บทที่ 959 ฝ่าบาท ได้โปรดลองคิดดูใหม่อีกสักครั้ง

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

ตอนที่ 959 ฝ่าบาท ได้โปรดลองคิดดูใหม่อีกสักครั้ง

“บิดาของเจ้าบอกว่า…”

องค์จักรพรรดิกำลังจะเปิดปากตอบคำถาม

“ช้าก่อนพ่ะย่ะค่ะ”

ทันใดนั้น หลินเป่ยเฉินก็ขัดจังหวะขึ้นมา

เด็กหนุ่มชำเลืองมองรอบตัวด้วยความหวาดระแวงพลางพูดว่า “ฝ่าบาทอย่าเพิ่งกล่าวอะไรเลย ขอกระหม่อมตรวจสอบดูก่อนว่า ในบริเวณนี้มีมือสังหารอยู่หรือไม่…”

องค์จักรพรรดิหัวใจเต้นระรัว

มือสังหาร?

จะมีมือสังหารอยู่ในตำหนักแห่งนี้ได้อย่างไร?

หรือว่าหลินเป่ยเฉินมีพลังสูงส่งจนสามารถสัมผัสได้ถึงความผิดปกติที่คนอื่น ๆ มองข้าม?

ทันใดนั้น องค์จักรพรรดิเกิดความร้อนรุ่มใจขึ้นมาไม่ใช่น้อย

เมื่อหลินเป่ยเฉินกวาดสายตาสำรวจมองรอบบริเวณอย่างถี่ถ้วนแล้ว ในที่สุด เขาก็พูดออกมาว่า “ปลอดภัยพ่ะย่ะค่ะ…เชิญฝ่าบาทบอกกระหม่อมมาได้เลย”

“นี่เจ้า…”

องค์จักรพรรดิมีสีหน้าลังเล

“อ้อ คือกระหม่อมเห็นในละครทีวี…เอ๊ย กระหม่อมเคยเห็นในละครเร่ตามข้างถนน ฉากเช่นนี้เวลาที่มีผู้คนกำลังจะบอกความลับอะไรบางอย่าง ก็มักจะถูกสังหารไปเสียทุกที กระหม่อมก็เลยต้องระมัดระวังเอาไว้ก่อนน่ะพ่ะย่ะค่ะ”

“บัดนี้ กระหม่อมตรวจสอบจนแน่ใจแล้วว่าไม่มีมือสังหารอยู่ที่นี่ ดังนั้น ฝ่าบาทบอกความลับกระหม่อมมาได้เลยพ่ะย่ะค่ะ”

หลินเป่ยเฉินอธิบายด้วยน้ำเสียงจริงใจและจริงจัง

องค์จักรพรรดิแทบพูดอะไรไม่ออกอีกแล้ว

เขาอยากจะเรียกตัวเฉียนเฟยเซวียเข้าวังมาทันที

และแต่งตั้งผู้ตรวจการเฉียนให้เป็นเสนาบดีฝ่ายตรวจสอบขุนนาง

เนื่องจากผู้ตรวจการเฉียนสามารถประเมินผู้คนได้แม่นยำยิ่ง

หลินเป่ยเฉินมีความสามารถในการสร้างความรำคาญใจให้แก่ผู้คนได้ดีจริง ๆ

องค์จักรพรรดิแทบไม่อยากพูดคุยกับเด็กหนุ่มอีกแม้แต่คำเดียว

“ในตอนนั้น บิดาของเจ้าบอกให้ข้าบุกทลายจวนตระกูลหลิน และถอนรากถอนโคนตระกูลของเจ้าอย่าได้มีเมตตา”

องค์จักรพรรดิตอบ

แค่นี้เองหรือ?

“ฝ่าบาทแน่ใจหรือว่าบิดาของกระหม่อมไม่ได้ไข้ขึ้นจนเพ้อพกไปเอง คนปกติที่ไหนกันจะกล่าววาจาเช่นนี้ออกมาได้?”

หลินเป่ยเฉินถามด้วยความขุ่นเคืองใจ

นี่มันอะไรกันเนี่ย?

ทำไมพ่อของเขาต้องเปิดโหมดทำลายตัวเองด้วย?

แถมยังไม่สนใจลูกชายตาดำ ๆ สักนิด

หลินจิ้นหนานไม่คิดบ้างหรือว่าบุตรชายของตนเองจะต้องเดือดร้อนขนาดไหน?

องค์จักรพรรดิตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า “บิดาของเจ้าสบายดีทุกอย่าง เขากำชับข้าเป็นพิเศษว่าเรื่องนี้ต้องเก็บเอาไว้เป็นความลับสูงสุด เขาถึงกับบอกว่าทรัพย์สมบัติทั้งหมดต้องยึดเข้าหลวง บ่าวรับใช้ในตระกูลต้องถูกไล่ออก อย่าเหลือสิ่งใดเอาไว้เป็นที่พึ่งพิงให้แก่เจ้าเด็ดขาด แม้แต่เหรียญทองแดงเดียว ก็จะให้หล่นถึงมือเจ้าไม่ได้”

อ้าว เฮ้ย?

ปรากฏว่าการยึดตำแหน่งขุนนางนักรบแห่งสวรรค์และจุดเริ่มต้นแห่งความยากลำบากของหลินเป่ยเฉิน ล้วนเป็นแผนการของบิดาเขาเองอย่างนั้นหรือ?

เด็กหนุ่มไม่ใช่คนโง่

หลินเป่ยเฉินเข้าใจอะไรบางอย่างขึ้นมาทันที

ที่บิดาต้องทำเช่นนี้ ก็เพื่อปกป้องเขาใช่หรือไม่?

ถึงอย่างไร หลินจิ้นหนานก็ยังเป็นบิดาของหลินเป่ยเฉินอยู่นี่นะ

“มีอย่างอื่นอีกไหมพ่ะย่ะค่ะ?”

เด็กหนุ่มถามออกมาอีกครั้ง

องค์จักรพรรดิส่ายหน้าด้วยความหดหู่ใจ “หลังจากนั้นก็ไม่มีอะไรสำคัญ บิดาของเจ้าเพียงขอบคุณความเมตตาที่ข้ามีให้เขาตลอดระยะเวลาหลายสิบปี และเขาก็ขอร้องข้าอย่าได้ตามหาตัวเขาเด็ดขาด… เขาอยากให้ข้าจดจำตนเองในฐานะองค์จักรพรรดิกับนายทหารผู้ซื่อสัตย์ และนั่นก็คือครั้งสุดท้ายที่ข้าได้พบบิดาของเจ้า… เขารีบมาและรีบไปเหลือเกิน”

หลินเป่ยเฉินหน้านิ่วคิ้วขมวด

ทำไมหลินจิ้นหนานถึงต้องรีบร้อนขนาดนั้นด้วย?

“เดี๋ยวก่อนนะพ่ะย่ะค่ะ”

หลินเป่ยเฉินยกมือขึ้นมาจับคางตนเองด้วยสีหน้าครุ่นคิด “ฝ่าบาท ได้โปรดลองคิดดูใหม่อีกสักครั้ง อาจมีบางสิ่งบางอย่างที่พระองค์ทรงมองข้ามไป เช่น บิดาของกระหม่อมไม่ได้ทิ้งศิลาบูชาเอาไว้ให้กระหม่อมใช้ยามฉุกเฉินสัก 10,000 ก้อนบ้างเลยหรือ? หรือจะเป็นเหรียญทองคำสักร้อยล้านเหรียญก็ยังดี อาวุธศักดิ์สิทธิ์ก็นับว่าพอใช้ได้ กระหม่อมเป็นถึงบุตรชายเพียงคนเดียวของเขา บิดาจะไม่ทิ้งอะไรเอาไว้เลยจริง ๆ หรือ?”

องค์จักรพรรดิมองหน้าหลินเป่ยเฉินราวกับกำลังจ้องมองรูปปั้นตัวหนึ่ง

เด็กหนุ่มหัวเราะแหะ ๆ ด้วยความเขินอาย แต่ก็กล่าวต่อไปว่า “ฝ่าบาทได้โปรดลองนึกดูอีกสักหลาย ๆ ครั้ง หากไม่ได้มีทรัพย์สินเงินทองเหล่านั้น อย่างน้อยก็ต้องมีสุดยอดคัมภีร์เคล็ดวิชาลับบางอย่าง หรือไม่ก็สมุนไพรวิเศษที่ช่วยเสริมสร้างพลังลมปราณขั้นสูงสุด… บิดาของกระหม่อมน่าจะมีสิ่งของเหล่านั้นอยู่บ้างไม่ใช่หรือ?”

องค์จักรพรรดิ์เข้าใจแล้วว่าหลินเป่ยเฉินเป็นบุคคลที่ไร้ยางอายอย่างแท้จริง

เดิมทีจากความดีความชอบที่ผ่านมา พระองค์ทรงหลงเข้าใจว่าเด็กหนุ่มคงอำพรางซ่อนเร้นความอัจฉริยะที่แท้จริงมาตลอด

แต่ความจริง หลินเป่ยเฉินยังคงเป็นตัวร้ายกาจสมคำเล่าลือ

“ข้านึกทบทวนดูดีแล้ว บิดาของเจ้าไม่ได้ทิ้งอะไรไว้ทั้งนั้น”

องค์จักรพรรดิกัดฟันพูดเน้นย้ำทีละคำ

“เฮ้อ แล้วอย่างนี้ยังจะเรียกตัวเองว่าเป็นพ่อคนอีกได้ยังไง”

หลินเป่ยเฉินถอนหายใจออกมาด้วยความเศร้า แต่ก็อดถามด้วยความสงสัยไม่ได้ว่า “แล้วหลังจากนั้น เกิดอะไรขึ้นหรือพ่ะย่ะค่ะ?”

ดวงตาขององค์จักรพรรดิเป็นประกายวาวโรจน์ด้วยความเกลียดชังขึ้นมาวูบหนึ่ง

เห็นได้ชัดว่าพระองค์ทรงนึกถึงความแค้นบางอย่างที่ไม่อาจลืมเลือน

เมื่อเห็นว่าหลินเป่ยเฉินยังคงจ้องมองมา องค์จักรพรรดิก็สูดหายใจลึกและกล่าวตอบ “ตอนที่บิดาของเจ้านำกองทัพออกสู่สนามรบชายแดนเหนือ เขาพบว่ามีกองกำลังปริศนาซุ่มโจมตีระหว่างทาง บิดาของเจ้าจึงเปลี่ยนเส้นทางการเดินทัพทันที”

“ข้าเดาเอาว่าเขาคงต้องการปกป้องไม่ให้นายทหารผู้บริสุทธิ์ต้องเดือดร้อนโดยไม่จำเป็น ยิ่งไปกว่านั้น กองทัพของบิดาเจ้าล้วนแล้วแต่เป็นยอดฝีมือที่จัดตั้งขึ้นมาเพื่อต่อกรกับกองทัพจักรวรรดิจี้กวงโดยเฉพาะ… แต่โชคร้ายที่บิดาของเจ้าหนีไม่พ้น กองทัพนักรบสวรรค์ของเขาถูกกวาดล้างโดยกลุ่มคนปริศนา และนับตั้งแต่นั้นมา ก็ไม่มีใครทราบข่าวคราวบิดาของเจ้าอีกเลย”

ปรากฏว่าที่องค์จักรพรรดิทรงเคียดแค้นเช่นนี้ ก็เพราะตนเองต้องเสียกองทัพนักรบสวรรค์ไปนั่นเอง

หลินเป่ยเฉินเข้าใจเรื่องราวทั้งหมดแล้ว

เกือบหนึ่งปีที่ผ่านมา เหตุผลที่จักรวรรดิเป่ยไห่ต้องตกเป็นรองจักรวรรดิจี้กวงในสนามรบหลายครั้งหลายครา ก็เนื่องจากการขาดหายไปของกองทัพนักรบสวรรค์

“ถ้าอย่างนั้น การหายตัวไปของพี่สาวกระหม่อม…”

หลินเป่ยเฉินถามออกมาอีกครั้ง

องค์จักรพรรดิส่ายหน้า “เรื่องนี้ข้าไม่เกี่ยวข้อง”

“อ้าว?”

หลินเป่ยเฉินเกือบอุทานออกมาว่า หากท่านไม่เกี่ยว แล้วใครจะเกี่ยวได้อีก?

แต่องค์จักรพรรดิก็ทรงอธิบายเพิ่มเติมว่า “ตอนที่บิดาของเจ้ามาพบข้าครั้งสุดท้ายนั้น เขาได้ย้ำเตือนถึงเรื่องราวของเจ้าอยู่หลายรอบ ทว่า เขาไม่เคยพูดถึงพี่สาวของเจ้าเลยสักคำเดียว หลังจากนั้น ข้าก็ส่งองครักษ์ไปหาพี่สาวเจ้าเพื่อคุ้มกันนางให้หลบหนีมาที่นครหลวง แต่น่าเสียดายกว่าที่องครักษ์ของข้าจะไปถึง พี่สาวของเจ้าก็หายตัวไปแล้ว!”

เมื่อได้ยินเช่นนี้ หลินเป่ยเฉินก็ยิ่งไม่แน่ใจเลยว่าพี่สาวของตนเองหายตัวเนื่องจากหลบหนีไปเองจริง ๆ หรือนางถูกกลุ่มคนปริศนาจับตัวไปกันแน่

เฮ้อ

ทันใดนั้น หลินเป่ยเฉินนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้

ก่อนหน้านี้ องค์หญิงอวี่เค่อแห่งจักรวรรดิจี้กวงเคยนำผ้าเช็ดหน้าปักลายของหลินถินชางออกมาให้ดู และหวังจงก็จำได้ว่านั่นคือผ้าเช็ดหน้าของพี่สาวเขาจริง ๆ…

ดูเหมือนว่าองค์หญิงอวี่เค่อน่าจะรู้ที่อยู่ของหลินถินชางสินะ

เหอเหอเหอ

พี่สาวของเขานี่จิตใจชั่วร้ายใช้ได้เลยนะเนี่ย พอเห็นท่าว่าสถานการณ์ไม่ค่อยดี ก็รีบทรยศประเทศชาติและเข้าร่วมกับจักรวรรดิจี้กวงโดยทันทีเชียวหรือ?

“โฮ่ บิดาและพี่สาวที่น่าสงสารของข้า…”

หลินเป่ยเฉินเสแสร้งแกล้งร้องไห้ด้วยความเสียใจ “ข้าจะต้องตามหาพวกเขาให้ได้…”

หลังจากนั้น เด็กหนุ่มก็รีบเปลี่ยนเรื่องอย่างรวดเร็ว “แต่ว่าฝ่าบาทบอกว่าอยากจะให้รางวัลกระหม่อมไม่ใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ? ในเมื่อฝ่าบาทไม่มีเงิน ไม่มีโอสถวิเศษ ไม่มีคัมภีร์เคล็ดวิชาใด ๆ ถ้าอย่างนั้น ฝ่าบาทก็ทรงแต่งตั้งกระหม่อมขึ้นเป็นแม่ทัพใหญ่ เพื่อกวาดล้างตระกูลเว่ยโดยเฉพาะดีหรือไม่?”

หลินเป่ยเฉินไม่ได้รู้สึกผูกพันอะไรกับบิดาและพี่สาวของตนเองอยู่แล้ว

เขาไม่ได้อยากจะยุ่งเกี่ยวให้มากความด้วยซ้ำ

คนเราถ้าลองมีกองกำลังปริศนาคอยไล่ฆ่าอยู่เช่นนี้ แสดงว่าคงไม่ได้เป็นคนดีแน่ ๆ

สีหน้าขององค์จักรพรรดิกลับมามีความเคร่งขรึมจริงจังอีกครั้ง

“เจ้าอยากทำลายล้างตระกูลเว่ยจริงหรือ?”

องค์จักรพรรดิมองหน้าหลินเป่ยเฉิน “เจ้ารู้รายละเอียดของตระกูลเว่ยหรือไม่?”

“รายละเอียด?”

หลินเป่ยเฉินยกมือจับคางอย่างครุ่นคิดและกล่าวว่า “เท่าที่กระหม่อมรับทราบ ตระกูลเว่ยถือเป็นหนึ่งในตระกูลใหญ่ของจักรวรรดิเป่ยไห่ ฉากหลังได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มปีศาจ ดังนั้น พวกเราจึงต้องกวาดล้างตระกูลนี้ให้สิ้นซากพ่ะย่ะค่ะ กราบทูลฝ่าบาท บัดนี้ กระหม่อมมีความแข็งแกร่งเพียงพอแล้ว แม้แต่การทำลายนครหลวง กระหม่อมก็สามารถทำได้ในพริบตาเดียว…”

องค์จักรพรรดิกะพริบตาปริบ ๆ

ทำลายนครหลวง?

องค์จักรพรรดิรู้สึกราวกับกำลังถูกหลินเป่ยเฉินข่มขู่อยู่อย่างไรชอบกล

“เป็นเรื่องจริงที่ตระกูลเว่ยได้รับการสนับสนุนจากพวกปีศาจ”

องค์จักรพรรดิลดเสียงลงเป็นกระซิบโดยไม่รู้ตัว “แต่เหตุผลที่พวกเขากล้าทำตัวกระด้างกระเดื่องต่อราชสำนักนั้น เป็นเพราะพวกเขาไม่ได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มปีศาจเท่านั้น แต่ยังได้รับการสนับสนุนจากเทพเจ้าองค์อื่น ๆ ในแผ่นดินตงเต้าอีกด้วย และด้วยระดับพลังของเจ้า ณ บัดนี้ ก็มีความเป็นไปได้สูงที่การกวาดล้างตระกูลเว่ยของเจ้าจะล้มเหลว”

ว่าไงนะ?

หลินเป่ยเฉินถึงกับอ้าปากเหวอเมื่อได้ยินคำตอบจากองค์จักรพรรดิ

ยังมีเทพเจ้าองค์อื่นหนุนหลังตระกูลเว่ยอยู่อีก?

ไม่ได้มีแค่พวกปีศาจฝ่ายเดียวเท่านั้น?

นี่ไม่มีเหตุผลเลย

ถึงหลินเป่ยเฉินจะมีความรู้เกี่ยวกับศาสนาและความเชื่อของผู้คนในโลกนี้เพียงหางอึ่ง แต่เขาก็รู้มากพอว่าในระบบเทพเจ้าของผู้คนในแผ่นดินตงเต้า หากคนผู้หนึ่งนับถือเทพเจ้าองค์ใดแล้ว ก็ไม่มีสิทธิ์นับถือเทพเจ้าองค์อื่นอีกเด็ดขาด นี่คือกฎเหล็กสำคัญที่ไม่ว่าผู้ใดก็ละเมิดไม่ได้

แล้วเหตุไฉน เหล่าเทพเจ้าผู้บัญญัติกฎเหล่านี้ขึ้นมา กลับเป็นฝ่ายละเมิดกฎเสียเองเล่า?