ตอนที่ 957 เริ่มดำเนินการตามแผน

คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด

ก่อนหน้านี้ภายในฐานทัพของจอมยุทธ์ปีศาจ ไป๋จั่นถังและสือโหลวได้มีโอกาสนั่งดื่มด้วยกันมาก่อน

ในชีวิตก่อน ไป๋จั่นถังเป็นนักศึกษาในมหาวิทยาลัยซึ่งได้เข้าร่วมกับชมรมที่มากมาย แน่นอนว่าเขาก็มีทักษะการสื่อสารปฏิสัมพันธ์ที่เหนือชั้น

นอกเหนือจากผู้นำของจอมยุทธ์ปีศาจ คนอื่นทั้งหมดรู้จักเขาดีพอสมควร เพราะเหตุนี้ เขาจึงทราบหลายสิ่งหลายอย่างที่คนส่วนใหญ่ไม่ทราบมาก่อน หนึ่งในนั้นคือเรื่องความคออ่อนของสือโหลวที่ดื่มเพียงไม่กี่แก้วก็เมาแอ๋จนไม่ได้สติซึ่งแทบไม่มีผู้ใดทราบถึงมัน

ก่อนหน้านี้ เขาไม่คิดที่จะบอกเรื่องนี้กับฉินอวี้โม่และสหาย ทว่าตอนนี้เมื่อได้ทำความรู้จักกันและได้ทราบว่ามาจากที่เดียวกัน เขาจึงไม่ปิดบังอีกต่อไป

“ง่าย ๆ แค่นี้รึ ?”

ฉินเทียนเอ่ยถามด้วยความสงสัยใคร่รู้ ด้วยความแข็งแกร่งของสือโหลวที่จัดอยู่ในอันดับต้น ๆ ของทั่วทั้งดินแดนมหาเทพ ร่างกายของเขาก็ควรที่จะรองรับของมึนเมาได้ดีมิใช่รึ ?

“พี่ซื่อเทียนและพี่อวี้โม่มาจากที่เดียวกันกับข้า ข้าไม่มีความจำเป็นต้องโกหกหรอก หากไม่เชื่อ ท่านก็ลองดูได้เลย ถึงอย่างไรการลองดูก็ไม่เสียหายอะไร”

ไป๋จั่นถังกล่าวด้วยสีหน้าจริงใจและแสดงให้เห็นว่าเขาไม่มีความจำเป็นต้องโกหกฉินเทียนและทุกคน

“ข้าเชื่อเขา”

หานโม่ฉือพยักศีรษะและเชื่อวาจาของบุรุษหนุ่มอย่างไร้ข้อสงสัย

“คืนวันพรุ่งนี้ เราจะไปพบสือโหลวด้วยกันและหาทางทำให้เขาเมาเพื่อครอบครองลูกแก้วมรณะมา”

เขาตัดสินใจทันที ไม่ว่าแผนการนี้จะสำเร็จหรือไม่ เขาก็ไม่มีทางเลือกอื่นอีกแล้ว

จากนั้นเขาก็ยื่นมือไปแตะร่างของไป๋จั่นถังเพื่อฟื้นคืนพลังมายาทั้งหมดในร่าง

“ฮ่า ๆ ๆ ขอบคุณพี่โม่ฉือมากขอรับ”

ไป๋จั่นถังยิ้มกว้างก่อนหันไปกล่าวกับอวิ๋นซื่อเทียน “พี่ซื่อเทียน ข้าอยากจะเปลี่ยนเสื้อผ้าสักหน่อย”

ในตอนนี้เขาสวมอาภรณ์สีดำซึ่งมิใช่สิ่งที่เขาชื่นชอบเท่าใดนัก อย่างไรก็ตาม สมาชิกของจอมยุทธ์ปีศาจทั้งหมดล้วนแต่งกายในรูปแบบนี้และไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ตามต้องการ ทว่าในที่สุดตอนนี้เขาก็จะได้โอกาสสวมอาภรณ์ในแบบที่ตนเองต้องการเองเสียที

อวิ๋นซื่อเทียนก็บอกให้เสี่ยวเฮยพาไป๋จั่นถังไปยังห้องหนึ่ง ไม่นานนัก บุรุษหนุ่มก็กลับมาอีกครั้งหลังจากเปลี่ยนเป็นอาภรณ์ชุดใหม่

ในเวลานี้เขาสวมเสื้อคลุมสีน้ำเงิน เส้นผมถูกมัดเก็บไว้ด้านหลังศีรษะและถือพัดพับไว้ในมือซึ่งทำให้เขาดูมีสง่าราศีขึ้นและเสริมความหล่อเหลาได้มากนัก

“หลังจากจัดการเรื่องของที่นี่เสร็จสิ้น ข้าจะไปที่แผ่นดินใหญ่กับพวกท่าน ข้าสงสัยใคร่รู้เกี่ยวกับที่นั่นมากเลยล่ะ”

ไป๋จั่นถังตัดสินใจทันทีและไม่มีความรู้สึกผูกพันกับจอมยุทธ์ปีศาจแม้แต่น้อย

“ฐานทัพของจอมยุทธ์ปีศาจอยู่ที่ใดกัน ?”

อวิ๋นซื่อเทียนเอ่ยถามด้วยใบหน้าเรียบเฉย ในเมื่อไป๋จั่นถังกล่าวว่าเดินทางมาจากฐานทัพของจอมยุทธ์ปีศาจเพื่อทำภารกิจ เขาก็ต้องทราบว่ามันอยู่ที่ใด แม้คนในดินแดนมหาเทพจะเคยได้ยินเรื่องราวของจอมยุทธ์ปีศาจ ทว่าไม่เคยมีใครทราบว่าฐานทัพของพวกเขาอยู่ที่ใด

“ข้าก็บอกไม่ได้ ข้าทราบเพียงว่ามันอยู่ในมิติพิเศษที่ไม่สามารถเข้าออกได้ตามต้องการ ข้าไม่ทราบหรอกว่าพิกัดที่แท้จริงของมันคือที่ใด”

ไป๋จั่นถังครุ่นคิดครู่หนึ่งทว่ากล่าวได้เพียงว่ามันอยู่ในมิติพิเศษเท่านั้น

ฐานทัพของจอมยุทธ์ปีศาจอยู่ในมิติพิเศษที่คนธรรมดาไม่สามารถเดินทางเข้า-ออกได้อย่างอิสระ แม้แต่สมาชิกของจอมยุทธ์ปีศาจเองก็ต้องได้รับอนุญาตจากผู้นำก่อนที่จะเข้า-ออกพื้นที่แห่งนั้น

นี่คือหนึ่งในสาเหตุที่ไป๋จั่นถังไม่เคยเดินทางไปที่แผ่นดินใหญ่ของดินแดนมหาเทพ

ในฝั่งของฉินอวี้โม่ เวลานี้กระบวนการหลอมรวมเข้ากับพลังแห่งความตายยังคงดำเนินต่อไป

พลังของบุปผาแห่งความมืดค่อย ๆ เป็นฝ่ายได้เปรียบและพลังมายาเดิมในร่างของนางไม่ต่อต้านขัดขืนอีกต่อไปขณะหลอมรวมเข้ากับพลังแห่งความตายที่มาจากบุปผาแห่งความมืดอย่างช้า ๆ

ฉินอวี้โม่รู้สึกได้ว่าความแข็งแกร่งของตนพัฒนาขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อย พลังแห่งความตายน่าสะพรึงกลัวอย่างแท้จริง ความเปลี่ยนแปลงเพียงสั้น ๆ นี้ก็ทำให้นางสัมผัสได้ถึงพลังที่เพิ่มขึ้นมา ในเวลานี้นางก็เข้าใจแล้วว่าเหตุใดคนของดินแดนมหาเทพจึงหวาดหวั่นต่อจอมยุทธ์ปีศาจมากนัก

ด้วยพลังแห่งความตายที่แกร่งกล้านี้ ต่อให้มีความแข็งแกร่งในระดับเดียวกัน จอมยุทธ์ของฝ่ายดินแดนมหาเทพก็ไม่มีทางเอาชนะจอมยุทธ์ปีศาจได้อย่างแน่นอน

“นายหญิง การหลอมพลังคงจะเสร็จสมบูรณ์ในอีกครึ่งชั่วยาม อย่างไรก็ตาม พลังแห่งความตายเพิ่งหลอมรวมเข้ากับตัวท่านเท่านั้น ดังนั้นท่านต้องทำความคุ้นเคยกับมันสักพัก มิฉะนั้น ท่านจะไม่สามารถใช้มันเพื่อต่อกรกับพลังแห่งความตายของไม้มรณะได้”

เสียงของบุปผาแห่งความมืดดังขึ้นในโสตประสาทของฉินอวี้โม่ด้วยน้ำเสียงที่แสดงถึงความชื่นชมในตัวผู้เป็นนายมากขึ้นเรื่อย ๆ

กระบวนการหลอมรวมเข้ากับพลังแห่งความตายเป็นสิ่งที่เจ็บปวดเหนือจินตนาการ อย่างไรก็ตาม นายหญิงของมันกลับไม่อิดออดแม้แต่น้อยและยังคงแสดงสีหน้านิ่งเฉยไม่เปลี่ยนแปลง จิตใจที่หนักแน่นและแกร่งกล้าเช่นนี้มิใช่สิ่งที่จอมยุทธ์ธรรมดา ๆ จะเทียบได้เลย

ในขณะที่เวลาผ่านไป ในที่สุดพลังมายาของฉินอวี้โม่ก็แปรเปลี่ยนกลายเป็นพลังแห่งความตายไปโดยสมบูรณ์ อย่างไรก็ตาม สภาวะพลังเช่นนี้คงอยู่ได้เพียงสามวันเท่านั้น

หากแผนการดำเนินไปได้ด้วยดี เวลาสามวันก็ถือว่ามากพอ

อีกหนึ่งวันผ่านไป ในช่วงเย็นของวันต่อมา หานโม่ฉือก็ปลอมตัวเป็นสือฉินและมุ่งหน้าไปยังคฤหาสน์ของสือโหลวพร้อมกับฉินเทียนอีกครั้ง

“ท่านจอมยุทธ์ฉินเทียน ตัดสินใจได้แล้วรึ ?”

สือโหลวกล่าวทักทายอย่างเป็นมิตรทันที หลังจากการค้นหาในวันนั้นและไม่มีวี่แววของฉินอวี้โม่และสหาย อีกทั้งที่พักของฉินเทียนก็ยังคงเงียบสงบอยู่ตลอด นี่จึงทำให้เขาเริ่มเชื่อว่าการเคลื่อนไหวประหลาดที่เกิดขึ้นในวันนั้นอาจไม่ได้เกิดจากฉินอวี้โม่และสหาย เพราะเหตุนั้น ความระแวดระวังของเขาจึงลดน้อยลง

“พี่โหลว ท่านจอมยุทธ์ฉินเทียนมาที่นี่เพื่อหารือเรื่องบางอย่างกับเรา ให้คนไปเตรียมอาหารและเครื่องดื่มมาก่อนจะดีกว่า เราจะได้นั่งหารือกันอย่างจริงจัง”

สือฉินกล่าวและสั่งให้คนไปเตรียมอาหารพร้อมเครื่องดื่มเข้ามา

“น้องฉินยังคงรอบคอบไม่เปลี่ยนแปลง ท่านจอมยุทธ์ฉินเทียนอยู่ที่นี่มาสองวันแล้ว ทว่าเรายังไม่ได้จัดงานเลี้ยงต้อนรับเขาเลย ช่างเสียมารยาทจริง ๆ”

สือโหลวกล่าวชมเชยและไม่คัดค้านสิ่งใด

จากนั้นทั้งสามก็นั่งลงในห้องและภายในเวลาเพียงครู่เดียว เด็กรับใช้หลายคนก็ยกอาหารและสุราจำนวนมากออกมาวางเรียงรายบนโต๊ะ

“ท่านจะไม่เรียกผู้อาวุโสคนอื่น ๆ มาด้วยรึ ?”

หานโม่ฉือในคราบสือฉินกล่าวอย่างลองเชิงแม้ในใจไม่ต้องการให้คนอื่นมาที่นี่ก็ตาม ยิ่งมีคนมามากเพียงใด ความวุ่นวายก็ยิ่งมากขึ้นเพียงนั้น การพูดคุยกันเพียงสามคนเช่นนี้ช่วยให้แผนการของพวกเขาสำเร็จได้ง่ายที่สุด

“ไม่จำเป็น”

สือโหลวส่ายศีรษะปฏิเสธออกไป หลังจากพูดคุยหารือกันเสร็จสิ้น เขาจะแจ้งเรื่องนี้ให้กับผู้อาวุโสคนอื่น ๆ ในภายหลัง เพราะเหตุนั้นจึงไม่จำเป็นต้องเรียกทุกคนมาที่นี่

“ผู้อาวุโสสือ ข้าได้ยินผู้อาวุโสสือฉินบอกว่าท่านไม่ได้ต้องการทาบทามข้าเพียงคนเดียวเท่านั้น หากแต่ยังรวมถึงเสี่ยวโม่เอ๋อร์และสหายของนาง จอมยุทธ์ปีศาจทรงพลังยิ่งนักและข้ามีเรื่องบาดหมางกับขุมกำลังจำนวนหนึ่งท่ามกลางสามสำนักและเก้านิกาย การเข้าร่วมกับจอมยุทธ์ปีศาจก็ถือว่าเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด ข้ายินดีเข้าร่วมกับจอมยุทธ์ปีศาจและบอกให้เสี่ยวโม่เอ๋อร์และคนอื่น ๆ มาเข้าร่วมด้วยกัน อย่างไรก็ตาม ข้าหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจอมยุทธ์ปีศาจจะให้ความสำคัญกับข้า และในขณะเดียวกัน หวังว่าผู้อาวุโสสือจะช่วยข้าจัดการกับขุมกำลังที่เป็นศัตรูกับข้าได้”

ฉินเทียนรินสุราให้กับสือโหลวขณะกล่าวด้วยท่าทางจริงใจ

“ฮ่า ๆ ๆ ตราบใดที่ท่านจอมยุทธ์ฉินเทียนยินดีเข้าร่วมกับจอมยุทธ์ปีศาจของเรา เรื่องเหล่านั้นก็มิใช่ปัญหาแม้แต่น้อย แม้สามสำนักและเก้านิกายจะเป็นขุมกำลังใหญ่ในดินแดนมหาเทพ เราก็ไม่เห็นพวกเขาอยู่ในสายตาหรอก”

สือโหลวพึงพอใจกับวาจาของฉินเทียนเป็นอย่างมากและไม่นึกสงสัยในวาจาของเขาแม้แต่น้อย

“ดื่มกันสักหน่อยเถอะ หวังว่าการร่วมมือของเราจะเป็นไปได้ด้วยดี”

ฉินเทียนยกแก้วสุราในมือชนกับสือโหลวและกล่าวพร้อมรอยยิ้ม

“ฮ่า ๆ ๆ ขอให้การร่วมมือของเราเป็นไปอย่างราบรื่น”

สือโหลวไม่สงสัยเลยว่าตนกำลังถูกล่อลวงขณะดื่มสุราจนหมดแก้วในอึกเดียว

“พี่โหลว การที่ท่านจอมยุทธ์ฉินเทียนเข้าร่วมกับจอมยุทธ์ปีศาจของเราแล้ว หากท่านผู้นำรู้เข้า ท่านจะได้รับความดีความชอบอย่างมากเป็นแน่ เรามาดื่มต้อนรับการเข้าร่วมของเขากันเถอะ !”

หานโม่ฉือกล่าววาจายกยอซึ่งทำให้สือโหลวยิ้มกว้างอย่างพึงพอใจ

หากผู้นำของจอมยุทธ์ปีศาจทราบถึงเรื่องนี้ สือโหลวจะได้รับรางวัลอย่างงามเป็นแน่ เมื่อถึงตอนนั้น ในทั่วทั้งจอมยุทธ์ปีศาจ เขาจะเป็นรองเพียงแค่ผู้นำของจอมยุทธ์ปีศาจคนเดียวเท่านั้น

ยิ่งนึกถึงความสำเร็จนั้นมากเพียงใด เขาก็ยิ่งรู้สึกดีมากขึ้นเรื่อย ๆ และไม่ระแวดระวังสิ่งใดขณะดื่มสุราแก้วแล้วแก้วเล่าโดยไม่รู้ตัว