายๆขวาๆไม่รู้จักตัดสินใจทำอะไรลงไปอยู่นั่น แบบนี้คนเป็นน้องสาวจะปล่อยเอาไว้ได้อย่างไร ไม่เช่นนั้นเกรงว่าชาตินี้ทั้งชาติเขาคงไม่ทันได้เรื่องอะไรทั้งสิ้น” 

 

 

“สงสารก็แต่เสี่ยวหยวนหยวนของข้า ครั้งนี้คงต้องถูกรังแกอย่างย่ำแย่แล้ว” 

 

 

เพราะว่าร่างเนื้อตาย……จะอย่างไรก็นับเป็นการตาย มันก็ต้องเจ็บนะสิ 

 

 

จีเฉวียนฟังนางบ่นพึมพำกับตนเอง เจ้าตัวน้อยนี้มันสมองช่างยอดเยี่ยม นิสัยก็ร้ายน่าดู 

 

 

แต่ว่าเขากลับชอบ ทั้งยังหลงรักจนสุดใจ 

 

 

“ซิงซิง เจ้ามักจะใส่ใจกับเรื่องของผู้อื่นอยู่เรื่อย สมควรเอาเวลามาใส่ใจเรื่องของพวกเราจึงจะถูก” 

 

 

จีเฉวียนกอดนางเอาไว้ วางคางลงบนบ่าของนาง สูดดมกลิ่นหอมของดอกฮว๋ายจากกายนาง จนรู้สึกปลอดโปร่งไปทั้งตัว 

 

 

“อะไรกัน?” ตู๋กูซิงหลันลองคิดดู ตอนนี้พวกนางอยู่ด้วยกันทุกวัน แม้แต่เรื่องของราชการบ้านเมืองนางก็ทำแต่น้อย แล้วยังจะไม่ใส่ใจอีกหรือ 

 

 

จีเฉวียน “ย่อมต้องเป็นเรื่องให้กำเนิดลูกอยู่แล้ว พวกเราแต่งงานกันมาครึ่งเดือนแล้วนะ เจ้าก็ยังไม่ตั้งครรภ์เสียที ดูท่าข้าคงจะไม่ขยันเพียงพอ” 

 

 

ตู๋กูซิงหลัน “! ! !” 

 

 

เดี๋ยวก่อนพี่ชาย เจ้าก็รู้นี่ว่าพวกเราพึ่งจะแต่งงานกันมาได้แค่ครึ่งเดือนเท่านั้นเอง! 

 

 

พอเห็นว่าจีเฉวียนกำลังพุ่งเข้ามา ตู๋กูซิงหลันก็รีบส่ายศีรษะ “ไม่ไม่ไม่ พี่ชาย ท่านขยันจนเกินพอแล้ว จริงๆนะ!” 

 

 

ตลอดครึ่งเดือนมานี้ยังไม่เคยหยุดพักเลย ดูสิว่านางต้องโดนไปแล้วมากแค่ไหน? 

 

 

เด็กทารกจะเกิดก็ต้องเริ่มจากเป็นตัวอ่อนก่อนมิใช่หรือ? 

 

 

หากพี่ชายท่ายยังขยันขันแข็งกว่านี้ ดูท่าทางนางคงจะต้องพรุนไปก่อนแล้ว ขอบคุณนะ! 

 

 

จะว่าไป เรื่องตั้งครรภ์เนี่ย มันจะต้องรีบร้อนอะไรขนาดนั้น? 

 

 

“ข้ามีความฝันอย่างหนึ่งมาตลอด” จีเฉวียนไม่ยอมปล่อยนาง ริมฝีปากบางคู่นั้นกระซิบอยู่ที่ริมใบหูของนาง เอ่ยเบาๆว่า “รอให้ทุกอย่างจบเรียบร้อยแล้ว ก็จะพาเจ้าไปเที่ยวชมภูเขาและสายน้ำ เสาะหาโลกที่สงบสุข ใช้ชีวิตอยู่กับเจ้าตามลำพังสองคน” 

 

 

ที่จริงสถานที่เช่นนั้น จีเฉวียนตระเตรียมเอาไว้กว่าครึ่งแล้ว นั่นเป็นสถานที่พิเศษเพื่อเขาและซิงซิงโดยเฉพาะ 

 

 

“ดังนั้นเฉพาะหน้านี้ พวกเราจะต้องคลอดลูกออกมาให้มากๆหน่อย ให้พวกเขามารับสืบทอดทั้งแผ่นดินแห่งนี้ และเผ่าหมิงไป พอโลกสงบสุข พวกเราจะได้วางมือเสียที” 

 

 

ตู๋กูซิงหลันตะลึงกับคำพูดของเขาจนหัวใจวาบหวามไปหมด 

 

 

เรื่องทั้งหมด ใกล้จะจบแล้วจริงๆหรือ? 

 

 

นางกำมือเป็นหมัดน้อยๆ ทุบลงไปบนอกของจีเฉวียนสองที “ลูกมีเอาไว้รักถนอม ไม่ใช่ใช้เป็นเครื่องมือทำงาน เรื่องที่ต้องทำสมควรให้พวกเราที่เป็นผู้ใหญ่จัดการต่างหาก” 

 

 

“ข้าจะรักถนอมแต่เจ้าคนเดียว” จีเฉวียนกุมมือของนางเอาไว้แน่น จากนั้นก็ผลักคนลงไป 

 

 

ส่วนพวกลูกๆนั้น ต่อให้เป็นลูกของเขาและนาง ในสายตาของจีเฉวียนก็ยังไม่อาจเทียบได้กับนิ้วมือเพียงนิ้วเดียวของตู๋กูซิงหลัน 

 

 

ในโลกมนุษย์มีคำกล่าวอยู่คำหนึ่ง เขาเห็นด้วยอย่างยิ่ง 

 

 

พ่อกับแม่คือรักแท้ ส่วนลูกนั้นไม่เกี่ยว 

 

 

ถึงแม้ว่าลูกของพวกเขานั้นจะเกิดจากความจงใจของพวกเขาก็ตาม…. 

 

 

…………. 

 

 

ความเคลื่อนไหวของซือเป่ยนั้นรวดเร็วอย่างยิ่ง 

 

 

พอตรวจสอบฐานะของหยวนเมิ่งได้อย่างแน่ชัด วันที่สามเขาก็มาด้วยตนเอง 

 

 

คืนนี้เป็นคืนมืดที่ลมพายุพัดแรง หิมะและฝนตกปะปนกัน 

 

 

คล้ายกับคืนวันที่พวกเขาอยู่ที่หุบเขาปีศาจอย่างยิ่ง 

 

 

พักนี้ตู๋กูจุนมักจะจิตใจไม่สงบอยู่เสมอ เขามักจะฝันถึงหยวนเมิ่งและคิดถึงหลีเกออยู่บ่อยๆ ดังนั้นคืนนี้จึงมาที่ด้านนอกของตำหนักฉางซินเตี้ยนอีกแล้ว 

 

 

ต้นซิงที่ปลูกเอาไว้ตรงประตูตำหนัก ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร ก่อนหน้านี้ก็ยังผลิบานอย่างงดงามอยู่เลย ตอนนี้อยู่ๆก็เฉาเสียแล้ว 

 

 

เขาพึ่งจะชะงักไปครู่หนึ่ง ก็ได้ยินเสียงสตรีตะโกนร้องดังๆออกมาจากในตำหนัก 

 

 

ตู๋กูจุนเหาะเข้าไปโดยไม่แม้แต่จะคิดในทันที 

 

 

พึ่งจะเข้าไป ก็เห็นหยวนเมิ่งถูกคนแขวนเอาไว้บนบ่า 

 

 

ร่างในชุดเกราะสีทองทั่วร่างนั้น หันหลังให้กับเขา 

 

 

ตู๋กูจุนพึ่งจะไปถึง ดาบยักษ์ในมือก็บินออกไปก่อนเขาก้าวหนึ่งแล้ว 

 

 

พลังดาบที่รุนแรงทำลายกำแพงจนร่วงลงมาเป็นสองส่วน แต่ว่าคนผู้นั้นก็ไม่คิดจะใช้ไม่แข็งจัดการกับเขา เขาแบกหยวนเมิ่งเอาไว้ จากนั้นก็หายสาบสูญไปทั้งร่างราวกับควัญสายหนึ่ง 

 

 

ก่อนที่จะหายไปนั้น ใบหน้านั้นได้หันด้านข้างมาหาเขา และเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชากับตู๋กูจุนคำหนึ่ง 

 

 

“พี่ชาย จากกันนานสบายดีหรือ”