“ปรมาจารย์จาง คุณช่างมีจิตใจดีเหลือเกิน คุณทำเพื่อครอบครัวของผมมากมาย แต่แม้เรื่องง่ายๆเท่านี้ผมก็ยังช่วยเหลือคุณไม่ได้ ผมอับอายในความไร้ประสิทธิภาพของผมเหลือเกิน…” จัวเฟิงก้มหน้างุด
เขาสะบัดข้อมือแล้วนำขวดหยกใบหนึ่งออกมายื่นให้ “นี่คือยาเม็ดบ่มเพาะร่างกายที่ผมเตรียมไว้ให้คุณ ถึงประสิทธิภาพของมันจะอ่อนด้อยกว่าทะเลสาบจันทร์กระจ่าง แต่ผมเชื่อว่ามันน่าจะช่วยคุณได้…”
“ไม่ต้องใช้แล้ว!” จางเซวียนหัวเราะหึๆ “บอกคุณตามตรงก็แล้วกัน ผมเพิ่งไปทะเลสาบจันทร์กระจ่างมาและฝึกฝนวรยุทธที่นั่นเรียบร้อยแล้ว”
“คุณไปทะเลสาบจันทร์กระจ่างมา?” จัวเฟิงถึงกับผงะ
ตลอด 2-3 ชั่วโมงก่อน เขาพบปะผู้คนจำนวนไม่น้อย และถึงกับขอร้องผู้อาวุโสคนหนึ่งของตระกูลฉีที่เขาสนิทสนมด้วย ซึ่งตามที่อีกฝ่ายพูด ทะเลสาบจันทร์กระจ่างมีอานุภาพรุนแรงถึงขนาดสามารถสังหารทุกคนที่ไม่ได้เป็นทายาทตระกูลฉีได้ในชั่วอึดใจ
อีกอย่าง ตระกูลฉีต้องจ่ายเงินสูงลิ่วเพื่อสร้างทะเลสาบจันทร์กระจ่างขึ้นมา จึงไม่มีทางที่พวกเขาจะอนุญาตให้คนนอกได้ใช้ความพิเศษนั้น
แต่ชายหนุ่มบอกว่าเพิ่งไปที่นั่น แถมฝึกฝนวรยุทธจนเสร็จสิ้นแล้ว…
เอาจริงๆสิ?
ชายหนุ่มเพิ่งรู้เรื่องทะเลสาบจันทร์กระจ่างจากเขา แถมเพิ่งมาถึงเมืองหลวงและยังไม่รู้จักใคร ใช่ไหม?
“ถ้าคุณไม่เชื่อผม ใช้พละกำลังเต็มพิกัดของคุณแทงผมเลยก็ได้” จางเซวียนตอบยิ้มๆ
จัวเฟิงผงะไปอีกรอบกับคำพูดนั้น แต่เมื่อเห็นสีหน้าจริงจังของชายหนุ่ม ก็รู้ว่าอีกฝ่ายไม่ได้พูดเล่น จึงชักดาบออกมาและจ้วงแทงจางเซวียนเต็มแรง
เขาทุ่มเทพละกำลังทั้งหมดเพื่อการโจมตีครั้งนี้ ดาบที่ห่อหุ้มด้วยกระแสดาบฉีแทงฉึกเข้าที่แขนของจางเซวียนอย่างจัง
เพล้งงงง!
แต่แล้ว ดาบระดับเทพเจ้าสวรรค์สร้างขั้นกลางในมือของจัวเฟิงก็แตกเป็นเสี่ยงๆ ขณะที่ร่างของชายหนุ่มแทบไม่มีบาดแผลใดๆ
“ฮะ…” จัวเฟิงอ้าปากค้างด้วยความพรั่นพรึง
เพิ่ง 2-3 ชั่วโมงก่อนนี่เองที่ปรมาจารย์จางได้เป็นเทพเจ้าสวรรค์สร้าง แต่ผ่านไปไม่นาน ไม่เพียงแต่อีกฝ่ายจะหาทางเข้าสู่ทะเลสาบจันทร์กระจ่างได้ ยังบ่มเพาะกายเนื้อจนแข็งแกร่งขนาดนี้ได้ด้วย
รวดเร็วจนน่าสะพรึง…เขาเป็นปีศาจหรือเปล่า?
อีกอย่าง ต่อให้นักรบระดับเทพเจ้าสวรรค์สร้างขั้นสูงก็ไม่อาจมีร่างกายที่แข็งแกร่งถึงขนาดทำลายของล้ำค่าระดับเทพเจ้าสวรรค์สร้างขั้นกลางให้แตกเป็นเสี่ยงๆได้
“น่าเสียดาย…”
เมื่อเห็นว่าอาวุธระดับเทพเจ้าสวรรค์สร้างขั้นกลางก็ทำไม่ได้แม้แต่จะทิ้งรอยขีดข่วน จางเซวียนส่ายหน้า
กับอีแค่ทำให้ตัวเขาบาดเจ็บและทดสอบประสิทธิภาพของเส้นสายสีทองในกล้ามเนื้อ ทำไมมันถึงยากเย็นนัก*?ไม่แปลกใจแล้วที่ใครๆพูดกันว่าการเป็นนักรบผู้ไร้เทียมทานนั้นไม่ใช่เรื่องสนุก!*
จางเซวียนส่ายหัวและเปลี่ยนเรื่อง “คุณรู้ไหมว่าผมจะยกระดับวรยุทธของจิตวิญญาณอย่างรวดเร็วได้ที่ไหน?”
จัวเฟิงให้ข้อมูลที่แม่นยำเรื่องสถานที่ที่เขาสามารถใช้บ่มเพาะกายเนื้อ เพราะฉะนั้น ก็น่าจะมีคำแนะนำที่ดีสำหรับการยกระดับวรยุทธของจิตวิญญาณ
จางเซวียนจำเป็นต้องยกระดับวรยุทธของจิตวิญญาณก่อนจะยกระดับวรยุทธของพลังปราณ
“ผมไม่รู้ละเอียดว่าน่านฟ้าอื่นๆทำอย่างไร แต่สำหรับน่านฟ้าแห่งจิตวิญญาณเร่ร่อน วิธีเดียวที่จะยกระดับวรยุทธของจิตวิญญาณได้คือใช้สระบาดาล” จัวเฟิงตอบ
“สระบาดาล? คุณหมายถึงสถานที่ที่จิตปรารถนารวมตัวกันใช่ไหม?”
“ใช่ จิตปรารถนาช่วยบ่มเพาะจิตวิญญาณของคนตายและทำให้พวกเขาฟื้นคืนชีพ ซึ่งใช้กับจิตวิญญาณของผู้ที่ยังมีชีวิตได้เช่นกัน นักรบส่วนใหญ่อาศัยสระบาดาลเพื่อยกระดับวรยุทธของจิตวิญญาณของพวกเขา…มีเรื่องหนึ่งนะ จอมราชันย์ของเราเพิ่งพบจิตวิญญาณทรงพลังดวงหนึ่งในสระบาดาลและนำจิตวิญญาณดวงนั้นไปบ่มเพาะ เพียงไม่ถึงหนึ่งเดือน จิตวิญญาณดวงนั้นก็มีวรยุทธเทียบเท่ากับราชันย์เทพเจ้า!” จัวเฟิงเปิดเผยข่าวที่เขารู้มา
“จิตวิญญาณดวงนั้นมีวรยุทธเทียบเท่ากับราชันย์เทพเจ้าภายในไม่ถึง 1 เดือน?” จางเซวียนอึ้ง
เขามาถึงสรวงสวรรค์ได้เกือบ 1 เดือนแล้ว แต่เพิ่งได้เป็นแค่เทพเจ้าสวรรค์สร้างขั้นต่ำเท่านั้น ไม่น่าเชื่อเลยว่าจะมีใครคนหนึ่งก้าวหน้าได้เร็วกว่าเขา…
สรวงสวรรค์มีผู้เชี่ยวชาญซ่อนตัวอยู่มากมาย!
“ผมรู้มาว่าจิตวิญญาณดวงนั้นไม่ได้เป็นเทพเจ้าตั้งแต่ต้น เป็นแค่เศษเสี้ยวของจิตวิญญาณดวงหนึ่งจากโลกเบื้องล่างเท่านั้น แต่ด้วยเหตุผลอะไรสักอย่าง ก็ได้การยอมรับจากสระบาดาล การดิ้นรนกระเสือกกระสนเอาตัวรอดทำให้จิตวิญญาณดวงนั้นดูดกลืนจิตปรารถนาที่อยู่รอบตัวเข้าไป ซึ่งสิ่งนั้นทำให้จอมราชันย์เกิดความสนใจขึ้นมา เท่าที่ผมรู้ ดูเหมือนตอนนี้จอมราชันย์ของเรากำลังพยายามหลอมกายเนื้อให้!”
“จิตวิญญาณดวงนั้นมาจากโลกเบื้องล่าง?” จางเซวียนพึมพำพร้อมกับกำหมัดแน่นขณะเกิดความคิดหนึ่งขึ้นมา
หรือว่าจะเป็นฉีฉี*?*
ตามที่หลัวชวนฉิงบอก หลัวฉีฉีคือจิตวิญญาณที่อยู่ในเครื่องเก็บงำมิติ ซึ่งหลังจากฝ่าปราการของมิติออกจากทวีปแห่งปรมาจารย์ เธอก็ไม่เคยกลับไปอีกเลย
จางเซวียนได้สั่งการให้ 6 สำนักใหญ่ของมิติเบื้องบนตามหาเธอ แต่ก็ไม่พบร่องรอยใดๆ ตอนนั้นเองที่เขาสงสัยว่าหลัวฉีฉีอาจมาที่สรวงสวรรค์
แถมจิตวิญญาณดวงนั้นก็เพิ่งปรากฏเมื่อ 1 เดือนก่อน พอดีกันกับช่วงเวลาที่หลัวฉีฉีออกจากทวีปแห่งปรมาจารย์
จางเซวียนจึงถามต่อ “คุณรู้ไหมว่าจิตวิญญาณที่อยู่ในสระบาดาลเป็นผู้ชายหรือผู้หญิง และมีหน้าตาอย่างไร?”
“ผมจะรู้ได้อย่างไร? ที่รู้เรื่องนี้ก็เพราะไปสอบถามเรื่องทะเลสาบจันทร์กระจ่าง!” จัวเฟิงตอบ
สถานภาพของเขาสูงกว่าผู้คนทั่วไปก็จริงเพราะเป็นถึงนายพลเกราะเงิน แต่ก็ยังไม่ยิ่งใหญ่พอจะได้ล่วงรู้ความลับสุดยอดที่เกี่ยวกับจอมราชันย์
อย่างมากที่สุดก็แค่ฟังคนนู้นทีคนนี้ที
“ถ้าอย่างนั้น คุณรู้หรือเปล่าว่าจิตวิญญาณดวงนั้นอยู่ในสระบาดาลที่ไหน?” จางเซวียนถามอีก
“ผมเดาว่าจิตวิญญาณดวงนั้นน่าจะอยู่ในสระบาดาลที่อยู่ในตำหนักของจอมราชันย์ เพราะจอมราชันย์กำลังจะหลอมกายเนื้อให้ แต่ถ้าไม่เป็นอย่างนั้น ผมก็ไม่รู้จริงๆว่าจะอยู่ที่ไหน” จัวเฟิงตอบ
“เข้าใจแล้ว…”
เกรงว่าหากถามมากไปจะดูน่าสงสัย จางเซวียนจึงได้แต่พยักหน้า
การที่ใครคนหนึ่งจากโลกเบื้องล่างจะเข้าสู่สรวงสวรรค์นั้นไม่ใช่เรื่องง่าย ซึ่งคนสุดท้ายที่ทำได้ก่อนหน้าตัวเขากับเหล่าศิษย์สายตรงก็คือปรมาจารย์ขง ด้วยเหตุนี้ จึงมีความเป็นไปได้สูงที่จิตวิญญาณดวงนั้นจะเป็นหลัวฉีฉี
เขาไม่มีความรู้สึกในแง่ชู้สาวกับเธอ แต่ก็ยังห่วงใยในฐานะลูกศิษย์คนหนึ่ง อีกอย่าง หลัวฉีฉีก็เคยทำอะไรให้เขามากมาย เขาเป็นหนี้บุญคุณเธอไม่น้อย จึงตั้งใจว่าจะต้องตามหาเธอให้ได้ไม่ว่าจะต้องใช้วิธีไหน
“คุณบอกว่าสระบาดาลบ่มเพาะจิตวิญญาณของนักรบได้…มันเป็นสถานที่ที่อนุญาตให้ทุกคนเข้าไป หรือต้องใช้วิธีการพิเศษ?” จางเซวียนถาม
ไม่ว่าอีกฝ่ายจะเป็นหลัวฉีฉีหรือไม่ แต่ในเมื่อเธอมีวรยุทธทัดเทียมกับราชันย์เทพเจ้าแล้ว ก็ไม่น่าจะตกอยู่ในอันตราย สิ่งที่สำคัญกว่าก็คือเขาต้องรีบยกระดับวรยุทธของตัวเองโดยเร็วเพื่อไม่ให้เป็นภาระของใคร
ไม่อย่างนั้น คงน่ากระอักกระอ่วนใจไม่น้อยหากได้พบกันอีกครั้งแล้วตัวเขายังคงอ่อนด้อย
“การเข้าสู่สระบาดาลไม่จำเป็นต้องเสียเงินหรือผ่านกรรมวิธีใดๆ แต่คุณจะต้องมีชื่อเสียงโด่งดังมากพอจนเป็นที่รู้จักของผู้คนทั่วไป” จัวเฟิงพูด
“มีชื่อเสียง?”
“ราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติทรงพลังกว่าราชันย์เทพเจ้าทั่วไปก็เพราะคำว่า ‘ทรงเกียรติ’ ที่ต่อท้าย สิ่งนี้ทำให้พวกเขารวบรวมจิตปรารถนาได้มากกว่า ถ้านักรบทั่วไปอยากใช้จิตปรารถนา อันดับแรก พวกเขาจะต้องทิ้งรอยประทับของจิตวิญญาณไว้ในสระบาดาลก่อน และทำให้ผู้คนจำนวนหนึ่งจดจำหรือรู้สึกสำนึกบุญคุณในตัวเขา นั่นคือวิธีเดียวที่จะสร้างความต่อเนื่องของกระแสจิตปรารถนา นักรบสามารถนำมันมาบ่มเพาะจิตวิญญาณ ส่งผลให้ยกระดับวรยุทธของจิตวิญญาณของพวกเขาได้อย่างรวดเร็ว” จัวเฟิงอธิบาย
“คุณหมายความว่าผมต้องสร้างชื่อเสียงให้โด่งดังเสียก่อน ด้วยจำนวนผู้คนที่รู้จักผมและปริมาณของความสำนึกในบุญคุณที่พวกเขามี ผมจะได้จิตปรารถนาจำนวนหนึ่งในสระบาดาลมา ซึ่งนั่นคือกุญแจที่นำไปสู่การบ่มเพาะจิตวิญญาณ ถูกไหม?” จางเซวียนถาม
“โดยหลักการแล้วก็เป็นอย่างนั้น แต่ธรรมชาติของอารมณ์และความรู้สึกของมนุษย์ก็มีส่วนสำคัญ คุณจะยังคงได้รับจิตปรารถนาแม้มีคนปองร้าย แต่จิตปรารถนาเหล่านั้นจะมีบางอย่างที่สามารถดึงดูดปีศาจใต้สำนึกในตัวคุณออกมา ซึ่งการซึมซับของแบบนั้นก็ไม่เข้าที” จัวเฟิงพูด
“นี่คือเหตุผลที่ทุกเมืองให้ความสำคัญกับระเบียบและกฎหมาย เหล่านักรบจะไม่ฆ่าฟันกันเอง เพราะพวกเขาเกรงว่ามันอาจส่งผลต่อระดับวรยุทธของจิตวิญญาณของพวกเขา”
คำพูดนี้ทำให้จางเซวียนเกิดความกระจ่าง
ดูเหมือนจิตปรารถนาจะเป็นพลังงานที่จำเป็นและขาดไม่ได้ในสรวงสวรรค์
เราต้องได้เป็นคนเด่นคนดังมีชื่อเสียงและได้รับความสำนึกในบุญคุณจากใครต่อใคร*…*คงถึงเวลาที่ต้องลงมือเสียที
แต่ก็ไม่ใช่นะ เราไม่ใช่คนขี้โม้อย่างเจ้าตัวโคลนนั่น…ที่ทำนี่ก็เพราะความจำเป็นหรอก!
ว่าแต่…จะให้ทำอย่างไร?
วิธีไหนที่ดีที่สุดที่จะทำให้ใครต่อใครนึกถึงเขาโดยไม่แลบลิ้นหรือเบะปากใส่?
ตอนนี้เขาอยู่ในเมืองหลวงของน่านฟ้าแห่งจิตวิญญาณเร่ร่อน มีผู้เชี่ยวชาญอยู่มากมาย
ถึงเขาจะแข็งแกร่งขึ้นมากหลังจากได้ชุบตัวในทะเลสาบจันทร์กระจ่าง แต่ก็ไม่โอหังถึงขนาดจะคิดว่าตัวเองเป็นผู้ไร้เทียมทาน
ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องอื่น ลำพังแค่จะเอาชนะฉีเยว่ในการดวลตัวต่อตัวก็ถือว่ายากแล้ว
การยกระดับวรยุทธของพลังปราณแตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับการฝ่าด่านวรยุทธของกายเนื้อ
การฝ่าด่านวรยุทธของกายเนื้อจะทำให้แทบไม่มีใครเอาชนะเขาได้ในการต่อสู้ระยะประชิด แต่ทันทีที่คู่ต่อสู้รู้จุดอ่อนของเขาและสามารถรักษาระยะห่าง เขาจะตกอยู่ในอันตรายใหญ่หลวงทันที เพราะไม่เพียงแต่จะโจมตีอีกฝ่ายได้ยาก ยังป้องกันตัวไม่ถนัดด้วย
ความสามารถของเทพเจ้าสวรรค์สร้างในการเข้าถึงพลังของธรรมชาตินั้นไม่อาจสบประมาทได้
ด้วยเหตุนี้ ขณะเดียวกับที่จางเซวียนพยายามทำตัวให้ได้การยอมรับจากใครๆเพื่อรวบรวมจิตปรารถนา เขาก็ต้องแน่ใจด้วยว่าไม่ทำอะไรเกินเลยกว่าขอบเขต เพราะนั่นอาจดึงดูดความสนใจที่ไม่พึงประสงค์ ก่อเกิดเป็นปัญหาไม่รู้จบ
จางเซวียนหันไปถามจัวเฟิง “คุณว่าผมควรทำอย่างไร?”