ตอนที่ 746 ข้ากลัวนางจะตาย

ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง

เมื่อตู๋กูจุนไล่ตามไปถึง หมอกสีดำกลุ่มนั้นก็สลายไปหมดจนเหลือเพียงควันบางเบาและห้องที่ว่างเปล่า สิ่งที่เหลืออยู่มีเพียงกลิ่นหอมอ่อนๆของหยวนเมิ่งเท่านั้น 

 

 

เขาล้วงเอาดาบยักษ์ออกมาจากซอกกำแพงที่พังทลายเป็นสองส่วนไปแล้ว แววตามีแต่ความโกรธแค้น “ซือเป่ย!” 

 

 

เขาจำไม่ได้แล้วว่าไม่ได้เจอน้องชายฝาแฝดผู้นี้มานานเท่าไหร่แล้ว 

 

 

ตอนที่ได้เห็นเมื่อครู่ ตู๋กูจุนก็ดูออกทันทีว่าในร่างกายของเขามีบางอย่างไม่ถูกต้อง กลิ่นอายของซือเป่ยช่างชั่วร้าย หมอกดำรอบตัวเข้มข้นจนไม่อาจแยกไอมารออกไปได้ 

 

 

เขาปล่อยให้ซือเป่ยมาจับหยวนเมิ่งไปจากใต้หนังตาของตนเอง! 

 

 

ตู๋กูจุนกำด้ามดาบยักษ์เอาไว้แน่น พอออกไปด้านนอกก็พบกับตู๋กูซิงหลัน 

 

 

สายตาของตู๋กูซิงหลันมองผ่านเขาเข้าไปในตำหนักของหยวนเมิ่ง ด้วยสีหน้าที่เคร่งเครียด 

 

 

“เสี่ยวหยวนหยวนตกอยู่ในอันตรายแล้ว” 

 

 

ฝนตกลงมาอย่างหนัก ทำเอาตู๋กูจุนเปียกปอนไปทั้งร่าง เดิมทีจิตใจของเขาก็ร้อนรนอยู่แล้ว พอได้ยินคำพูดของตู๋กูซิงหลัน หัวใจต้องวูบโหวงกว่าเดิม 

 

 

เขาคว้าดาบยักษ์เอาไว้เตรียมจะผลุนผลันออกไป 

 

 

ตู๋กูซิงหลันรั้งเขาเอาไว้ ดวงตาดอกท้อจดจ้องไปที่เขา “พี่ใหญ่ ท่านจะไปที่ไหน?” 

 

 

“แดนสวรรค์” ตู๋กูจุนไม่แม้แต่จะคิด เขารู้จักคนอย่างซือเป่ยดี หยวนเมิ่งถูกเขาจับตัวไป จะต้องถูกทรมานจนย่ำแย่เป็นแน่ 

 

 

หากว่าตนเองชักช้าไปเพียงก้าวหนึ่ง หยวนเมิ่งก็จะถูกทรมานเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งส่วน 

 

 

แค่คิดถึงผลที่จะตามมา เลือดในกายของตู๋กูจุนก็แทบจะจับตัวเป็นน้ำแข็งแล้ว 

 

 

“แดนสวรรค์ใช่จะไปได้ง่ายๆที่ไหนกัน?” ตู๋กูซิงหลันขวางอยู่ด้านหน้าของเขา นางสวมใส่ชุดสีแดง ทั้งร่างมีไอวิญญาณแผ่กระจายออกมา รอบกายกลายเป็นเขตอาคมกึ่งโปรงแสง ผลักไสสายฝนออกไปยังด้านนอก 

 

 

“ยิ่งไปกว่านั้น เป้าหมายของซือเป่ยก็คือพลังของเผ่ามาร เขาวางแผนมาเนิ่นนานแล้ว ทันทีที่ได้ตัวหยวนเมิ่งไป จะต้องรีบนำนางไปสังเวยอย่างไม่รีรอ เพื่อคลายผนึกและปลดปล่อยจอมมารออกมา เพราะฉะนั้นตอนนี้ย่อมไม่ได้อยู่ที่แดนสวรรค์อย่างแน่นอน” 

 

 

ตู๋กูจุนเมื่อครู่ถึงกับขาดสติไปแล้ว พอได้ฟังคำพูดของตู๋กูซิงหลัน เขาก็ค่อยสงบใจลงได้บ้าง 

 

 

ตู๋กูซิงหลันยืนอยู่ข้างกายเขา สองมือกอดอกเอาไว้ ในแววตามีแววหัวเราะ “อย่าว่าแต่ พี่ใหญ่ไม่ได้ชอบเสี่ยวหยวนหยวนไม่ใช่หรือ? แล้วท่านจะร้อนใจไปทำไม?” 

 

 

“เจ้ายังเป็นเด็ก จะไปรู้เรื่องอะไร” ตู๋กูจุนสีหน้าเคร่งเครียด ฝนหนักตกกระทบลงบนใบหน้าของเขา น้ำฝนที่เย็นเฉียบไหลไปตามสันจมูก ปลายคางจนถึงไหปลาร้า 

 

 

“อย่างน้อย ข้าก็เป็นคนที่แต่งงานแล้ว ไม่เหมือนท่านที่ตัวเปล่าเล่าเปลือยอยู่อย่างนี้หรอก” ตู๋กูซิงหลันเสยผมอย่างสบายใจ คล้ายจะไม่สนใจเขาเลยสักนิด” 

 

 

นางสวมชุดแดงตลอดร่าง แม้อยู่ท่ามกลางสายฝนแต่กลับไม่เปียกแม้แต่หยดเดียว ในทางกลับกันเสื้อผ้าของนางยังพลิ้วไหวออกไปอีกด้วย 

 

 

นางเดินไปไม่กี่ก้าว คนก็ห่างออกไปไกลแล้ว 

 

 

“น้องเล็ก เจ้าจะไปไหน?” ตู๋กูจุนไม่อาจวางใจปล่อยนางไป ดึกมากขนาดนี้ นางกลับแต่งกายอย่างเตรียมพร้อม แสดงว่าจะต้องมีเรื่องไปทำ 

 

 

“ย่อมต้องไปช่วยคนน่ะสิ” 

 

 

ตู๋กูซิงหลันกล่าวทิ้งไว้ เงาร่างก็หายไปท่ามกลางสายฝนแล้ว 

 

 

ตู๋กูจุนรีบติดตามไปอย่างไม่ต้องแม้แต่จะคิดในทันที 

 

 

พอพึ่งพ้นจากประตูใหญ่ตำหนักฉางซินกง ก็เห็นด้านนอกมีรถม้าสีดำคันหนึ่งจอดรออยู่ 

 

 

ตู๋กูซิงหลันนั่งอยู่ในรถ สายลมพัดม่านเปิดเอาไว้ครึ่งหนึ่ง เผยให้เห็นโฉมหน้าที่งดงามของนาง 

 

 

เมื่อมองดูผ่านความมืดในยามค่ำคืน ก็เหมือนจะมีความลึกลับประหลาดที่อธิบายไม่ถูกอยู่บ้าง 

 

 

เรื่องที่สำคัญที่สุดก็คือ ม้าที่พ่วงกับรถคันนี้ ….ไม่ นั่นไม่ใช่ม้า เป็นม้ามังกรต่างหาก 

 

 

ครึ่งม้าครึ่งมังกร ทั้งยังมีถึงเก้าตัว เพียงแต่ร่างกายมิได้ใหญ่โต มีขนาดเท่ากับม้าทั่วไป 

 

 

“ไม่ไปด้วยกันหรือ?” ตู๋กูซิงหลันตบลงไปตรงที่ว่างข้างกาย  

 

 

พี่ใหญ่ของตนเอง สมองช้าเหมือนท่อนไม้ หากไม่กระตุ้นเตือนเขาสักรอบ เกรงว่าชาตินี้ทั้งชาติก็คงไม่ได้สติขึ้นมา 

 

 

ในเมื่อจะสั่งสอนเขา ย่อมต้องเอาให้หนักสักหน่อย 

 

 

ในเมื่อได้จังหวะมีซือเป่ยมาเป็นเทพหนุน ต่อให้ยังมีความดื้อด้านใดอีก ตู๋กูซิงหลันก็เชื่อว่า ละครฉากนี้จะต้องตระการตาอย่างแน่นอน 

 

 

……………………… 

 

 

ค่ำคืนที่พายุฝนโหมกระหน่ำ มักจะทำให้จิตใจคนไม่สงบอยู่เสมอ 

 

 

ม้ามังกรทั้งเก้าตัวลากรถม้าวิ่งฝ่าไปในความมืด ตะลุยผ่านสายฝนพุ่งออกนอกเมืองหลวงไป 

 

 

เพียงไม่นานแม้แต่ตู๋กูจุนก็ไม่อาจจำแนกทิศทางได้แล้ว ตอนแรกพวกม้ามังกรยังวิ่งอยู่บนพื้นดิน แต่ว่าเพียงไม่นานพวกมันก็ลากรถขึ้นไปในท้องฟ้าที่มืดมิด 

 

 

ฝนเม็ดใหญ่ๆกระหน่ำลงมาบนหลังคาของรถม้า 

 

 

ภายในรถม้า ตู๋กูจุนวางดาบยักษ์ลง นั่งลงตรงข้ามกับตู๋กูซิงหลัน เขานั่งหลังตรง สีหน้าเคร่งขรึม 

 

 

ไม่รอให้ตู๋กูจุนเอ่ยปากถาม ตู๋กูซิงหลันก็เป็นฝ่ายเอ่ยออกไปก่อนว่า “ข้าเคยให้ถุงหอมกับเสี่ยวหยวนหยวนไว้ใบหนึ่งไปตั้งนานแล้ว กลิ่นนั้นพิเศษมาก คนไม่อาจได้กลิ่น มีแต่ม้ามังกรที่สัมผัสได้ถึงกลิ่นนั่น ครั้งนี้นางถูกพาตัวไป ขอเพียงพวกเราตามกลิ่นไปจะต้องเจอตัว” 

 

 

“เจ้ารู้แต่แรกแล้วหรือว่านางตกอยู่ในอันตราย?” 

 

 

“ไม่ถือว่าล่วงรู้ แต่ว่าเป็นการป้องกันเอาไว้ก่อน สาวน้อยที่สะสวยขนาดนั้น ไม่รู้ว่ามีหมาป่าหิวกระหายจ้องตระครุบอยู่เท่าไหร่” 

 

 

ตู๋กูซิงหลันหัวเราะเบาๆ “ท่านไม่ทนุถนอม ย่อมต้องมีผู้อื่นทนุถนอม” 

 

 

ตู๋กูจุนอ้าปากค้าง เอ่ยประโยคเดิมออกมา “เจ้าไม่เข้าใจ” 

 

 

“โลหิตที่ไหลเวียนอยู่ในร่างกาย กำหนดให้ชาตินี้พวกเราไม่อาจอยู่ด้วยกันได้ นี่เป็นหลักการของฟ้าดินและเป็นลิขิตของฟ้าดิน หากแข็งขืนเปลี่ยนแปลง มีแต่จะทำให้เกิดเภทภัยที่คาดไม่ถึง” 

 

 

ตู๋กูซิงหลันมองดูเขาแวบหนึ่ง “พี่ใหญ่กลัวตายหรือ?” 

 

 

ตู๋กูจุนยื่นมือออกไปลูบศีรษะของนางอย่างอ่อนโยน “คนอย่างข้า พี่ใหญ่ของเจ้าต่อให้ศีรษะถูกตัดออกไปก็ไม่ขอร้องแม้แต่คำเดียว ไหนจะกลัวตายได้” 

 

 

ว่าแล้วเขาก็พึมพำออกมาประโยคหนึ่ง “ข้ากลัวนางจะตาย” 

 

 

ความตายไม่นับเป็นสิ่งที่น่ากลัวที่สุด สำหรับพวกเขาแล้ว ร่างฉีกกระดูกแตกสลายดวงวิญญาณสูญสิ้นไปนั่นต่างหากจึงจะ…… 

 

 

สิ่งที่เขากลัวที่สุดก็คือหยวนเมิ่งจะต้องมีจุดจบเช่นนั้น 

 

 

คำพูดที่เดิมทีมีอยู่เต็มท้องของตู๋กูซิงหลัน ถูกวาจาของเขาสกัดเอาไว้ 

 

 

ไม่อาจบอกว่าเขาไม่ถูกต้อง…… เพียงแต่นางไม่ชอบที่เขาไม่กล้าบุกไปยังเบื้องหน้าเช่นนี้ 

 

 

หากว่านางและเสี่ยวเฉวียนเฉวียนถูกกำหนดให้ไม่อาจอยู่ร่วมกัน ต่อให้จุดจบจะต้องดวงวิญญาณแตกสลาย นางก็ขอลุยดูสักครั้ง 

 

 

…………. 

 

 

ความมืด ครอบคลุมไปทั่วทั้งพิภพ 

 

 

ตอนที่หยวนเมิ่งตื่นขึ้นมา เบื้องหน้ามีแต่ความพร่าเลือน 

 

 

ตัวนางถูกมัดเอาไว้บนเสาหินสีดำขนาดใหญ่ 

 

 

นางยืนอยู่บนเวทีสูง ใต้ฝ่าเท้ามีไม้หนามนับไม่ถ้วน และที่ใต้เวทีมีกลุ่มคนออกันอยู่แน่นขนัดจนมืดครึ้มไปหมด 

 

 

พวกเขาหันหลังให้นางคุกเข่าราบไปทางหนึ่ง บนร่างของคนเหล่านั้นมีไอมารพุ่งพล่าน ต่างก็เป็นคนเผ่ามารทั้งสิ้น 

 

 

หยวนเมิ่งรู้สึกว่าริมฝีปากแห้งผาด ตลอดร่างไม่เหลือเรี่ยวแรงใดๆอีก 

 

 

ยามที่ถูกซือเป่ยนำตัวมา นางก็สลบไสลไปแล้ว 

 

 

ระหว่างนั้นเกิดเรื่องใดขึ้นบ้าง ล้วนจดจำไม่ได้เลย 

 

 

งูเขียวที่มักจะพันอยู่บนข้อมือของนางอยู่เสมอก็หายสาปสูญไป เหลือแต่มารอสูรผึ้งพิษที่ยังแฝงอยู่ในกายของนาง 

 

 

“ที่นี่คือที่ไหนกัน?” 

 

 

พอเอ่ยออกไป สุ้มเสียงที่ดังออกมาก็แหบพร่า ลำคอร้อนลวกราวกับมีไฟเผาอย่างไรอย่างนั้น ทั้งแสบและทรมาน 

 

 

ร่างของซือเป่ยลอยอยู่ตรงหน้านาง หันมายิ้มให้อย่างเย็นชา “ดูท่าวันเวลาคงจะผ่านไปนานเกินไปแล้ว พอได้กลับมาบ้านของตนเองถึงกับจำอะไรไม่ได้เลยหรือ?” 

 

 

ว่าแล้ว เขาก็ขยับเข้ามาใกล้อีกนิด 

 

 

ปลายนิ้วของเขายื่นออกมา บีบปลายคางของหยวนเมิ่งเอาไว้ “เจ้าคงจะมิใช่ว่าไม่รู้จักข้าหรอกกระมั้ง ใช่ไหม?” 

 

 

 

 

 

……………………..