ตอนที่ 747 เครื่องสังเวย

ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง

หยวนเมิ่งเงยหน้าขึ้นมา มองดูใบหน้าที่คุ้นเคยนั้นด้วยความงุนงงไปชั่วครู่ 

 

 

ความทรงจำที่ผ่านไปนานแล้ว นานจนนางแทบจะลืมเลือนไปแล้วว่า ซือหนานมีน้องชายฝาแฝดอยู่คนหนึ่ง 

 

 

นางสงบจิตใจลง แววตาจับจ้องที่ร่างของซือเป่ย “เจ้าคิดจะทำอะไรกันแน่?” 

 

 

แม้ว่าในใจจะคาดเดาได้อย่างชัดเจนว่าเขาจะทำอะไร แต่สีหน้าที่แสดงออกก็ยังทำเป็นเหมือนไม่รู้เรื่องใดทั้งสิ้น 

 

 

หากว่าตู๋กูซิงหลันได้มาเห็น จะต้องชื่นชมว่าหยวนเมิ่งมีพรสวรรค์ในการแสดงอย่างแน่นอน 

 

 

ซือเป่ยเชยคางของนางขึ้นมา ปลายนิ้วเพิ่มแรงขึ้นอีกเล็กน้อย “รูปโฉมของเจ้าในตอนนี้มิใคร่เหมือนกับแต่ก่อนนัก มิน่าเล่าข้าแม่ทัพจึงหาเจ้าไม่เจอมาตลอด” 

 

 

ในแววตาของเขามีแต่ความเย็นชา ว่าแล่วเขาก็เงยหน้ามองดูท้องฟ้าอยู่ครู่หนึ่ง 

 

 

ที่นี่มีแต่เมฆดำปกคลุมจนมืดครึ้ม แยกไม่ออกว่าเป็นยามกลางวันหรือกลางคืนกันแน่ ในอากาศมีแต่หมอกหนาทึบ ในสายหมอกมีกลิ่นคาวเลือดปะปน 

 

 

ท่ามกลางหมอกสีแดงที่ลอยละล่อง เหมือนจะสามารถมองเห็นพระจันทร์เสี้ยวสีดำลอยอยู่ดวงหนึ่ง ดวงจันทร์มีขนาดใหญ่มาก ราวกับใกล้จะตกลงมา 

 

 

ตอนนี้พระจันทร์เสี้ยวดวงนั้นใกล้จะเต็มดวงเข้าไปทุกที  

 

 

หยวนเมิ่งรู้ได้ในทันทีว่า ‘พระจันทร์สีดำ’ ดวงนั้น ก็คือประตูสู่ภพมารนั่นเอง 

 

 

“อีกเพียงครู่เดียว เจ้าก็จะได้พบกับหลีฉิง พี่ชายของเจ้าแล้ว เป็นอย่างไร รู้สึกซาบซึ้งมาก ที่ข้าแม่ทัพมอบโอกาสนี้ให้เจ้าใช่ไหม?” 

 

 

ซือเป่ยจดจ้องไปที่ดวงจันทร์สีดำที่ใกล้จะเต็มดวงเข้าไปทุกที มุมปากของเขามีรอยยิ้ม ไอดำรอบกายพุ่งพล่านกว่าเดิม 

 

 

ตั้งแต่เมื่อหลายหมื่นปีก่อน จอมมารหลีฉิง ก็คงอยู่ในระดับเดียวกับหมิงอ๋องอยู่แล้ว 

 

 

พลังของเขาน่ากลัวมาก คนทั้งหลายต่างก็รู้ดีกว่า เผ่ามารเหมือนว่าจะล่มสลายไปแล้ว แต่ขอเพียงจิตมนุษย์ยังมีความโลภไม่สิ้นสุด เผ่ามารก็จะไม่มีวันดับสูญ จอมมารยิ่งไม่มีวันหายไปไหน 

 

 

ดวงจิตของหลีฉิง ถูกผนึกเอาไว้ในใจกลางดินแดนของเผ่ามาร—ภพมาร 

 

 

ใต้ฝ่าเท้าของหยวนเมิ่งคือเวที รอบๆเวทีคือวงแหวนเวทย์ที่ซือเป่ยตระเตรียมเอาไว้แต่แรก ขอเพียงดวงจิตของหลีฉิงเคลื่อนออกมาจากภพมาร เขาก็สามารพดูดซับพลังทั้งหมดเอาไว้ได้ในทันที 

 

 

จะพูดไปก็มีเรื่องที่น่าเสียดายอยู่เรื่องหนึ่ง จอมมารหลีฉิง ไม่เคยปรากฏโฉมหน้าที่แท้จริงต่อผู้ใด เกรงว่าต่อให้เป็นองค์หญิงหลีเกอแห่งเผ่ามารเองก็ยังไม่แน่ว่าจะรู้ 

 

 

เพราะว่าพวกเขามิได้เกิดจากมารดาเดียวกัน 

 

 

ถูกผนึกเอาไว้เนิ่นนานหลายปี จอมมารในตอนนี้ก็คงไม่มีโอกาสได้เปลี่ยนแปลงโฉมหน้า 

 

 

ฉะนั้น วันนี้เขาก็จะได้เห็นแล้วว่าที่จริงแล้วหลีฉิงมีรูปโฉมเช่นไร 

 

 

บนเวที ข้อมือและข้อเท้าของหยวนเมิ่งถูกล่ามเอาไว้กับโซ่ จนไม่อาจขยับ นางได้แต่เงยหน้ามองดูดวงจันทร์สีดำที่ใกล้จะเต็มดวงเข้าไปทุกทีแล้ว 

 

 

หลีฉิง ….พอสองคำนี้ผุดขึ้นมาในใจ นางก็อดที่จะตระหนกจนใจสั่นไม่ได้ 

 

 

พวกนางแม้ว่าจะเป็นพี่น้องกัน แต่มิได้กำเนิดจากมารดาคนเดียวกัน หลีฉิงโตกว่านางหลายปี ….ในความทรงจำของหยวนเมิ่ง พี่ชายผู้เป็นจอมมารนี้ นอกจากความโหดเหี้ยมอย่างที่สุดแล้ว ก็ไม่มีสิ่งอื่นใดอีก 

 

 

และเพราะพี่ชายผู้นี้ หกภพภูมิถึงได้รังเกียจเดียจฉันท์ภพมาร กระทั่งอดีตจักรพรรดิสวรรค์ก็ยังทุ่มเทอย่างไม่สนใจทุกสิ่งเพื่อทำลายเผ่ามารให้หมดสิ้น 

 

 

กับหลีฉิง หยวนเมิ่งไม่มีความผูกพันใดๆ มีแต่ความหวาดกลัว 

 

 

“หากว่าปลดปล่อยเขาออกมา ทุกชีวิตในหกภพภูมิต้องตกอยู่ในอันตราย เจ้าเป็นถึงเทพสงครามแห่งแดนสวรรค์เชียวนะ!” 

 

 

ครู่หนึ่งนางก็เบนสายตาออกมา กัดฟันเอ่ยออกไป 

 

 

ทั้งๆที่มีใบหน้าดุจเดียวกันกับซือหนาน แต่ว่าทั้งสองกลับมีนิสัยตรงข้ามกันอย่างสิ้นเชิง 

 

 

ซือหนานห่วงใยทุกชีวิตในใต้หล้า ซือเป่ยยังโหดร้ายและน่ากลัวยิ่งกว่ามารเสียอีก 

 

 

“เฮอะๆ” พอได้ยินคำพูดของนาง ซือเป่ยก็หัวเราะออกมาในทันที “เจ้าที่เป็นองค์หญิงของเผ่ามารผู้หนึ่ง กลับบอกว่าห่วงใยทุกชีวิตในหกภพภูมิเนี่ยนะ?” 

 

 

ว่าแล้ว น้ำเสียงของเขาก็ยิ่งเย็นชากว่าเดิม ข้าแม่ทัพเห็นว่า เจ้าก็แค่กลัวว่าพี่ชายผู้โง่เขลาของข้าจะต้องตายอีกครั้งเท่านั้นกระมัง?” 

 

 

“ก็ดูสิ…. เขาเคยมองดูเจ้าด้วยความห่วงใยมาก่อนนี่นะ?” 

 

 

เพราะว่าอีกเดี๋ยวก็จะได้รับสิ่งที่ตนเองปรารถนามาเนิ่นนานแล้ว ยามนี้ซือเป่ยจึงอารมณ์ดีอย่างมาก 

 

 

เขาปรายตามองดูหยวนเมิ่ง “เจ้าวางใจเถอะ ข้าแม่ทัพจะส่งมอบเศษกระดูกของเจ้าให้กับพี่ชายสุดที่รักของข้าด้วยตนเอง เจ้าลองเดาดูสิว่าพอเขาเห็นแล้ว จะดีใจหรือว่าเสียใจกัน?” 

 

 

“อ้อ เจ้าเองก็ไม่ต้องเสียใจไป ไม่ว่าอย่างไร ข้าแม่ทัพจะรีบส่งเขาไปพบเจ้าโดยเร็ว” 

 

 

“คนทรยศของตระกูลซือ ย่อมไม่มีสิทธิ์มีชีวิตอยู่ต่อไปในโลกหล้า ข้าแม่ทัพสามารถฆ่าเขาได้ครั้งหนึ่ง ก็ย่อมสามารถฆ่าเขาได้อีกเป็นครั้งที่สอง” 

 

 

นับตั้งแต่เขาไปจากแดนสวรรค์ นับตั้งแต่ที่เขาผลักไสตระกูลซือลงไปในกองเพลิง พวกเขาก็มิใช่พี่น้องกันอีกแล้ว 

 

 

ซือเป่ยจงเกลียดจงชังซือหนานอย่างที่สุด ตั้งแต่อดีตจนถึงตอนนี้ก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง 

 

 

หมอกสีแดงยิ่งคละคลุ้ง พระจันทร์สีดำก็ยิ่งใกล้เต็มดวงเข้าไปทุกที 

 

 

เหล่ามารที่คุกเข่าอยู่ใต้เวทีก็เริ่มเกิดความเคลื่อนไหว 

 

 

พวกมันแต่และคนสวมใส่ชุดคลุมสีดำทะมึน คุกเข่าหันเข้าหาพระจันทร์สีดำ ในปากก็ส่งเสียงว่าคาถาออกมาไม่หยุด 

 

 

ส่วนซือเป่ยก็มิได้อยู่เฉย ในมือของเขามีเหล็กจารมารตั้งแต่เมื่อใดก็ไม่รู้  

 

 

บนเหล็กจารมารเต็มไปด้วยอักขระซับซ้อน 

 

 

ภายใต้แสงของพระจันทร์สีดำ เหล็กจารชิ้นนั้นส่องประกายออกมา เป็นแสงที่เย็นวาบจับใจ 

 

 

เขาไม่พูดพล่ามทำเพลง ก็ลงมือปักเหล็กจารแท่งนั้นเข้าไปในทรวงอกของหยวนเมิ่ง 

 

 

บาดแผลแทงลึก กรีดลงถึงหัวใจ 

 

 

หยวนเมิ่งกรีดร้องคำหนึ่ง สีหน้าบิดเบี้ยวด้วยความทุกข์ทรมาน 

 

 

ซือเป่ยยังไม่หยุดมือ ไม่รู้ว่าเขานำกริชอีกเล่มมาจากที่ใด บนตัวกริชลงอักขระเช่นเดียวกับเหล็กจาร 

 

 

เขายื่นมือไปคว้ามือของหยวนเมิ่ง กรีดลงไปบนฝ่าทั้งสองข้าง 

 

 

บาดแผลมิได้ลึก แต่กลับกรีดแยกเนื้อหนังออก เลือดสดๆไหลรินออกมาโดยไม่ขาดสาย 

 

 

เลือดหยดติ๋งๆลงไปตามเรียวขาไหลลงไปยังเวทีใต้เท้า 

 

 

พอเลือดสัมผัสกับพื้นก็ค่อยๆปรากฏเป็นยันต์ชนิดหนึ่งที่หยวนเมิ่งไม่เคยเห็นมาก่อน 

 

 

คล้ายจะเป็นยันต์ปลุกอะไรบางอย่าง 

 

 

จอมมารหลีฉิงมีนางเป็นน้องสาวอยู่เพียงผู้เดียว 

 

 

ในใต้หล้านี้ นอกจากหลีฉิง ก็มีแต่หยวนเมิ่งที่สืบทอดสายเลือดผู้ปกครองแห่งเผ่ามาร 

 

 

ยามนี้สิ่งที่ซือเป่ยต้องการจะทำก็คือ รีดเลือดทั้งหมดในกายนางออกมา ทำลายร่างเนื้อและกระดูก ฉีกกระชากดวงวิญญาณของนางจนแตกสลาย นำทั้งหมดไปไว้บนเวที ในยามที่ดวงจันทร์เต็มดวงก็จะกลายเป็นพลังปลุกชีพที่แข็งแกร่งที่สุด 

 

 

มีแต่ทำเช่นนี้ จึงจะสามารถปลดผนึกภพมาร ปลดปล่อยหลีฉิงออกมา 

 

 

ตอนนี้ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเป็นไปตามแผนการที่เขาได้วางเอาไว้ 

 

 

เพียงครู่เดียว เลือดสดๆของหยวนเมิ่งก็ไหลอาบไปกว่าครึ่งของพื้นที่เวที นางรู้สึกเพียงแค่ว่าพละกำลังในร่างถูกสูบออกไปจนหมดสิ้น เจ็บปวดจนร่างกายด้านชา ชาจนแทบจะไม่รู้สึกเจ็บอีกต่อไป 

 

 

นางกัดฟัน ในใจนึกถึงคำพูดที่จีเฉวียนเคยกล่าวกับนาง 

 

 

นางจำเป็นจะต้องเกิดใหม่จากความตาย แต่ว่าขั้นตอนนี้ช่างเจ็บปวดทรมานมากกว่าที่นางคาดคิดเอาไว้มากนัก 

 

 

เพื่อจะได้หลุดพ้นจากความรู้สึกเจ็บปวดนี้ นางได้แต่พยายามนึกถึงช่วงเวลาที่เคยอยู่ข้างกายซือหนานอย่างสุดชีวิต ช่วงเวลาอันยาวนานที่เขาไม่เคยได้ยิน และมองไม่เห็นนาง 

 

 

ตอนนี้จิตมารของนางแตกสลายไปแล้ว ได้แต่อาศัยเพียงความอาวรณ์กลับมาอยู่ที่ข้างกายเขา 

 

 

แต่นางเป็นเพียงความอาลัยอาวรณ์ใยหนึ่ง เขาย่อมไม่มีทางได้ยินหรือมองเห็นนางอยู่แล้ว 

 

 

ความอาวรณ์นี้ผ่านวันเวลานับหมื่นปี สุดท้ายค่อยหลอมรวมเป็นจิตมารของนาง 

 

 

วันนั้น นางรอคอยมานานเป็นหมื่นปี เพราะอยากจะบอกเขาด้วยปากของตนเองว่า ตลอดหลายปีนี้นางอยู่ที่นี่ตลอดเวลา 

 

 

ขณะที่นางเปี่ยมไปด้วยความหวังว่าจะได้บอกทุกอย่างกับเขา ก็บังเอิญเกิดสงครามเทพภูติขึ้นพอดี นางได้แต่ลืมตามองดูซือหนานตกตายใต้คมดาบลงตรงหน้า  

 

 

นางใช้เวลาไปมากมาย แต่ไม่อาจสัมผัสเขาได้แม้แต่น้อย 

 

 

ความเจ็บปวดที่โศกเศร้าและรุนแรงที่สุดในใต้หล้านางก็ยังผ่านพ้นไปแล้ว 

 

 

เมื่อเป็นเช่นนี้ คิดๆดูแล้วสิ่งที่เผชิญอยู่ในตอนนี้ ก็ไม่ค่อยจะหนักหนาเท่าไหร่ 

 

 

……………………