ในทันทีที่จางซิงอี้เหยียบลงบนพื้นดินของอาณาจักรจันทรา เขาสัมผัสได้ทันทีถึงพลังของมหาค่ายกลที่ตรึงร่างของเขาเอาไว้แถมพลังนี้ยังข่มขู่เขาอีกต่างหาก!
เหตุการณ์เช่นนี้มันทำให้เขาตื่นตะลึงเป็นอย่างมาก เพราะพลังของค่ายกลนี้มันเหนือกว่าพลังที่ควรจะมีอยู่ในโลกเบื้องล่างไปมาก
มหาค่ายกลอันทรงพลังนี้มาอยู่ที่นี่ได้ยังไง?
ในตอนนี้เขาไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่ามแม้แต่น้อยเพราะเขารู้สึกได้ว่าเมื่อไหร่ที่เขามีจิตคิดมุ่งร้าย เขาจะถูกอำนาจของมหาค่ายกลนี้บี้จนแหลกในทันที
ท้ายที่สุดเขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกหดหู่ใจ เพราะตอนอยู่บนโลกเบื้องบนเขาเป็นถึงผู้เชี่ยวชาญขอบเขตจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์อันสูงส่ง แต่ตอนนี้เขาเสียเปรียบผู้คนที่อยู่ในโลกเบื้องล่างซะอย่างนั้น
ในเวลาเดียวกัน ซวนหยวนก็รีบอธิบายต่อหลิงยี่เทียนและเหลียงเฟ่ยเอ๋อ “ใจเย็น ๆ กันก่อน นี่คือผู้ส่งสาสน์จากโลกเบื้องบนของสำนักเต๋าสวรรค์ของเรา แถมเขายังเป็นศิษย์พี่ของว่านถิงเมื่อตอนอยู่บนโลกเบื้องบน!”
หลิงยี่เทียนยังคงไม่เชื่อคำพูดของซวนหยวน
ใครจะไปรู้ว่าไอ้คนนี้เป็นศิษย์พี่ของพี่สองจริงรึเปล่า?
ดังนั้นเพื่อความแน่ใจ หลิงยี่เทียนจึงหันไปถามง้าวเทวะพินาศทันที “ผู้อาวุโส เขาใช่ศิษย์พี่ของพี่สาวข้าจริงรึเปล่า?”
ง้าวเทวะพินาศตอบกลับทั้ง ๆ ที่ยังหลับตานอนอยู่ว่า “เขาเป็นศิษย์ของไอ้แก่เจ้าแห่งพรตเต๋าจริง ถ้าหากเจ้าไม่ชอบขี้หน้าเขา เจ้าจะฆ่าเขาทิ้งไปก็ได้ เขามันก็แค่พวกไร้ค่าไม่มีอะไรให้น่าสนใจ และอีกอย่างร่างของเขาตอนนี้ก็เป็นแค่ร่างแยกที่ถูกสร้างขึ้นมา”
“ขอบคุณผู้อาวุโส!” หลิงยี่เทียนตอบกลับ
เมื่อได้รับการยืนยันแล้ว หลิงยี่เทียนจึงคลายอำนาจของมหาค่ายกลออกทันทีและพูดกับจางซิงอี้ว่า “ข้าต้องขออภัยด้วยที่เมื่อครู่เข้าใจท่านผิด เหตุผลหลักที่พวกข้าต้องระวังตัวขนาดนี้นั้นเป็นเพราะพวกข้ามีศัตรูที่แข็งแกร่งอยู่มากมายที่จ้องจะเล่นงานพวกข้าอยู่”
จางซิงอี้ถามกลับด้วยสีหน้าจริงจัง “ตอนนี้ศิษย์น้องของข้าอยู่ที่ไหน?”
ตอนนี้จางซิงอี้ไม่กล้าที่จะเอาความกับหลิงยี่เทียน เพราะเขายังสัมผัสได้ถึงอำนาจของมหาค่ายกลที่รายล้อมเขาอยู่ ซึ่งถ้าเขาบุ่มบ่ามทำอะไรเมื่อไหร่ชีวิตของเขาจะถึงจุดจบทันที ดังนั้นเขาจึงอยากจะเจอตัวหลิงว่านถิงโดยเร็ว และพานางไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด
หลิงยี่เทียนเรียกคนให้ไปตามตัวหลิงว่านถิงมาในทันที จากนั้นเขาจึงพูดกับพี่สาวของเขาว่า “พี่สอง ตัวตนของชายผู้นี้ถูกยืนยันแล้วว่าเขาเป็นศิษย์พี่ของท่านจริง ดังนั้นข้าจะปล่อยให้ท่านคุยธุระกับเขาตามลำพังก็แล้วกัน”
หลิงว่านถิงพยักหน้า จากนั้นนางหันไปทักทายจางซิงอี้ด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “คารวะศิษย์พี่!”
จางซิงอี้มองสำรวจหลิงว่านถิงอยู่สักพัก จากนั้นเขาหัวเราะและพูดว่า “ศิษย์น้องดูเหมือนว่าเจ้าบ่มเพาะได้ไม่เลวเลยในระหว่างอยู่ในโลกเบื้องล่าง ดูแล้วแค่ได้รับการชี้แนะอีกนิดหน่อยเจ้าน่าจะทะลวงระดับขึ้นไปอยู่ขอบเขตราชันได้อย่างสบาย ๆ เอาล่ะพวกเรารีบกลับไปที่สำนักกันเถอะ ข้าจะรีบทำให้เจ้ากลายเป็นผู้สำเร็จเต๋าให้เร็วที่สุดเพื่อที่พวกเราจะได้ขึ้นไปอยู่บนโลกเบื้องบนกับท่านอาจารย์ตามเดิม”
หลิงว่านถิงพยักหน้า “ถ้างั้นข้าขอไปร่ำลาครอบครัวของข้าก่อนแล้วกันนะศิษย์พี่!”
หลังจากนั้นหลิงว่านถิงจึงรีบไปร่ำลาทุกคน และก่อนที่นางจะจากไป เหลียงเฟ่ยเอ๋อก็ไม่ลืมที่จะอวยพรให้นาง
เมื่อทุกคนมั่นใจว่าแล้วว่าผู้ที่มาจากโลกเบื้องบนมีจุดมุ่งหมายเพื่อมาช่วยหลิงว่านถิง พวกเขาจึงไม่มีเหตุผลอะไรที่จะไม่ให้นางกลับไปที่สำนักเต๋าสวรรค์เพื่อตั้งใจปิดด่านบ่มเพาะ
แต่แล้วเมื่อกลับไปถึงสำนักเต๋าสวรรค์ จางซิงอี้ก็เรียกซวนหยวนมาคุยกับเขาเป็นการส่วนตัวทันที “ทำไมอาณาจักรจันทราถึงมีมหาค่ายกลที่แข็งแกร่งขนาดนั้นได้?”
ซวนหยวนอธิบายเรื่องราวเกี่ยวกับหลิงตู้ฉิงให้จางซิงอี้ฟังทั้งหมดทันที จากนั้นเขาหัวเราะและพูดว่า “หากไม่เป็นเพราะความช่วยเหลือของเขา ทุกวันนี้สำนักของเราคงไม่อยู่ดีกินดีกันถึงขนาดนี้!”
ในทางกลับกัน สีหน้าของจางซิงอี้เปลี่ยนไปในทันทีเมื่อเขารู้เรื่องของหลิงตู้ฉิง
อันที่จริงเขาเคยรู้จักหลิงตู้ฉิงมาก่อนแล้ว แถมยังเคยมีความขัดแย้งกับหลิงตู้ฉิงอีกต่างหาก แต่เขาไม่เคยตอบโต้อะไรหลิงตู้ฉิงเลยเพราะเขาไม่กล้าที่จะทำ
ก่อนที่เขาจะลงมาที่โลกเบื้องล่าง เขาก็ได้ข่าวมาเหมือนกันว่าตอนนี้หลิงตู้ฉิงก็อยู่ที่โลกเบื้องล่าง ซึ่งตอนนั้นที่เขาได้ข่าวเขาเองก็ไม่ค่อยสนใจสักเท่าไหร่ แต่แล้วโดยที่เขาคาดไม่ถึงหลิงตู้ฉิงกลับมีความสัมพันธ์กับสำนักเต๋าสวรรค์ที่อยู่ในโลกเบื้องล่างซะอย่างนั้น
“ระดับการบ่มเพาะของเขาตอนนี้อยู่ที่ระดับไหนแล้ว?” จางซิงอี้ถามขึ้น
“ครั้งล่าสุดที่ข้าเจอเขาก็คือระดับนักบุญ!” ซวนหยวนตอบกลับ
เมื่อได้ยินว่าตอนนี้หลิงตู้ฉิงมีระดับแค่นักบุญ จางซิงอี้ลอบเย้ยหยันในใจและพูดว่า “จับตาดูอาณาจักรจันทราเอาไว้ให้ดี หากเขากลับไปที่นั่นเมื่อไหร่จงแจ้งให้ข้ารู้ทันที”
ตอนนี้ในหัวของจางซิงอี้พลั่งพรูไปด้วยแผนการมากมายหลายอย่าง
ไม่เพียงแต่สำนักเต๋าสวรรค์ที่มีการเปลี่ยนแปลง ที่สำนักวิญญาณโลหิตก็มีการเปลี่ยนเช่นกัน
ในสำนักวิญญาณโลหิต ตอนนี้ผู้ส่งสาสน์จากโลกเบื้องบนของพวกเขาได้ลงมาถึงแล้ว
ผู้ส่งสาสน์จากโลกเบื้องบนของสำนักวิญญาณโลหิตแสดงสีหน้าเดือดดาลในทันที เมื่อรู้ว่าหลิงตู้ฉิงมายุ่มย่ามกับสำนักของเขา “ชายคนนั้นคือศัตรูคู่อาฆาตของสำนักเรา พวกเจ้ากล้าดียังไงถึงไปช่วยมันแบบนั้น! นับจากนี้เป็นต้นไปพวกเจ้าทุกคนไม่ได้รับอนุญาตให้ติดต่อกับอาณาจักรจันทราอีก และเมื่อไหร่ที่ไอ้คนผู้นั้นปรากฏตัวขึ้นข้าจะจัดการกับมันเอง!”
จากนั้นโดยไม่มีการแจ้งเตือน สำนักวิญญาณโลหิตตัดเส้นทางที่เชื่อมต่อระหว่างประตูเคลื่อนย้ายของอาณาจักรจันทรากับประตูเคลื่อนย้ายของพวกเขาทันที และเมื่อเส้นทางที่เชื่อมต่อถูกตัดลง ผู้ที่เป็นคนสร้างมันขึ้นอย่างหลิงฟ่างหัวก็สัมผัสได้ถึงการเปลี่ยนแปลง นางจึงรีบไปแจ้งให้กับหลิงยี่เทียนทราบในทันทีเช่นกัน
หลิงยี่เทียนเงียบไปสักพักก่อนจะพูดว่า “ตอนนี้พวกเราคงทำอะไรไม่ได้ เอาไว้รอให้ท่านพ่อกลับก่อนก็แล้วกันพวกเราค่อยว่ากันใหม่ ส่งคำสั่งออกไปให้เหล่าทหารทั้งหมดถอนตัวกลับมาที่อาณาจักรจันทราทันที!”
เมื่อเผชิญกับเหล่าผู้ส่งสาสน์จากโลกเบื้องบน หลิงยี่เทียนไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องสั่งให้คนของเขาทั้งหมดถอยกลับมาตั้งหลักที่อาณาจักรจันทราก่อนเป็นอันดับแรก
อันที่จริงเขาก็ยังไม่เข้าใจว่าทำไมจู่ ๆ ผู้ส่งสาสน์จากโลกเบื้องบนจำนวนมากถึงได้ลงมาที่โลกเบื้องล่างในเวลาไล่เลี่ยกันแบบนี้
หลิงฟ่างหัวถอนหายใจ “ข้าหวังว่ามันคงไม่มีปัญหาใหญ่อะไรเกิดขึ้น หืม? สำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์ตัดการเชื่อมต่อไปแล้วเหมือนกัน!”
หลิงยี่เทียนพูดขึ้นด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “พี่ห้า ท่านอย่าเพิ่งไปบอกน้าเย่เรื่องนี้ ข้าไม่อยากให้นางเป็นกังวลโดยไม่จำเป็นในระหว่างที่พวกเราทำอะไรไม่ได้”
อันที่จริงสิ่งพวกเขาไม่รู้ก็คือวีรกรรมที่หลิงตู้ฉิงทำไว้บนโลกเบื้องบนมันมากมายกว่าโลกเบื้องล่างที่มีแค่แดนกระดูกขาว
บนโลกเบื้องบน ตัวตนแต่ละคนที่หลิงตู้ฉิงฆ่าไปนั้นมีแต่ตัวตนระดับสูงของแทบจะทุกสำนัก ดังนั้นมันจึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรเลยที่เหล่าผู้ส่งสาสน์จากโลกเบื้องบนของสำนักต่าง ๆ จะสั่งให้สำนักของพวกเขาเองตัดความสัมพันธ์กับอาณาจักรจันทราทันทีเมื่อพวกเขารู้ว่าอาณาจักรจันทรานั้นถือได้ว่าเป็นอาณาจักรของหลิงตู้ฉิง ซึ่งเป็นศัตรูของพวกเขา
ในเวลาเดียวกัน หลิงตู้ฉิงที่กำลังอยู่ในดินแดนแห่งมลทินนั้นไม่รู้ถึงการเปลี่ยนแปลงของโลกภายนอกเลยแม้แต่น้อย
ภายในพริบตาเวลาก็ผ่านไปอีก 100 ปี และโลกภายนอกก็เปลี่ยนไปมากจากที่เคยเป็นมา
โจวจื่อซินมองไปที่หลิงตู้ฉิง ซึ่งนั่งบ่มเพาะอยู่ไม่ห่างจากนางเท่าไหร่ด้วยสายตาที่ปนไปด้วยความดีใจและความกังวล
100 ปีที่ผ่านมา โจวจื่อซินใช้พลังวิญญาณที่มีอยู่ในดอกบัวปีศาจกระหายโลหิตทั้งหมดเอามาบ่มเพาะจนตอนนี้นางทะลวงขึ้นไปถึงขอบเขตราชันเรียบร้อยแล้ว รวมไปถึงดอกบัวเพลิงพิพากษาในเวลานี้ก็เลื่อนระดับไปจนถึงระดับ 6
อันที่จริงพลังแห่งบาปที่อยู่ในดินแดนแห่งมลทินนั้นมันเพียงพอที่จะทำให้ดอกบัวเพลิงพิพากษาสามารถเพิ่มระดับขึ้นไปได้อีก แต่น่าเสียดายที่พลังแห่งพุทธที่ดอกบัวเพลิงพิพากษากักเก็บเอาไว้มันหมดแล้ว ซึ่งการเพิ่มระดับของดอกบัวเพลิงพิพากษาต้องใช้พลังทั้งสองอย่างนี้คู่กัน ดังนั้นตอนนี้ดอกบัวเพลิงพิพากษาจึงไม่สามารถเพิ่มระดับได้อีกต่อไป
เมื่อไม่มีอะไรให้บ่มเพาะต่อ โจวจื่อซินจึงหันมาสนใจดูหลิงตู้ฉิงบ่มเพาะแทน
100 ปีที่ผ่านมา ระดับการบ่มเพาะของหลิงตู้ฉิงก็พัฒนาไปมากเช่นกัน ซึ่งตอนนี้เขาเหลืออีกเพียงก้าวเดียวจะทะลวงขึ้นไปถึงขอบเขตราชันแล้ว แต่ 100 ปีที่ผ่านมาหลิงตู้ฉิงไม่ลืมตาขึ้นเลยสักครั้ง ดังนั้นนางจึงมองเขาด้วยสายตาเป็นกังวล
ตอนนี้นางไม่แน่ใจว่าหลิงตู้ฉิงเกิดปัญหาอะไรรึเปล่า
จากนั้นเมื่อนางเฝ้ามองต่อไปอีก 2 ปี ในที่สุดหลิงตู้ฉิงก็ทะลวงระดับขึ้นไปถึงขอบเขตราชันจนได้ และเมื่อเขาทะลวงระดับขึ้นไปได้สำเร็จเปลือกตาของเขาก็ค่อย ๆ เปิดออก!