บทที่ 1209 เคราะห์จื่อเยว่!

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา

แทบจะเป็นเวลาเดียวกับที่สายตาของหวังเป่าเล่อและเฉินชิงจื่อมองไปยังอวกาศ หนึ่งสายตาจากในระบบสุริยะดารานิรันดร์สหพันธรัฐ และหนึ่งสายตาจากนพภูมิอันไกลโพ้น ในช่วงเวลาเดียวกันตำแหน่งที่เป็นศูนย์รวมสายตาของทั้งสอง ภายในจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้นนี้ ภายในเขตแดนหนึ่งที่ระดับผู้เยี่ยมยุทธ์เท่านั้นถึงจะหาพบ เงาร่างหนึ่งที่กำลังนั่งขัดสมาธิอยู่พลันสั่นสะท้าน

เงาร่างนี้เป็นของสตรีนางหนึ่ง พริบตาแรกเห็นก็บ่งบอกว่าเป็นหญิงงาม นั่นก็คือจื่อเยว่!

ทว่า ร่างกายนางกลับคล้ายม่านหมอก พร่ามัวยิ่งนัก ราวกับภายในนั้นอบอวลไปด้วยวิญญาณมากมาย ทุกๆ วิญญาณราวกับเป็นวิญญาณหลัก ขณะที่ขับเคลื่อนอยู่ภายในร่างตลอดเวลา ใบหน้าและรูปร่างของหญิงนางนี้ก็เปลี่ยนแปลงอยู่ในระดับที่เห็นได้ด้วยตาเปล่า

บางคราเป็นชายหนุ่ม บางคราเป็นสาวน้อย บางคราเป็นผู้เฒ่า บางคราเป็นวัยกลางคน อีกทั้งตั้งแต่เริ่มจนจบก็ไม่ซ้ำกันสักครั้งเดียว ราวกับวิญญาณภายในร่างไม่มีที่สิ้นสุด

ทว่าก็ไม่มีข้อยกเว้นใดๆ ไม่ว่าจะเปลี่ยนเป็นรูปแบบไหนล้วนแสดงสีหน้าที่ระแวดระวังเต็มไปด้วยความไม่สงบอย่างเห็นได้ชัด กระทั่งถึงครั้งสุดท้าย เมื่อใบหน้าเปลี่ยนกลับมาเป็นหญิงงามอีกครั้งหนึ่ง นัยน์ตานางเปล่งประกาย มือขวาผนึกมุทราด้วยความรวดเร็วคล้ายกำลังคำนวณ

ช่วงเวลาที่นางคำนวณ หากมองไปรอบด้าน จากตำแหน่งนี้ก็จะเห็นว่าจุดที่จื่อเยว่อยู่นั้นไร้ดวงดาว ท้องนภาเต็มไปด้วยฝุ่นละออง และละอองฝุ่นเหล่านี้ล้วนมีกลิ่นอายกาลเวลายาวนาน อีกทั้งสิ่งปลูกสร้างที่พอนับได้ว่ายังสมบูรณ์อยู่ก็จะเห็นเอกลักษณ์ที่ไม่สอดคล้องกับยุคสมัย

เมื่อมองดูจะเห็นว่าฝุ่นละอองเหล่านี้ก่อตัวเป็นซากปรักพังขนาดใหญ่ กินเนื้อที่เกือบหนึ่งดาราจักร ทว่านี่ยังไม่ใช้จุดที่สมบูรณ์ของมันทั้งหมด เพราะด้านนอกนั้นยังมีแสงรัศมีลอยวนอีกเป็นชั้นๆ

ภายในแต่ละวงแหวน แสงรัศมีราวกับมีซากปรักพังไม่ซ้ำยุคสมัยอยู่ในนั้น

ดูเหมือนข้างในจะไม่มีสิ่งมีชีวิตอื่นอยู่เลย มีเพียงร่องรอยประวัติศาสตร์ที่ไหลไปดั่งสายธาร ท่ามกลางความเงียบสงัด เมื่อมองจากไกลๆ ที่แห่งนี้ราวกับวังน้ำวนขนาดยักษ์ที่หยุดนิ่ง

ที่แห่งนี้…ไม่ได้อยู่ในโลกจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้น แต่เป็นห้วงเหวย้อนกลับซึ่งฝังกลบประวัติศาตร์ เป็นเหมือนสถานที่ทิ้งขยะที่จะถูกกำจัดได้ทุกเมื่อ

ไม่ว่าจะมาจากนพภูมิหรือมาจากจักรพิภพเต๋าของผู้มีชีวิต สรรพสิ่งใดๆ ก็ตามที่ผิดไปจากกฎเกณฑ์และข้อบังคับของยุคนี้ล้วนถูกขับมายังที่แห่งนี้ทั้งสิ้น นานวันเข้าลานขยะซากปรักหักพังแห่งนี้ก็เต็มไปด้วยกระแสคลื่นยุ่งเหยิงสารพัดสารพัน

กระแสคลื่นและความยุ่งเหยิงนี้ เมื่อไต่ถึงระดับหนึ่งก็จะกลายเป็นพายุทำลายล้างทุกสิ่ง จากนั้นนำส่วนที่ถูกฉีกทำลายแปรเปลี่ยนเป็นสารตั้งต้นส่งไปยังจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้น แล้วสาดกระจายไปในท้องนภาให้กลายเป็นดวงดารา รวมทั้งปราณวิญญาณพื้นฐานที่ปรากฏออกมา

กล่าวได้ว่า การดำรงอยู่ของที่แห่งนี้คือสิ่งที่จักรวาลไม่อาจขาดไปได้เลย และก็เป็นสิ่งที่หมุนเวียนไปตามกฎธรรมชาติ

และถึงแม้พายุทำลายล้างจะยังไม่พัดมา สถานที่นี้ก็ไม่ใช่สถานที่ที่สิ่งมีชีวิตจะเข้ามาได้ ไม่ว่าจะเป็นผู้ที่มีชีวิตอยู่หรือผู้ที่เสียชีวิตแล้ว ล้วนห้ามเข้าใกล้

หากมีใครหลุดเข้าไปโดยไม่ตั้งใจ เช่นนั้นเมื่อเข้าไปใกล้ก็จะถูกปนเปื้อน ได้รับผลกระทบ จิตวิญญาณจะสับสน สติฟั่นเฟือนแล้วตายลงกลายเป็นส่วนหนึ่งของที่แห่งนี้

แม้จะเป็นผู้เยี่ยมยุทธ์จักรพิภพก็ไม่มีข้อยกเว้น นอกเสียจากจะมีกลยุทธ์พิเศษ อีกทั้งต้องฝึกถึงขั้นชั้นมหาวัฏจักรแล้วจึงจะหยุดอยู่ ณ ที่แห่งนี้ได้ในชั่วขณะหนึ่ง

แน่นอนว่า หากฝึกจนถึงระดับจักรวาลแล้ว เช่นนั้นก็สามารถไปมาตามใจได้ แต่ก็ยังคงได้รับผลกระทบอยู่บ้าง อีกทั้งผลกระทบก็จะเพิ่มมากขึ้นตามเวลาที่ไหลไป

ดังนั้นที่แห่งนี้จึงไม่เหมาะที่จะตามหา แต่ด้วยเหตุพิเศษนี้เองก็ทำให้ที่แห่งนี้เหมาะแก่การหลบซ่อนเป็นอย่างยิ่ง แน่นอนว่า…ความเหมาะสมนี้เป็นสำหรับวิญญาณที่พิเศษเท่านั้น

เหตุเพราะความสับสนปนเปของที่นี่ สำหรับวิญญาณที่มีความพิเศษจำเพาะ ไม่เพียงไม่ใช่เขตอันตรายเท่านั้น อีกทั้งยังราวกับเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ดังเช่นจื่อเยว่…ก็เป็นเช่นนี้เหมือนกัน

ณ ที่แห่งนี้ นางแทบจะไม่ได้รับผลกระทบใดๆ และในเวลาเดียวกันยังสามารถหยิบใช้ความสับสนปนเปทำให้เมล็ดพันธุ์ดาราเต๋าของตนสมบูรณ์ยิ่งขึ้น ดังนั้นหลังจากออกจากสหพันธรัฐในตอนนั้น นางที่ฟื้นคืนความทรงจำในอดีตชาติแล้ว เมื่อมายังห้วงเหวย้อนกลับ ขณะที่พลังปราณก้าวหน้าขึ้นเรื่อยๆ ในเวลาเดียวกันก็อาศัยเมล็ดพันธุ์ที่สาดทิ้งไว้ด้านนอกในการควบคุมรอบๆ โดยทางอ้อม

และในขณะเดียวกัน ด้านความปลอดภัยโดยรวมแล้วก็ทำได้เกือบเต็มร้อย อย่างไรเสียหากนางจะหลบซ่อน ต่อให้เป็นจักรพรรดิสวรรค์อยู่ที่นี่ก็ไม่สามารถคงสภาพอยู่ได้นาน เป็นไปได้มากว่าคงต้องละทิ้งการจับกุมไปอย่างห้ามไม่ได้

และนี่ก็เป็นสาเหตุว่าทำไม…เมล็ดพันธุ์ดาราเต๋าของจื่อเยว่ถึงสามารถลอบกระจายอยู่ในสำนักต่างๆ ทั้งสามดินแดนใหญ่ ถึงขนาดถูกหมายหัวเป็นศัตรูแต่ก็ยังสามารถลอยนวลต่อไปได้

ถึงแม้ตอนนั้นจะถูกเฉินชิงจื่อทำให้ตกใจกลัว แต่หลังจากที่จื่อเยว่หลบหนีไปในใจก็ยังคงไม่ได้เกรงกลัวเสียเต็มประดา ทว่าหลายปีมานี้ ยังคงรู้สึกหวาดผวาอยู่สามครั้ง

ครั้งที่หนึ่ง ก็คือตอนที่หวังเป่าเล่อใช้สมุดแห่งโชคชะตาค้นหานางตอนอยู่บนดาวชะตา ส่วนครั้งที่สองก็คือตอนที่หวังเป่าเล่อปล่อยกระแสเต๋าในมิติเวทที่สหพันธรัฐ

ถึงแม้จื่อเยว่จะมีปฏิกิริยาโต้ตอบในทันที อีกทั้งเปลี่ยนตำแหน่ง และในเวลาเดียวกันก็ได้เตรียมพร้อมอย่างดี ทว่าตอนนี้…เมื่อความรู้สึกไม่ปลอดภัยเกิดขึ้นอีกครั้ง ร่างกายของนางก็สั่นเทิ้มอย่างเห็นได้ชัด

อึดใจต่อมา หลังจากนางคำนวณเสร็จก็เงยหน้าขึ้นฉับพลัน สีหน้าฉายแววดุร้ายโกรธเคือง เอ่ยพึมพำ

“เคราะห์?!”

ระหว่างพึมพำนั้นเอง จื่อเยว่หรี่ตาลง มือขวาผนึกมุทราขึ้นอีกครั้งพร้อมฟาดใส่ร่างกายตน ฉับพลันนั้นร่างกายของนางสั่นเทิ้มในพริบตา ก่อนจะค่อยๆ แบ่งออกเป็นสามส่วน แบ่งส่วนหนึ่งไว้ที่แห่งเดิมที่นั่งขัดสมาธิอยู่ อีกส่วนหนึ่งกลายสภาพเป็นฝุ่นละอองอยู่ในที่ห่างไกล และส่วนสุดท้ายก็ไม่ได้หยุดชะงัก สลายหายไปในความว่างเปล่า

ในเวลาเดียวกัน ภายในดารานิรันดร์ระบบสุริยะ ร่างหลักของหวังเป่าเล่อนัยน์ตาฉายแววลึกล้ำ หยัดกายลุกจากการนั่งขัดสมาธิ ก้าวย่างไปข้างหน้าด้วยท่าทีสงบ

ก้าวที่ย่างไป ใต้เท้าเขาปรากฏรอยคลื่นขึ้นกลางอากาศ ขณะที่ระลอกคลื่นกระจายออกไปเป็นชั้นๆ ราวกับแยกท้องฟ้าออกจากกัน ก่อนค่อยๆ ปรากฏภาพฉากหนึ่ง ในภาพนั้น…ก็คือห้วงเหวย้อนกลับ

จากการเสาะหาทั้งสองครั้งของหวังเป่าเล่อ ก็พอมั่นใจตำแหน่งคร่าวๆ ที่จื่อเยว่ซ่อนตัวแล้ว เวลานี้เมื่อตัดสินใจจะจับนาง เขาก็ไม่มีความลังเลใดๆ อีก ก้าวเดินไปยังภาพระลอกคลื่นด้านหน้า

ร่างหลักของหวังเป่าเล่อเลือนหายไปตามก้าวย่างที่เดิน

ในเวลาเดียวกัน คูเมืองบนโลกแห่งหนึ่ง ท่ามกลางรถราผู้คนมากมาย ปรมาจารย์แห่งไฟที่กำลังเดินอยู่ที่นั่นกำลังทอดถอนใจต่อความตระการตาของโลกีย์อารยธรรมสหพันธรัฐ ข้างกายเขานอกจากหวังเป่าเล่อ ศิษย์พี่หญิงใหญ่ ศิษย์พี่รองและวัวเฒ่าที่แปลงเป็นชายแล้ว ก็ยังมีเจ้าเยี่ยเหมิงและโจวเสี่ยวหยาเดินเป็นเพื่อนด้วย

สำหรับหญิงสาวทั้งสองนางนี้ ปรมาจารย์แห่งไฟมองพวกนางราวกับเป็นลูกสะใภ้ ยิ่งมองก็ยิ่งพออกพอใจ ส่วนศิษย์พี่หญิงใหญ่ก็มักหยอกล้อกับหวังเป่าเล่อและพวกนางตลอดทาง ขณะที่บรรยากาศกลมเกลียว ปรมาจารย์แห่งไฟก็รู้สึกราวกับเป็นผู้อาวุโสครอบครัว พาเด็กออกมาเดินเที่ยว บางช่วงก็ให้คำแนะนำการฝึกปราณแก่โจวเสี่ยวหยาและเจ้าเยี่ยเหมิง พูดคุยกันชื่นมื่นตลอดทาง

อีกทั้งเขาก็มีของล้ำค่าอยู่มาก ประเดี๋ยวก็ยกให้ ทำให้อาวุธเวทของเจ้าเยี่ยเหมิงกับโจวเสี่ยวหยาเพิ่มขึ้นกันอีกหลายสิบชิ้น หวังเป่าเล่ออมยิ้มอยู่ด้านข้าง ทว่าในเวลาอันสั้น แทบจะเป็นเวลาเดียวกับที่ร่างหลักของเขาจากไป ปรมาจารย์แห่งไฟที่อยู่ด้านหน้าพลันชะงักเท้า เงยหน้ามองไปทางดวงอาทิตย์ก่อนหันมองหวังเป่าเล่อที่ข้างกาย

“ออกไปแล้วรึ?”

“จัดการเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ขอรับ” หวังเป่าเล่อกล่าวด้วยรอยยิ้ม

“เจ้าไม่ต้องอยู่เป็นเพื่อนอาจารย์หรอก” ปรมาจารย์แห่งไฟกล่าวด้วยความเข้าใจ

“ไม่เป็นไร อาจารย์วางใจเถอะ” หวังเป่าเล่อคำนับอย่างอ่อนน้อม ก่อนพาอาจารย์เดินเที่ยวต่อในเมือง ตลอดทางเงาร่างพวกเขาหล่อหลอมเข้ากับฝูงชนรอบด้าน ทว่าแม้จะมีผู้คนคุ้นตาหน้าตาของหวังเป่าเล่อ แต่กลับไม่มีคนเห็นเขาแล้วจำได้เลย ราวกับในสายตาของพวกเขา หวังเป่าเล่อนั้นดูแตกต่างออกไป

ขณะที่เดินเที่ยวชม ณ ห้วงเหวย้อนกลับในจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้น ภายในความว่างเปล่านอกวงแหวนเหล่านั้น เวลานี้ในระลอกคลื่นได้ปรากฏร่างหลักของหวังเป่าเล่อเดินออกมาจากกลางอากาศ

เมื่อเขาปรากกฏกายขึ้น มหาเต๋าของเขาก็สั่นคลอนกฎเกณฑ์และข้อบังคับของที่แห่งนี้ในทันที ทำให้ห้วงเหวย้อนกลับพลันเกิดเสียงดังสะเทือน สายฟ้ากระหน่ำระเบิดขึ้นในบริเวณรอบด้านอย่างมหาศาล วงแหวนเหล่านั้นถึงขั้นเคลื่อนโคจรอย่างช้าๆ ราวกับการมาเยือนของหวังเป่าเล่อส่งผลต่อห้วงเหวย้อนกลับแห่งนี้อย่างยิ่งยวด

……………………