ตอนที่ 961 ความเปลี่ยนแปลงที่ไม่คาดฝัน
วังหลวง โถงใหญ่
เมื่อหลินเป่ยเฉินออกไปแล้ว คนผู้หนึ่งก็เดินเข้ามาทางประตูด้านข้างของห้องโถงใหญ่
หน้าผากของชายชราเป็นรอยยับย่น หากไม่ใช่อัครเสนาบดีจั่วเซียงแล้ว ยังจะเป็นผู้ใดได้อีก?
“ท่านคงได้ยินทั้งหมดแล้วกระมัง?”
องค์จักรพรรดิยังคงทอดสายตามองไปยังทิศทางที่หลินเป่ยเฉินเดินจากไป
“กระหม่อมได้ยินหมดแล้ว”
จั่วเซียงประสานมือทำความเคารพ
บทสนทนาก่อนหน้านี้ระหว่างองค์จักรพรรดิกับหลินเป่ยเฉิน ได้ยินถึงหูของอัครเสนาบดีจั่วเซียงทุกถ้อยคำโดยที่เด็กหนุ่มไม่รู้ตัว
นี่คือคำสั่งจากองค์จักรพรรดิโดยตรง
ความสัมพันธ์ระหว่างองค์จักรพรรดิกับอัครเสนาบดีหาได้แตกร้าวเช่นในข่าวลือไม่ แต่ในทางตรงกันข้าม ผู้มีอำนาจทั้งสองท่านกลับเข้าใจกันและกันเป็นอย่างดี
“เจ้าเด็กคนนี้พูดจาหยาบคายเหลือเกิน เขาไร้ยางอายมากกว่าบิดาของเขาอีก”
องค์จักรพรรดิทรงถอนหายใจออกมาเล็กน้อย
จั่วเซียงพยักหน้าอย่างเห็นด้วย “นับดูในจักรวรรดิเป่ยไห่ คงไม่มีผู้ใดกล้าพูดจาเช่นนี้กับพระองค์เป็นคนที่สองอีกแล้ว”
องค์จักรพรรดิยิ้มออกมาเล็กน้อย ก่อนเดินขึ้นไปนั่งบนบัลลังก์และกล่าวว่า “แต่ยิ่งเขาหยาบคายมากเท่าไหร่ ยิ่งเขาดื้อรั้นมากเพียงใด ข้าก็ยิ่งเชื่อใจเขาได้มากเท่านั้น”
จั่วเซียงยังคงพยักหน้าเห็นด้วยต่อไป “นั่นเป็นเพราะว่าหลินเป่ยเฉินหาได้มีความทะเยอทะยานไม่”
องค์จักรพรรดิหัวเราะในลำคอ “แต่หากข้าคิดว่าเขามีความทะเยอทะยานเล่า?”
หากคำพูดนี้กล่าวต่อขุนนางคนอื่น ชีวิตของขุนนางคนนั้นก็นับว่าตกอยู่ในวิกฤตน่ากลัวแล้ว
แต่สีหน้าของอัครเสนาบดีจั่วเซียงยังคงเรียบเฉยดังเดิม
ชายชรากล่าวออกมาอย่างแช่มช้า “เป็นกระหม่อมพูดจาผิดไป หลินเป่ยเฉินเป็นบุคคลที่มีความทะเยอทะยาน แต่ความทะเยอทะยานของเขาหาได้เป็นภัยต่อบัลลังก์ของพระองค์ไม่ กระหม่อมรู้สึกชัดเจนว่าเด็กคนนี้มีความรักชาติเป็นอย่างยิ่ง มิเช่นนั้น หากเขาเป็นบุคคลรักตัวกลัวตาย ก็คงไม่ยอมเสี่ยงอันตรายรับคำท้าประลองเดิมพันชีวิตกับมือธนูเจ้าอินทรีอวี้ซือไป๋เป็นอันขาด”
“หาได้ยากยิ่งที่จิ้งจอกเฒ่าอย่างท่านจะชื่นชมผู้ใดมากมายถึงเพียงนี้”
วันนี้ องค์จักรพรรดิอารมณ์ดีถึงขั้นหยอกล้ออัครเสนาบดีจั่วเซียงแล้ว
ชายชราตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า “นั่นเป็นเพราะไม่มีผู้ใดควรค่าต่อการชื่นชมของกระหม่อมมานานแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
เห็นได้ชัดว่าอัครเสนาบดีจั่วเซียงประเมินเด็กหนุ่มคนนี้เอาไว้สูงมากทีเดียว
แต่องค์จักรพรรดิเองก็เห็นด้วย
“ข้าเคยคิดว่าแม้หลินเป่ยเฉินจะเป็นอัจฉริยะ แต่ก็คงต้องใช้เวลาอีกหลายปีหรือหลายสิบปี กว่าที่เขาจะเก่งกาจได้ในระดับเดียวกับหลินถินชาง เพราะฉะนั้น ข้าจึงคิดไม่ถึงจริง ๆ ว่าเขาจะแข็งแกร่งขึ้นมารวดเร็วถึงเพียงนี้ ใช้เวลาไม่ถึงครึ่งปี เขาก็เปลี่ยนจากเด็กหนุ่มจอมเสเพล กลายเป็นยอดฝีมือระดับเซียนได้สำเร็จ…”
องค์จักรพรรดิถอนหายใจ
ถึงพระองค์จะไม่เคยเสด็จออกนอกนครหลวง แต่ราชสำนักมีหูตากว้างไกลทั่วดินแดน ข่าวคราวเรื่องการปรากฏตัวของยอดฝีมือรุ่นใหม่ ย่อมล่วงรู้มาถึงหูของพระองค์เสมอ
“นับว่าบิดาของเขามีบุตรที่ดีงามพ่ะย่ะค่ะ”
จั่วเซียงถอนหายใจด้วยความเศร้าโศก “น่าเสียดายที่เขาไม่มีวาสนาอยู่ดูลูก ๆ เติบโต”
องค์จักรพรรดิก็ถอนหายใจออกมาเช่นกัน
บรรยากาศตกอยู่ในความเงียบ
ขณะนี้ ทั้งองค์จักรพรรดิและอัครเสนาบดีต่างก็รู้สึกหนักอึ้งในหัวอกขึ้นมาพร้อมกัน
“ข้าอยากจะส่งหลินเป่ยเฉินไปเมืองไป๋หยุน ไม่ทราบท่านคิดเห็นอย่างไร?”
องค์จักรพรรดิทำลายความเงียบขึ้นอีกครั้ง
“สำนักสุสานกระบี่เมฆากำลังจะเปิดแล้ว เขาคือตัวเลือกที่ดีมากพ่ะย่ะค่ะ”
จั่วเซียงรีบสนับสนุนเร็วไว “อีกอย่าง เขาเป็นลูกศิษย์ของติงเล่ย สถานะเดิมก็ถือเป็นศิษย์เมืองไป๋หยุนอยู่แล้ว ย่อมมีสิทธิ์เข้าคัดเลือกเป็นศิษย์ของสำนักสุสานกระบี่เมฆา และหลินเป่ยเฉินก็มีคุณสมบัติดีพอที่จะสืบทอดเคล็ดวิชากระบี่เมฆาอมตะของจักรวรรดิเป่ยไห่พ่ะย่ะค่ะ”
“ถูกต้อง”
องค์จักรพรรดิ์ยิ้มกว้างมากกว่าเดิม ก่อนกล่าวต่อ “แต่เราก็คงต้องรอให้การจัดลำดับจักรวรรดิผ่านพ้นไปเสียก่อน… ไม่ทราบว่าท่านเตรียมพร้อมสำหรับการประเมินแล้วหรือไม่?”
“กราบทูลฝ่าบาท ทุกอย่างเตรียมพร้อมแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
อัครเสนาบดีจั่วเซียงประสานมือรายงานด้วยความมั่นใจ “พวกเราเตรียมข้อมูลทั้งหมดเรียบร้อยแล้ว ขอเพียงกลุ่มพันธมิตรจักรวรรดิส่วนกลางส่งคำร้องขอมา พวกเราก็สามารถส่งมอบได้ทันที และยึดตามมาตรฐานการประเมินในครั้งที่ผ่าน ๆ มา พวกเรามีโอกาสมากกว่า 90 ส่วน ที่จะผ่านการประเมินโดยไม่มีปัญหาพ่ะย่ะค่ะ”
“ได้ยินเช่นนี้ข้าก็เบาใจ”
องค์จักรพรรดิพยักหน้าอย่างอารมณ์ดี
อัครเสนาบดีจั่วเซียงทำงานรับใช้ราชสำนักมานานปี นอกจากมีระดับฝีมือสูงส่งแล้ว ความสามารถในการตัดสินใจกระทำการเรื่องราวต่าง ๆ ยังยอดเยี่ยมยากหาผู้ใดเปรียบ
นับตั้งแต่ที่รู้ข่าวว่าจะมีการจัดลำดับจักรวรรดิครั้งใหม่ องค์จักรพรรดิก็ทรงรับสั่งให้จั่วเซียงดูแลเรื่องนี้ตั้งแต่แรกอย่างลับ ๆ
ในสายตาขององค์จักรพรรดิ ท่ามกลางขุนนางหลายพันคน ไม่มีผู้ใดจะสามารถทำงานได้ดีมากไปกว่าจั่วเซียงอีกแล้ว
และบัดนี้ อัครเสนาบดีจั่วเซียงก็สามารถทำได้ตามที่องค์จักรพรรดิคาดหวังเอาไว้
ทันใดนั้น ได้ยินเสียงฝีเท้าดังขึ้น
ขันทีชราจางเชียนเชียนเดินถือม้วนกระดาษเข้ามาด้วยความกระฉับกระเฉง ก่อนใช้สองมือประคองม้วนกระดาษนั้นยกขึ้นสูงพร้อมกับกล่าวว่า “กราบทูลฝ่าบาท นี่คือรายงานจากเจดีย์เซียนเหยียบเมฆ เห็นว่าเป็นแผนงานสำหรับการประเมินลำดับจักรวรรดิในครั้งนี้พ่ะย่ะค่ะ”
องค์จักรพรรดิยกมือขึ้นรับม้วนกระดาษนั้นมาถือและคลี่ออกอ่านอย่างช้า ๆ
ใบหน้าของพระองค์ท่านยังคงยิ้มแย้มขณะกล่าวว่า “ช่างส่งมาได้ถูกเวลาเหลือเกิน วิธีการประเมินในครั้งนี้ก็คือ… เอ๊ะ?”
เมื่อพูดมาถึงตรงนี้ รอยยิ้มบนใบหน้าขององค์จักรพรรดิก็หายวับไป
เมื่ออัครเสนาบดีจั่วเซียงเห็นเช่นนั้น ในใจก็เกิดสังหรณ์อัปมงคลขึ้นทันที
ชายชราส่งเสียงกระแอมไอเล็กน้อย พยายามถามว่า “มีอะไรหรือ ฝ่าบาท?”
องค์จักรพรรดิขมวดคิ้ว อ่านเนื้อหาในม้วนกระดาษจนจบ ก่อนจะส่งม้วนกระดาษนั้นมาให้จั่วเซียง “ท่านอ่านดูเองเถิด”
จั่วเซียงรับม้วนกระดาษมาอ่านได้เพียงไม่กี่คำ สีหน้าของเขาก็แปรเปลี่ยนไป ดวงตาเบิกโตด้วยความเหลือเชื่อ ก่อนกล่าวออกมาว่า “เป็นเช่นนี้ไปได้อย่างไร การประเมินในครั้งนี้จะดำเนินด้วยวิธีทำสงครามชิงอาณาจักร? นี่มัน…”
การประเมินด้วยวิธีทำสงครามชิงอาณาจักร คือสิ่งที่อยู่ห่างไกลในความทรงจำ
ไม่เคยมีการใช้วิธีการนี้มาหลายร้อยปีแล้ว
ใจความสำคัญของการประเมินรูปแบบนี้แตกต่างจากการประเมินด้วยข้อมูลเชิงสถิติทุกอย่าง
เพราะมันเป็นการประเมินจักรวรรดิผ่านประสิทธิภาพในการทำสงคราม
“และระดับความยากก็อยู่ในขั้นสามอีกด้วย”
องค์จักรพรรดิขมวดคิ้วมุ่น
ตลอดระยะเวลาหลายร้อยปีที่ผ่านมา การประเมินลำดับจักรวรรดิล้วนทำด้วยรูปแบบการเทียบข้อมูลเชิงสถิติทั้งสิ้น
แล้วเหตุไฉนการประเมินครั้งนี้ ถึงใช้วิธีการทำสงครามชิงอาณาจักรเล่า?
ผู้ที่ดูแลการประเมินคิดอะไรอยู่กันแน่?
เมื่อเทียบกับการประเมินด้วยข้อมูลเชิงสถิติ การประเมินด้วยการทำสงครามชิงอาณาจักรคือสิ่งที่แตกต่างไปอย่างสิ้นเชิง นอกจากมันจะเป็นการประเมินที่ไม่สนใจเรื่องสถิติแล้ว ประเด็นสำคัญยังมุ่งเน้นที่ความสามารถในการสู้รบของกองทัพของจักรวรรดิผู้ถูกตรวจสอบ และว่ากันว่านี่คือรูปแบบการตรวจสอบที่ล้าสมัย ทำให้เกิดการสูญเสียมหาศาลโดยไม่จำเป็น การตรวจสอบด้วยรูปแบบนี้จึงถูกยกเลิกไปนานแล้ว
ไม่ทราบว่าเป็นตัวโง่งมผู้ใดที่ไปขุดวิธีการนี้กลับขึ้นมาใช้งานอีก?
ในสมองของมันผู้นั้นกำลังคิดอะไรอยู่?
บัดนี้ องค์จักรพรรดิได้แต่มองหน้าอัครเสนาบดีจั่วเซียงและขันทีชราจางเชียนเชียนอย่างพูดอะไรไม่ออก
นี่คือสิ่งที่ทุกคนไม่คาดคิดมาก่อน
นี่คือความเปลี่ยนแปลงที่ไม่คาดฝัน
เมื่อเป็นเช่นนี้ ทุกสิ่งทุกอย่างที่อัครเสนาบดีจั่วเซียงทุ่มเทแรงกายแรงใจเตรียมพร้อมมาตลอดระยะเวลาหลายเดือนจึงสูญเปล่าไปในพริบตา
สุดท้ายแล้ว เกิดอะไรขึ้นกันแน่?