ปกติแล้ว ความสูงส่งของคนคนหนึ่งยากที่จะตัดสินระดับอารยธรรมหนึ่งอย่างแท้จริงได้ ทว่า…เรื่องราวบนโลกนี้มีความเที่ยงแท้น้อยนัก ดังนั้นเมื่อความสูงส่งของคนคนหนึ่งได้ก้าวสู่ระดับที่ใกล้จะสูงสุดแล้ว เช่นนั้นอารยธรรมย่อมยกระดับขึ้นสูงด้วยประการฉะนี้
เฉกเช่นสหพันธรัฐ!
ดังเช่น หวังเป่าเล่อ!
แม้พลังปราณของเขาจะเป็นเพียงระดับจักรพิภพ แต่…การต่อสู้ครั้งก่อนระหว่างเขากับห้าสำนักใหญ่ ความแข็งแกร่งที่เขาแสดงออกมานั้นสามารถเทียบได้กับจักรพรรดิ์สวรรค์ โดยเฉพาะหมัดทั้งสี่ที่ปล่อยใส่สี่สำนักใหญ่ได้สร้างความสั่นสะเทือนให้แก่ผู้คน และสิ่งที่สร้างความตระหนกและตกตะลึงให้แก่สำนักที่แข็งแกร่งทั้งหลายรวมทั้งจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้นจนถึงขั้นเกิดความระแวดระวังต่อหวังเป่าเล่อ ก็คือ…กระบี่ที่สังหารเต๋าเก้ารัฐนั่น!
กระบี่นั้น เป็นกระบี่สำริดโบราณอันล้ำค่าจากระดับจักรวาลที่เต็มไปด้วยพลังปราณจากดวงวิญญาณเทพและกายเนื้อของหวังเป่าเล่อทั้งหมด ผนวกเข้ากับพลังอันล้ำค่า เกิดเป็นพลังที่แข็งแกร่งขึ้นจนสามารถสร้างบาดแผลให้แก่จักรวาลจักรพรรดิสวรรค์!
ผู้อาวุโสของเต๋าเก้ารัฐนั้นแม้ส่วนหนึ่งเป็นเพราะปัญหาจากตัวเขาเอง แต่ในประตูภูเขาเต๋าเก้ารัฐ เขาสามารถยืมกฎพิเศษบางส่วนให้พลังก้าวสู่ระดับจักรวาลได้อย่างแท้จริง แต่นิ้วมือของเขาบาดเจ็บเสียหาย ทำให้จักรพรรดิสวรรค์ของตระกูลไม่รู้สิ้นหลายคนนั้นเพิ่มความสำคัญต่อหวังเป่าเล่อในพริบตา
ไม่ว่าอย่างไร ประการแรกหากเขาออกจากประตูภูเขาเต๋าเก้ารัฐก็เป็นได้เพียงจักรพิภพชั้นมหาวัฏจักรที่องอาจ ส่วนประการหลัง…สามารถไปทั่วทุกแห่งหนตามใจต้องการ สามารถใช้อำนาจจักรพรรดิสวรรค์คุกคามได้
นี่จึงทำให้สหพันธรัฐ…เกิดขึ้นมาอย่างแท้จริง เพราะไม่เพียงแค่พลังต่อสู้ที่เทียบเคียงจักรพรรดิสวรรค์ของหวังเป่าเล่อเท่านั้น แต่ยังมีปรมาจารย์แห่งไฟด้วย
เมื่อพวกเขาอาจารย์และศิษย์ร่วมมือกัน หากไม่มีสำนักแห่งความมืดก็ยังพอทำเนา ตระกูลไม่รู้สิ้นแม้จะหวาดกลัว แต่หากตัดใจเสี่ยงอันตรายจากการแตกดับของทั้งสองจักรพรรดิสวรรค์ก็ไม่ใช่ว่าจะสะกดไม่ได้
แม้ทำเช่นนี้ค่าตอบแทนที่ต้องจ่ายจะสูงมาก แต่เมื่อถึงเวลาจำเป็นจริงๆ ตระกูลไม่รู้สิ้นก็จะไม่ลังเล ทว่าตอนนี้สำนักแห่งความมืดศัตรูตัวฉกาจอยู่ข้างตัว อำนาจอันร้ายกาจทั้งสองนี้สามารถแผ่ขยายไปในการสงครามของจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้นได้ตลอดเวลา ดังนั้นในช่วงเวลานี้ตระกูลไม่รู้สิ้นจึงไม่กล้าเคลื่อนไหว และเคลื่อนไหวไม่ได้
เมื่อใดที่ลงมือ สำนักแห่งความมืดจะไม่ปล่อยโอกาสนี้ให้หลุดรอดไปแน่นอน หากถึงเวลานั้น ตระกูลไม่รู้สิ้นก็จะกลายเป็นฝ่ายถูกกระทำ ถึงขนาดที่ความเป็นไปได้ที่จะพินาศย่อยยับยังเพิ่มขึ้นอีกสองสามส่วน
แต่เมื่อคนคนหนึ่ง หรือว่าอำนาจอิทธิพลหนึ่ง สามารถเพิ่มความพ่ายแพ้ให้อีกฝ่ายได้สองสามส่วนแล้ว เมื่อนั้นคนผู้นั้นหรืออำนาจอิทธิพลนั้น ก็จะได้ยืนอยู่ในจุดที่ไม่ปราชัย
สหพันธรัฐในเวลานี้ ก็เป็นเช่นนั้น!
ดังนั้นในเวลาสั้นๆ ตระกูลไม่รู้สิ้นก็ประกาศแสดงความเป็นมิตรต่อทั้งจักรพิภพในทันที ไม่เพียงยอมรับสถานะของสหพันธรัฐ อีกทั้งยังมอบแหล่งทรัพยากรจำนวนมากให้เป็นของขวัญ ทั้งนี้ก็มีแผนการอยู่ในใจ สถานะที่ยอมรับก็คือสำนักที่หนึ่งของจักรพิภพศักดิ์สิทธิ์แห่งเต๋าฝั่งซ้าย
เห็นได้ชัดว่าจุดประสงค์แฝงไว้ด้วยการยุยง ทำให้สำนักอื่นๆ ในจักรพิภพศักดิ์สิทธิ์แห่งเต๋าฝั่งซ้าย โดยเฉพาะเต๋าเก้ารัฐนั้นเสียหน้าเป็นอย่างมาก จึงต้องเข้าเป็นหนึ่งในการต่อสู้ของสหพันธรัฐอย่างห้ามไม่ได้
ใช้เหตุนี้ในการผูกมัด เพราะจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้นสามารถอดทนต่อการกำเนิดที่พุ่งพรวดของสหพันธรัฐ นี่ถือเป็นขีดสุดแล้ว พวกเขาไม่อยากเห็นว่า ภายภาคหน้าในจักรพิภพศักดิ์สิทธิ์แห่งเต๋าฝั่งซ้าย จะปรากฏ…เจ้านครที่รวบรวมจักรพิภพศักดิ์สิทธิ์แห่งเต๋าฝั่งซ้ายให้เป็นหนึ่งอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน!
อย่างน้อยต้องรอให้การต่อสู้ครั้งใหญ่ของตระกูลไม่รู้สิ้นและสำนักแห่งความมืดมีบทสรุปที่แน่นอนและสิ้นสุดลงเสียก่อน หรือไม่ก็…ใช้สิ่งนี้เป็นแต้มต่อ ไม่ให้สูญเสียการควบคุมเรื่องนี้ไป
การกระทำของตระกูลไม่รู้สิ้นสอดคล้องกับผลประโยชน์ ดังนั้นเวลาต่อจากนี้ ตระกูลไม่รู้สิ้นจึงมาเยี่ยมเยียนเป็นประจำ ส่วนสำนักต่างๆ ของจักรพิภพศักดิ์สิทธิ์ข้างๆ ก็ได้จัดการส่งผู้ที่มีสถานะระดับหนึ่งให้มามอบของขวัญด้วยเช่นกัน
เช่นเดียวกัน ในจักรพิภพศักดิ์สิทธิ์แห่งเต๋าฝั่งซ้ายนี้ การต่อสู้ครั้งนี้ของหวังเป่าเล่อก็ได้ขย่มขวัญสำนักต่างๆ ทำให้เวลาหลังจากนั้นมีผู้มาหาเป็นจำนวนมาก มีผู้เยี่ยมเยียนไม่ขาดสาย แต่แทบจะไม่มีผู้ที่อยากขอเข้าร่วมกับระบบสุริยะเลย
ตระกูลต่างๆ ในจักรพิภพศักดิ์สิทธิ์แห่งเต๋าฝั่งซ้ายไม่อยากล่วงเกินฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง จึงเฝ้าสังเกตการณ์
สำหรับเรื่องนี้ ทางหวังเป่าเล่อไม่ได้นำมาใส่ใจ และได้มอบหมายให้พวกอู๋เมิ่งหลิงผู้นำของสหพันธรัฐไปจัดการ เขาแยกร่างไปเดินเล่นกับปรมาจารย์แห่งไฟในระบบสุริยะ ร่างหลักก็นั่งขัดสมาธิอยู่ในดวงอาทิตย์ดารานิรันดร์ ฝึกฝนอย่างมั่นคง
เขาสัมผัสได้ถึงความแข็งแกร่งของพละกำลังที่ปรากฏออกมาหลังจากตนก้าวสู่ระดับจักรพิภพแล้ว อีกทั้งยังมากเกินกว่าที่เขาคาดการณ์ไว้ และนี่ก็ทำให้หวังเป่าเล่อรู้สึกงงงันอยู่ในใจเช่นกัน
แต่ว่าคำตอบ…เขาก็มีการคาดคะเนและคาดการณ์เอาไว้ในใจแล้ว
“พวกนี้บางทีอาจมีสาเหตุอยู่สามประการ…หนึ่ง เป็นเพราะร่างหลักของข้าเป็นแผ่นไม้ดำ อีกประการอาจเกี่ยวกับวิชาสืบทอดของปราณโบราณสายนั้น อีกประการหนึ่งก็คือในการระลึกอดีตชาติ ข้าเคยออกจากโลกแห่งศิลา เคยตระหนักถึงเต๋าภายนอกของโลกแห่งศิลา โดยเฉพาะตระหนักถึงจันทร์ข้างแรม…”
หวังเป่าเล่องึมงำ กฎแห่งกาลเวลาของจันทร์ข้างแรม เขาย่อมรู้ว่าไม่ใช่เต๋าของโลกแห่งศิลา ดังนั้นในโลกแห่งศิลาอานุภาพของมันจึงสุดยอดมาก
ในขณะเดียวกัน วิชาสืบทอดของปราณก็เลื่อนลอยมาก หวังเป่าเล่อรู้สึกว่านี่ราวกับเป็นโอกาสอย่างหนึ่ง หรือพูดได้อีกอย่างว่าเป็นหลักฐานจำพวกคุณสมบัติอย่างหนึ่ง ส่วนรายละเอียดที่แน่ชัดคืออะไร เขายังไม่กระจ่างแจ้ง
สำหรับแผ่นไม้ดำร่างหลัก…ดวงตาหวังเป่าเล่อหรี่ลง เขานึกถึงตนเองที่แม่น้ำแห่งความมืดในตอนนั้นที่ยืมทัศนวิสัยของรูปปั้น ตะปูไม้ที่ตอกลงไปในหว่างคิ้วของมหาเทพตัวจริง!
“รู้สึกว่าความจริง ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ แล้ว…”
“ในเมื่อร่างหลักของข้าถูกตรึงอยู่ในหว่างคิ้วของมหาเทพที่จักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้นที่แท้จริง เช่นนั้นเหตุใดถึงถูกเรียกมายังจักรวาลแห่งนี้อีก นี่เป็นแผนการณ์ช่วยตัวเองของมหาเทพ หรือว่า…แท้จริงแล้วข้ายังมีภารกิจอื่น…”
“อีกทั้งตอนนั้น…หลัวเทียนเดิมทีเพียงต้องการใช้หนึ่งนิ้วผนึกจักรภพไม่รู้สิ้นนี้ ทว่าหลังจากเห็นร่างแผ่นไม้ดำของข้า เหตุใด…จากหนึ่งนิ้วถึงเปลี่ยนเป็นทั้งแขนเล่า!”
“สิ่งที่เขาผนึก ใช่กู่จริงหรือ? ”หวังเป่าเล่อหรี่ตา นัยน์ตาทอประกาย ในใจลึกๆ แฝงไว้ด้วยการคาดคะเนที่อาจหาญ
“เป็นไปได้หรือไม่ว่า สิ่งที่หลัวเทียนผนึกจะเป็นทั้งกู่ ทั้งข้า รวมทั้ง…ร่างแยกของมหาเทพ!” หวังเป่าเล่อนิ่งงัน เขานึกถึงเฉินชิงจื่อ
เฉินชิงจื่อจะไม่รู้เรื่องเลยอย่างนั้นรึ ตัวข้า ณ ที่นี้ถึงจะเป็นสิ่งที่เขาต้องการผนึกและกักขังไม่ให้ออกไป แล้วเพราะเหตุใดถึงได้มองข้าม ตอนแรกหวังเป่าเล่อรู้สึกว่านี่เป็นเพราะความรู้สึกผูกพัน เป็นเพราะอาจารย์หมิงคุนจื่อ
ทว่าเวลานี้ความคิดของเขาเริ่มสั่นคลอน
“เป็นได้ไหมว่า…ฉากหน้าของภารกิจของเฉินชิงจื่อคือผนึกวิญญาณกู่ ทำให้ปราณสืบทอดไม่สามารถออกไปได้ และสิ่งที่แอบลอบผนึกก็คือ…ร่างแยกของมหาเทพ!”
“ร่างแยกของมหาเทพออกไปไม่ได้ อีกทั้งมหาเทพที่แท้จริงก็ยังไม่สมบูรณ์…หากมหาเทพแยกร่างออกไปเป็นจำนวนมากจริงๆ เช่นนั้นเป็นไปได้ไหมว่าที่นี่…ก็คือร่างสุดท้ายของเขาที่ดำรงอยู่”
“หากเป็นไปตามที่ข้าคาดการณ์ไว้จริง เช่นนั้นที่ข้าถูกเรียกมายังจักรวาลแห่งนี้ก็ไม่ใช่ความต้องการของมหาเทพอย่างแน่นอน…” หวังเป่าเล่อยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าการผนึกของโลกแห่งศิลานี้ชัดเจนว่าต้องการขัดขวางไม่ให้ร่างแยกของมหาเทพกลับไป ส่วนตนเองที่อยู่ที่นี่…ก็เป็นเพราะภาพฉากที่ยืมทัศนวิสัยของรูปปั้นที่แม่น้ำแห่งความมืด เห็นได้ชัดว่าเป็นปรปักษ์กับมหาเทพ
“หรือว่าข้าจะมีภารกิจที่ลืมไปจริงๆ ทำลายร่างแยกของมหาเทพให้สิ้นซาก? ทำให้เขาไม่สามารถสมบูรณ์ครบถ้วนได้อีก?”
“เช่นนั้นที่มาของตะขาบคืออะไรอีกเล่า…เป็นปราณส่วนหนึ่ง? หรือ…ร่างแยกจริงๆ ของมหาเทพ? หรือว่าเป็นผู้ไขปริศนาที่ร่างแท้จริงของมหาเทพส่งมา?” หวังเป่าล่อรู้สึกปวดหัว ยิ่งเข้าใจเรื่องราวมากขึ้นเท่าไร ความสับสนของเขาก็มีมากขึ้นเท่านั้น
“ยังมีอีก ข้าเป็นตะปูไม้ดำ เช่นนั้น…ตะปูไม้ดำในตอนนั้น เดิมก็มีจิตสำนึกหรือว่ามีคนใช้ตะปูไม้ดำที่ไม่มีจิตสำนึกเป็นสิ่งล้ำค่าในการทำลายมหาเทพ ใช้มันตอกลงไปในหว่างคิ้วมหาเทพ? หากเป็นอย่างแรก ถ้าเวลานั้นตะปูไม้ดำมีจิตสำนึก เช่นนั้นจิตสำนึกของข้าในเวลานี้คืออะไรเล่า”
“หากเป็นอย่างหลัง เป็นใคร…ที่ควบคุมข้าให้แสดงเป็นปรปักษ์ต่อมหาเทพ?” หวังเป่าเล่อนิ่งงัน อึดใจถัดมาเขาพลันหัวเราะ
“คิดมากไปก็ไร้ประโยชน์ เดินต่อไปย่อมมีสักวันที่จะรู้เอง”
“เวลานี้ สิ่งที่ข้าต้องคิดคือจะทำเช่นไรให้อาจารย์ปรมาจารย์แห่งไฟปลดการจำกัดของสหพันธรัฐให้เร็วที่สุด ข้าต้องการสิ่งที่ทดแทนแผ่นเลื่อนระดับโลกาอีกอัน…” หวังเป่าเล่อหรี่ตาลงขณะพึมพำพลางครุ่นคิด ครู่ถัดมานัยน์ตาของเขาทอแสงเป็นประกาย
“มีอยู่สิ่งหนึ่งที่สอดคล้องอย่างมาก…นั่นก็คือวิญญาณพิเศษตนหนึ่งที่สำหรับโลกแห่งศิลาทั้งใบแล้ว มันได้แบกรักความหนักหน่วงของกาลเวลาอันไร้ที่สิ้นสุด ข้ามผ่านการกำเนิดจักรวาลใหม่แทบจะทุกชาติ…”
“จื่อเยว่!” หวังเป่าเล่อเงยหน้าในฉับพลัน สายตาทอดมองไปยังอวกาศอันไกลลิบจากระบบสุริยะ
ในเวลาเดียวกัน ณ นพภูมิ ภายในความว่างเปล่า สายตาหนึ่งก็ทอดมองออกไปยังตำแหน่งที่หวังเป่าเล่อจ้องมองอยู่เช่นกัน เจ้าของสายตานั่งขัดสมาธิอยู่ในนพภูมิ เส้นผมยาวพลิ้วไหว ด้านหน้าหัวเข่ามีกระบี่ไม้ธรรมดาเล่มหนึ่ง นั่นก็คือเฉินชิงจื่อ
“ศิษย์น้อง นี่ก็คือสิ่งที่ศิษย์พี่เตรียมให้แก่เจ้า…การชดเชยชิ้นใหญ่!”
…………………