ตอนที่ 960 ตราบใดที่มีค่าจ้างก็ไม่ใช่ปัญหา
ระบบเทพเจ้าในปัจจุบันของแผ่นดินตงเต้าระบุเอาไว้ว่าเทพเจ้าแต่ละองค์จะแบ่งแยกสาวกของตนเองและไม่ยุ่งเกี่ยวกันเด็ดขาด
กฎนี้มีขึ้นเพื่อป้องกันไม่ให้เทพเจ้าแย่งชิงสาวกกันเอง
เพราะฉะนั้น การที่เทพเจ้ามากกว่าหนึ่งองค์จะมาสนับสนุนบุคคลเพียงผู้เดียวพร้อม ๆ กันจึงถือเป็นเรื่องที่ผิดปกติอย่างยิ่ง
หรือถ้าจะกล่าวให้ถูกต้องก็คือ ด้วยกฎระเบียบแห่งเทพเจ้าเหล่านี้ จึงไม่เคยมีเทพเจ้าจากแผ่นดินอื่นแผ่อำนาจเข้ามาลุกล้ำเขตแดนแผ่นดินตงเต้าได้สำเร็จมาก่อน
การที่เทพเจ้าต่างดินแดนจะแทรกแซงเข้ามานั้น คือเรื่องที่แทบเป็นไปไม่ได้
เมื่อเทพเจ้าองค์นั้นถูกค้นพบ ก็จะถูกขับไล่ออกจากระบบเทพเจ้าของแผ่นดินตงเต้าทันที
แต่ไหนแต่ไรมา จึงไม่เคยมีเทพเจ้าต่างถิ่นปรากฏตัวขึ้นในแผ่นดินตงเต้ามาก่อน
หลินเป่ยเฉินถูกนักพรตหญิงชินบังคับให้อ่านคัมภีร์ประวัติศาสตร์เทพเจ้านับครั้งไม่ถ้วน ดังนั้น สิ่งที่เขาเคยอ่านจึงหลงเหลืออยู่ในสมองพอสมควร
หลังจากนั้น องค์จักรพรรดิแห่งจักรวรรดิเป่ยไห่ก็ได้แจ้งเพิ่มเติมว่าเทพเจ้าที่หนุนหลังตระกูลเว่ยอยู่นั้น น่าจะเป็นเทพเจ้าจากต่างดินแดนด้วยเช่นกัน
แล้วจะไม่ให้หลินเป่ยเฉินตกตะลึงได้อย่างไร?
เดิมที เด็กหนุ่มเข้าใจว่าตนเองเป็นผู้เดียวที่ไร้ยางอายที่สุดในเรื่องราวครั้งนี้ แต่คิดไม่ถึงเลยว่าผู้ที่ไร้ยางอายมากไปกว่าเขากลับเป็นเทพเจ้าปริศนาที่หนุนหลังเว่ยหมิงเฉิน
“พระองค์ทรงทราบหรือไม่ว่าเทพเจ้าองค์ใดสนับสนุนตระกูลเว่ยอยู่พ่ะย่ะค่ะ?”
หลินเป่ยเฉินถามเมื่อตั้งสติได้
องค์จักรพรรดิส่ายหน้าพลางตอบ “บัดนี้ยังไม่ได้สืบสวน แต่ดูจากความรุ่งเรืองอย่างรวดเร็วของตระกูลเว่ยแล้ว เขาคงไม่ได้พึ่งพิงแค่พวกปีศาจเป็นแน่แท้ หรือหากจะกล่าวให้ถูกต้องก็คือ เทพเจ้าจากต่างแดนได้ร่วมมือกับพวกปีศาจคอยให้ความช่วยเหลือตระกูลเว่ยทั้งสองทางนั่นเอง”
อ๋อ ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้เองสินะ
เผ่าพันธุ์ปีศาจเหล่านั้นคือสิ่งมีชีวิตประเภทเดียวกับไป๋ชินหยุน
เมื่อเผ่าพันธุ์ปีศาจชักชวนเทพเจ้าจากต่างแดนมาให้ความช่วยเหลือตระกูลเว่ยสำเร็จ เว่ยหมิงเฉินก็จัดการเขี่ยไป๋ชินหยุนทิ้งทันทีเมื่อนางหมดประโยชน์
เว่ยหมิงเฉินคงไม่รู้เลยว่าไป๋ชินหยุนกำลังคิดแผนการกลับไปล้างแค้นตนเองอยู่ในขณะนี้
หลินเป่ยเฉินนิ่งคิดอะไรบางอย่างเล็กน้อยก็ตัดสินใจเสแสร้งแกล้งทำเป็นไม่รู้เรื่องรู้ราวต่อไป
เทพเจ้าที่คอยสนับสนุนเว่ยหมิงเฉินอยู่คือผู้ใด?
เหตุไฉนถึงต้องสนับสนุนหมอนั่นด้วย?
หลินเป่ยเฉินเข้าใจว่าตนเองมีโทรศัพท์มือถืออยู่ในมือ หากเทพเจ้าจากต่างแดนผู้นั้นต้องการสร้างฐานสาวกอย่างลับ ๆ เทพเจ้าองค์นั้นสู้มาติดต่อเขาไม่ดีกว่าหรือ?
เพราะเมื่อตระกูลเว่ยถูกทำลายลงเมื่อไหร่ รากฐานอำนาจของเทพเจ้าจากต่างแดนก็จะถูกกำจัดไปด้วย และเทพเจ้าย่อมอยู่ไม่ได้หากปราศจากซึ่งสาวก นี่จึงนับว่าเป็นการถอนรากถอนโคนพวกเว่ยหมิงเฉินอย่างแท้จริง
เฮ้อ น่าเสียดายชะมัด
หลินเป่ยเฉินถอนหายใจและกล่าวว่า “ก็แค่เทพเจ้าจากต่างแดนเพียงองค์เดียว ฝ่าบาทไม่ต้องหวาดกลัว แค่เราทำลายรากฐานสาวกของเทพเจ้าองค์นั้น…”
“ใครบอกเจ้าว่ามีเทพเจ้าแค่องค์เดียว?”
องค์จักรพรรดิมีสีหน้าประหลาดใจขณะอธิบายว่า “ข้ายังพูดไม่จบเลยสักหน่อย มีความเป็นไปได้ว่ามีเทพเจ้าจากต่างแดนคอยหนุนหลังสกุลเว่ยมากกว่าหนึ่งองค์ และเทพเจ้าเหล่านั้นยังเป็นกลุ่มพันธมิตรที่น่ากลัว บัดนี้ เทพกลุ่มนั้นกำลังขยายรากฐานสาวกไปทั่วแผ่นดินตงเต้า… โลกทั้งใบกำลังจะเปลี่ยนไปในอีกไม่ช้า”
เมื่อได้รับฟังเช่นนี้ ใบหน้าของหลินเป่ยเฉินก็กระตุกขึ้นมาทันที
ให้ตายสิ พูดให้รู้เรื่องตั้งแต่รอบแรกไม่ได้หรือไง
คำว่ามีเทพเจ้าจากต่างถิ่นมากกว่าหนึ่งองค์นั้น ทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกปวดหัวตึบขึ้นมาอย่างฉับพลัน
แผนการของเขาล้มเหลวตั้งแต่ยังไม่ได้เริ่มเลยด้วยซ้ำ
น่าอับอายเหลือเกิน
แต่ไม่เป็นไร อย่าเพิ่งตื่นตูมมากเกินไป
“หุหุ กระหม่อมกำลังจะบอกว่าพวกมันเป็นเพียงเทพเจ้าจากต่างแดน ไม่มีสิ่งใดต้องเป็นกังวล เมื่อกระหม่อมรายงานเรื่องนี้ต่อเทพีกระบี่ นางก็ต้องช่วยกวาดล้างพวกมันให้แก่พวกเราแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ…”
หลินเป่ยเฉินหันหน้ากลับมาพูดด้วยความมั่นใจ “แต่ในเมื่อเรื่องนี้มีผลประโยชน์ของดินแดนทวยเทพเข้ามาเกี่ยวข้อง กระหม่อมคิดว่าพวกเราอย่าเพิ่งรีบรบกวนเทพีกระบี่เลยดีกว่า สำหรับเรื่องราวของตระกูลเว่ยนั้น ค่อย ๆ จัดการทีละเล็กทีละน้อยก็ไม่เสียหาย”
องค์จักรพรรดิรีบพยักหน้าอย่างเห็นด้วยพร้อมกับกล่าวว่า “ส่วนแผนการ ณ บัดนี้ การจัดลำดับจักรวรรดิครั้งใหม่คือสิ่งสำคัญสูงสุด พวกเราสมควรผ่านการประเมินให้ได้อย่างราบรื่น เมื่อการจัดลำดับผ่านพ้นไปด้วยดี สถานการณ์บ้านเมืองก็จะสงบสุข และเมื่อถึงเวลานั้น โอกาสที่พวกเราจะถอนรากถอนโคนตระกูลเว่ยก็มาถึงแล้ว”
หลินเป่ยเฉินเข้าใจได้ไม่ยาก
พระประสงค์ขององค์จักรพรรดิในยามนี้มีเพียงอย่างเดียวเท่านั้นคือ…
เอาตัวรอดจากเหตุการณ์เฉพาะหน้าครั้งนี้ให้ได้ก่อน
นับเป็นแผนการที่สมเหตุสมผลอย่างยิ่ง
“ฝ่าบาททรงพระปรีชาสามารถเหลือเกินพ่ะย่ะค่ะ”
หลินเป่ยเฉินประสานมือคำนับด้วยความเคารพ
หลังจากหยุดชะงักเล็กน้อย เขาก็สอบถามต่อ “กระหม่อมไม่ทราบเลยว่าการจัดลำดับจักรวรรดิคืออะไร พวกเขาจะทำการประเมินพวกเราอย่างไร? ต้องขึ้นสังเวียนต่อสู้อีกหรือไม่? เอ่อ…ไหน ๆ ก็พูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมาแล้ว หากฝ่าบาทต้องการให้กระหม่อมแสดงฝีมืออีกครั้ง ก็ต้องเพิ่มค่าจ้างให้กระหม่อมด้วยนะพ่ะย่ะค่ะ”
องค์จักรพรรดิคลี่ยิ้มออกมาเล็กน้อย “การประเมินลำดับจักรวรรดิไม่มีสิ่งใดซับซ้อน ตามข้อมูลของการประเมินหลายครั้งที่ผ่านมา มันจะเป็นเพียงการเก็บข้อมูลเชิงสถิติเท่านั้น กลุ่มพันธมิตรจักรวรรดิส่วนกลางจะตรวจสอบว่าจักรวรรดิเป่ยไห่มียอดฝีมือระดับเซียนอยู่ด้วยกันทั้งสิ้นกี่คน มีมือกระบี่ระดับยอดปรมาจารย์ตอนปลายกี่คน มีมือกระบี่ระดับปรมาจารย์กี่คน จำนวนของนายทหารเมื่อนำมาเทียบสัดส่วนกับจำนวนประชากรอยู่ในเกณฑ์น่าพอใจแล้วหรือยัง”
“รวมถึงตัวบทกฎหมายในจักรวรรดิของเรา สามารถบังคับใช้จริงอย่างมีประสิทธิภาพมากเพียงใด นอกจากนี้ ก็จะเป็นการตรวจสอบระบบนิเวศของภูเขา ลำธาร แม่น้ำ มหาสมุทร ตลอดไปจนถึงทรัพยากรทางทะเล เพื่อให้ได้ข้อสรุปว่าจักรวรรดิเป่ยไห่ของเรานั้นสมควรดำรงอยู่ต่อไปอีกหรือไม่…”
ได้ยินดังนี้ หลินเป่ยเฉินก็รู้สึกปวดหัวขึ้นมาอีกครั้ง
ข้อมูลเชิงสถิติเป็นอะไรที่ไม่เหมาะกับสมองของเขาสักนิด
หลินเป่ยเฉินสามารถยิงธนูขี่ม้าฟันกระบี่เสี่ยงตายในสนามรบได้ไม่มีปัญหา
แต่หากให้เขามานั่งคำนวณสถิติเหล่านี้ มีหวังได้ตายอย่างทุกข์ทรมานแน่ ๆ
“แล้วพวกเรามีแนวโน้มที่จะผ่านการประเมินครั้งนี้ไหมพ่ะย่ะค่ะ?”
หลินเป่ยเฉินสอบถามออกมาอีกครั้ง
องค์จักรพรรดิยิ้มเล็กน้อย ก่อนตอบว่า “พวกเรามีแนวโน้มที่ดีมากทีเดียว โดยรวมจักรวรรดิเป่ยไห่มีคุณสมบัติผ่านเกณฑ์พื้นฐานทั้งหมด แต่ส่วนที่ยากที่สุดก็คือการประเมินขั้นสุดท้ายของกลุ่มพันธมิตรจักรวรรดิส่วนกลาง สถานการณ์ในตอนนั้นอาจมีตัวแปรหลายอย่างเกิดขึ้นได้โดยไม่คาดฝัน และข้าก็หวังว่าเจ้าจะยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ”
“ไม่มีปัญหาพ่ะย่ะค่ะ”
หลินเป่ยเฉินพยักหน้ารับคำหนักแน่น “ตราบใดที่มีค่าจ้าง กระหม่อมพร้อมทำงานรับใช้ฝ่าบาทเสมอ”
องค์จักรพรรดิพูดอะไรไม่ออกอีกแล้ว
เจ้าเด็กคนนี้ คำก็เรื่องเงิน สองคำก็เรื่องเงิน คนเสียสติที่ไหนกันจะลุ่มหลงเงินทองขนาดนี้?
ว่ากันตามความน่าจะเป็น ด้วยรากฐานพลังที่แข็งแกร่งของหลินเป่ยเฉิน เด็กหนุ่มไม่สมควรเป็นผู้ที่ร้อนเงินถึงเพียงนี้เลย
…
เจดีย์เซียนเหยียบเมฆ
“มีปัญหา”
เมื่อถังกงเยวียนดูศิลาบันทึกภาพของผู้มีพลังขั้นเซียนระดับเหรียญทองคำหน้าใหม่ทั้งสี่คนนั้นจบลง ชายวัยกลางคนก็มีสีหน้าคิดหนักขึ้นมาทันที
แม้ฉากหน้าจะไม่มีสิ่งใดผิดปกติ แต่ไม่รู้เป็นเพราะเหตุใด ถังกงเยวียนจึงรู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ชอบมาพากล
แต่เขาก็อธิบายไม่ได้ว่าบางอย่างนั้นคืออะไร
ชายวัยกลางคนได้แต่นั่งคิดด้วยความเคร่งเครียด
ก๊อกก๊อกก๊อก
เสียงเคาะประตูดังขึ้น
“อาจารย์ขอรับ ศิษย์เขียนแผนงานสำหรับการประเมินครั้งนี้เสร็จแล้ว อาจารย์อยากตรวจสอบดูก่อนหรือไม่?”
เกออู๋โหยวเปิดประตูเดินเข้ามา
“ไม่ต้องดู”
ถังกงเยวียนโบกมือไล่ด้วยความรำคาญใจ “ส่งไปให้ทางราชสำนักเตรียมงานได้เลย อ้อ เจ้าอย่าลืมส่งสำเนาไปที่กลุ่มพันธมิตรจักรวรรดิส่วนกลางด้วย พวกเขาก็ต้องร่วมมือในการประเมินเช่นกัน”
“อาจารย์จะไม่ตรวจสอบดูจริง ๆ หรือขอรับ?”
เกออู๋โหยวพยายามถามย้ำให้แน่ใจ
“ไม่ดู ออกไปได้แล้ว”
ถังกงเยวียนสั่งด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด
เกออู๋โหยวหมุนตัวเดินออกมาอย่างมีความสุข
ไม่ตรวจดูก็ดีแล้ว
ชายหนุ่มเดินออกจากเจดีย์เซียนเหยียบเมฆด้วยใบหน้าแสดงความตื่นเต้น
“การประเมินลำดับจักรวรรดิก่อนหน้านี้ มักจะอาศัยเพียงข้อมูลเชิงสถิติของประชากร จำนวนเขตแดน การบังคับใช้กฎหมายและคุณภาพของผู้ฝึกยุทธ์เท่านั้น นับเป็นการประเมินที่น่าเบื่อและไร้ความคิดสร้างสรรค์มากเกินไป ครั้งนี้ล่ะ ข้าจะเปลี่ยนโฉมการประเมินใหม่ทั้งหมด ฮ่า ๆๆ ข้าเชื่อเหลือเกินว่าคุณชายหลินจะต้องชื่นชอบแน่ เขาจะต้องนึกขอบคุณข้าที่ใช้วิธีการนี้”
เกออู๋โหยวมองไปข้างหน้าด้วยความมุ่งมั่น
เขาอุตส่าห์ช่วยเหลือคุณชายหลินถึงเพียงนี้ คุณชายหลินก็คงไม่โกรธแค้นเขาแล้วกระมัง?
เอาเถอะ บัดนี้อย่าเพิ่งพูดอะไรเลยดีกว่า
เมื่อเวลานั้นมาถึง เขาอยากจะทำให้คุณชายหลินประหลาดใจที่สุด