เจดีย์ผลึกแก้วลอยคว้างบนท้องฟ้าของเมืองใหญ่

แสงไหลเอื่อยพร้อมกับกำจายพลังอำนาจลึกลับออกมา

ทั้งชาวเมืองและสมาชิกเผ่าเสี่ยเสียจ้องเขม็งไปที่เจดีย์ เนื่องจากพวกเขาตระหนักว่าชะตากรรมต่อจากนี้ขึ้นอยู่กับผู้ที่สามารถออกมาจากเจดีย์ได้

นั่นเป็นเพราะคนสุดท้ายที่ยืนหยัดจะเป็นผู้ชนะ

ดังนั้นทั้งฟ้าดินจึงเงียบงันพร้อมกับบรรยากาศตึงเครียด ไม่มีใครกล้าพูดอะไร

จอมยุทธ์ชั้นสูงของเมืองดูร้อนรน เม็ดเหงื่อใหญ่ปกคลุมหน้าผากก่อนที่พวกเขาจะมองไปที่จักรพรรดินีที่อยู่ข้างๆ “จักรพรรดินี ท่านเทพจะชนะหรือไม่?”

หากท่านเทพที่พวกเขาตั้งความหวังไว้ล้มเหลว แม่น้ำเลือดคงหลั่งรินไปทั่วเมือง ศพนอนเรียงรายอยู่โดยรอบแน่นอน นอกจากนี้เผ่าพันธุ์คงจะถูกล้างบางโดยผู้บัญชาการปีศาจโลหิตที่โกรธเคืองด้วย

จักรพรรดินีก็มองไปที่เจดีย์ด้วยความกังวล แต่นางก็สงบกว่าคนอื่นๆ ดังนั้นจึงตอบว่า “เราเตรียมรับสิ่งที่เลวร้ายที่สุดแล้วไม่ใช่หรือ?”

“หรือว่าจะมีอะไรที่เลวร้ายไปกว่าการถูกเลี้ยงเป็นสัตว์?”

เมื่อเหล่าจอมยุทธ์ชั้นสูงได้ยินคำพูดของนาง พวกเขาก็พยักหน้า กรณีนี้พวกเขายอมตายซะจะดีกว่า อย่างน้อยก็สามารถรักษาศักดิ์ศรีไว้ได้

ฮึ่ม!

ขณะที่พวกเขาสนทนากันเจดีย์ก็สั่นสะเทือน ดึงดูดความสนใจทั้งหมดไป

แม้แต่จักรพรรดินีก็กัดริมฝีปาก มือสั่น รู้สึกกระวนกระวายในใจไปหมด

แม้ว่านางจะเตรียมรับสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุด แต่อย่างน้อยในใจพวกเขาก็ยังมีแววแห่งความหวังไม่ใช่หรือ?

ฟิ้ว!

ภายใต้ความกังวลทั่วฟ้าดิน ริ้วแสงสายหนึ่งก็พุ่งออกมาจากเจดีย์ ร่างเงาสูงโปร่งปรากฏขึ้น

“นั่นท่านเทพ!”

เมื่อพวกเขาเห็นภาพเงานั้น เสียงโห่ร้องก็ดังออกมาจากเมือง หลายคนน้ำตาไหลอาบใบหน้า พวกเขาคุกเข่าโขกหัวอย่างบ้าคลั่งไปให้มู่เฉิน

มู่เฉินมองเมืองที่โกลาหลก็ยิ้มบาง ก่อนที่จะยกมือขึ้นไข่มุกสีแดงเผยออกมาพร้อมกับภาพผู้บัญชาการปีศาจโลหิตดิ้นขลุกขลักอยู่ภายใน

ภาพนี้ทำให้ทุกคนรู้ว่าใครคือผู้ชนะคนสุดท้าย

“ท่านเทพ…ชนะจริงหรือ?” จอมยุทธ์ชั้นสูงรู้สึกวิงเวียนหัวกับฉากนี้ ก่อนที่พวกเขาจะล้มนั่งลงบนพื้นพลางมองไปที่ลูกทรงกลมนั้นอย่างตะลึงงัน

ใครจะคิดว่าผู้บัญชาการปีศาจโลหิตที่อยู่ยงคงกระพันในสายตาพวกเขาจะพ่ายแพ้ในวันนี้!

จักรพรรดินีอึ้งไปขณะมองร่างเงาสูงโปร่งบนท้องฟ้า ทันใดนั้นหน่วยตานางก็คลอคลองด้วยหยาดน้ำตา ก่อนที่จะกลิ้งลงมาบนแก้ม

นางรอช่วงเวลานี้มานานแค่ไหน? นางพยายามเพื่อสิ่งนี้มานานแค่ไหน?

แม้ว่านางจะพยายามอย่างเต็มที่และรักษาดินแดนอุดมรัฐไว้ให้ผู้คนได้ แต่นางก็รู้ว่านั่นเป็นเพียงภาพลวงตา ตราบใดที่เผ่าเสี่ยเสียต้องการ พวกมันก็สามารถทำลายล้างที่พึ่งพิงสุดท้ายของพวกนางให้กลายเป็นนรกได้

ดังนั้นนางจึงได้แต่รู้สึกกลัวในใจอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน แต่นางก็ไม่สามารถแสดงอารมณ์ให้พวกเขาเห็นได้ เพราะนางรู้ว่าตนเองเป็นเสาหลักสนับสนุนทุกคน ถ้านางล้มลงดินแดนอุดมรัฐนี้ก็จะพังทลายลงเช่นกัน

แต่วันนี้ผู้บัญชาการปีศาจโลหิตที่อยู่ยงคงกระพันในสายตานางกลับพ่ายแพ้ ทำเอาความพยายามอดกลั้นของนางพังทลายลงทันที ด้านอ่อนแอในใจถูกเปิดเผย ทำนบน้ำตาแตกไหลอาบแก้ม

เพราะในที่สุดนางก็ได้เห็นความหวังในความสิ้นหวัง!

เมื่อเทียบกับผู้คนในเมืองที่มีความสุขแล้ว จอมยุทธ์เผ่าเสี่ยเสียตกใจกลัวขีดสุด พวกเขาไม่เคยคิดว่าผู้บัญชาการปีศาจโลหิตจะล้มเหลว

“รีบหนีเร็ว ส่งข่าวนี้ไปยังผู้บัญชาการปีศาจโลหิตคนอื่นๆ!”

พวกมันแลกสายตากันชั่วครู่ ก่อนที่จะทะยานออกไปอย่างเร่งรีบ พยายามที่จะหนีจากชายหนุ่มที่น่ากลัวคนนี้

ดังนั้นยามนี้ทั่วท้องฟ้าจึงตกอยู่ในความโกลาหล สมาชิกเผ่าเสี่ยเสียแตกฉานซ่านเซ็นราวกับหมาจนตรอก

มู่เฉินมองจอมยุทธ์เผ่าเสี่ยเสียอย่างเย็นชา อึดใจก็ทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า ร่างเทพสุริยะนิรันดร์ปรากฏขึ้นข้างหลัง เกลียวแสงสีม่วงทองแผ่ซ่านถักทอเป็นหอกสีม่วงทองนับไม่ถ้วนเขวี้ยงออกไป

ฟิ้ว ฟิ้ว!

ขณะที่ห่าหอกโปรยปรายลงมา ก็แทงทะลุร่างเงาสีแดงเข้ม เสียงกรีดร้องน่าเศร้าดังทั่วฟ้าดิน

จอมยุทธ์เผ่าเสี่ยเสียราวกับนกปีกหักตกลงมาจากท้องฟ้าไม่หยุดหย่อน…

เพียงไม่กี่นาทีฟ้าดินก็สงบลง ทุกคนในกองทัพเผ่าเสี่ยเสียถูกมู่เฉินสังหารเรียบ

มู่เฉินรู้ว่ามีผู้บัญชาการหลายคนในเผ่าเสี่ยเสีย ซึ่งต่างมีขุมพลังสัมผัสกับระดับเทียนจื้อจุน หากต่อสู้กันอย่างยุติธรรม มู่เฉินมั่นใจว่าสามารถกำจัดพวกมันได้สบาย แต่ถ้าพวกมันรวมตัวกันละก็ ความได้เปรียบของมู่เฉินจะลดลงอย่างมาก ดังนั้นเขาจึงไม่คิดที่จะให้ข่าวที่นี่หลุดออกไป

ชาวเมืองมองสมาชิกเผ่าเสี่ยเสียที่ถูกกำจัดไปอย่างสิ้นเชิง ก่อนที่พวกเขาจะหันไปมองมู่เฉินด้วยสายตาเคารพเทิดทูน

มู่เฉินโบกแขนเสื้อบนท้องฟ้า เจดีย์ผลึกแก้วก็พุ่งกลับมาสถิตในดวงตา จากนั้นก็เก็บลูกกลมผู้บัญชาการปีศาจโลหิตแล้วก็หันกลับไปยังวัง

เมื่อเขาพลิ้วตัวลงมาก็เห็นผู้คนคุกเข่าตามทางที่เขาก้าวเดินโดยมีความเคารพในสายตา

แม้แต่จักรพรรดินีก็คุกเข่าแสดงความเคารพขณะที่กล่าวว่า “ไป๋ซู่ซู่ทักทาย ท่านเทพ”

เมื่อมู่เฉินเห็นฉากนี้ก็อดอมยิ้มไม่ได้ “ข้าไม่ใช่เทพอะไรหรอก”

ขณะที่พูดเขาก็มองคณะเสนาบดีที่รวมกลุ่มและมีเสนาบดีใหญ่ที่หลุดออกจากเสาอยู่ด้านข้าง แต่ตอนนี้ทุกคนมองมาที่เขาด้วยสายตาหวาดกลัว

ไป๋ซู่ซู่รู้สึกได้ถึงสายตาของมู่เฉิน นางจึงหันไปมองเสนาบดีเหล่านั้นด้วยความเย็นชาพูดว่า “ประหารพวกมันซะ อย่าทำให้ดวงตาของท่านเทพต้องมัวหมอง”

ฟิ้ว!

เมื่อนางพูดจบ ร่างจอมยุทธ์นับไม่ถ้วนก็พุ่งเข้าหาเสนาบดีเหล่านั้น หลังจากโรมรันพันตูกันพักใหญ่พวกหนอนบ่อนไส้ก็ถูกสังหารในที่เกิดเหตุ แม้แต่เสนาบดีใหญ่ก็ไม่มีเรี่ยวแรงที่จะหนี หลังจากได้รับบาดเจ็บจากมู่เฉิน ร่างเขากลายเป็นเนื้อสับเพราะความโกรธของผู้คน

บอกได้ว่าประชาชนเต็มไปด้วยความเกลียดชังต่อเสนาบดีกลุ่มนี้

เมื่อมองไปที่ฉากนี้เขารู้สึกประหลาดใจก่อนที่จะมองไปที่ไป๋ซู่ซู่ ความเด็ดขาดนี้ทำให้เขาประหลาดใจยิ่งกว่าจึงถามว่า “ทำไม? เจ้าคิดจะแสดงจุดยืนอยู่เรอะ?”

การกระทำของไป๋ซู่ซู่ชัดว่าเป็นการแสดงจุดยืนที่จะสู้กับเผ่าเสี่ยเสียอย่างเต็มที่แล้ว

รอยยิ้มหายากปรากฏบนใบหน้าของไป๋ซู่ซู่ สายตาจ้องไปที่มู่เฉิน “ข้าเชื่อมั่นในท่านเทพมาตั้งแต่แรกเริ่ม”

มู่เฉินยิ้ม “ข้ามีแรงจูงใจในการมาที่โลกของเจ้า ตอนนี้ข้าต้องการข้อมูลเกี่ยวกับเผ่าเสี่ยเสียทั้งหมด”

“โปรดมาทางนี้ ข้าจะบอกทุกอย่างที่รู้”

ไป๋ซู่ซู่กล่าวด้วยความเคารพ จากนั้นก็ลุกขึ้นนำทาง ส่วนพวกที่เหลือก็ถูกห้ามให้ตามไปจากคำสั่งของนาง

มู่เฉินเดินสบายๆ ตามนางไป ทั้งสองเดินเข้าไปในห้องโถง

“ท่านเทพเชิญนั่ง”

หลังจากให้มู่เฉินนั่งแล้ว ไป๋ซู่ซู่ก็รินชาด้วยความให้เกียรติ

มู่เฉินไม่ได้มากมารยาทรับเอาไว้ทันที “ตอนนี้พูดได้หรือยัง?”

ไป๋ซู่ซู่ยืนที่เบื้องหน้ามู่เฉิน นางไม่ได้ไว้ศักดิ์ศรีของจักรพรรดินีอีกต่อไป นางกัดริมฝีปากเบาๆ พูดว่า “ท่านเทพ ไม่ทราบว่าข้าขอร้องสักเรื่องได้หรือไม่?”

“ขอร้อง?” มู่เฉินเลิกคิ้วขึ้น

ไป๋ซู่ซู่กัดฟันพูดว่า “ข้าอยากให้ท่านเทพสอนพลังที่ใช้ต่อสู้กับเผ่าเสี่ยเสีย!”

พลังที่มู่เฉินแสดงออกมาทรงศักยภาพอย่างไม่ต้องสงสัย ซึ่งอยู่ในระดับที่พวกนางไม่สามารถเข้าถึงได้ ดังนั้นหากพวกนางสามารถได้รับบางสิ่งจากมู่เฉิน ก็จะเป็นการเพิ่มความแข็งแกร่งอย่างมีนัยสำคัญ

ด้วยวิธีนี้พวกนางจะไม่ไร้พลังในการประจันหน้ากับเผ่าเสี่ยเสียอีกต่อไป

มู่เฉินอึ้งไปชั่วครู่ก่อนที่จะส่ายหัวพลางจิบชา “พลังของข้าไม่ใช่สิ่งที่พวกเจ้าเข้าใจได้”

เขาทรงพลังเพราะได้รับการฝึกฝนขุมพลังหลิงซึ่งเป็นพลังเอกลักษณ์ของมหาพันภพ ไม่ใช่สิ่งที่สามารถเพาะบ่มได้ในพิภพเขตล่าง

เมื่อไป๋ซู่ซู่ได้ยิน นางก็คิดเองเออเองว่ามู่เฉินไม่ต้องการสอน ดังนั้นนางจึงคุกเข่าลงด้วยใบหน้าซีดเซียว “ท่านเทพโปรดช่วยเราด้วยเถิด!”

ขณะที่พูดนางก็กัดริมฝีปากถอดมงกุฎดึงสายรัดเอวสีม่วงลง

ชุดงดงามร่วงหล่นลง เรือนร่างขาวโพลนสั่นระริกราวกับลูกแกะน้อย

นางคุกเข่าต่อหน้ามู่เฉิน เรือนผมแผ่สยายเน้นโค้งร่างยั่วยวนจากแผ่นหลังลงไปที่เบื้องล่าง

“ท่านเทพ ถ้าท่านยอมสอนพวกเรา ข้ายินดีที่จะเป็นทาสไปชั่วนิรันดร์!”

ร่างกายบอบบางสั่นสะท้าน เสียงอ้อนร้องฟังดูน่าสงสารยิ่งนัก

ฟู่

มู่เฉินอึ้งไปกับฉากนี้ ก่อนที่จะอดพ่นน้ำชาออกจากปากไม่ได้