ตอนที่ 2230 คารวะจอมราชันย์!

อัจฉริยะสมองเพชร

ครู่ต่อมา ผิวน้ำก็กระเพื่อม ไก่เหลืองตัวจ้อยว่ายเตาะแตะเข้าฝั่ง

“แกก็ยังสบายดีนี่” จางเซวียนพึมพำ

เขารู้ว่าไก่น้อยฟื้นคืนชีพจากเถ้าถ่านได้ก็เมื่อครั้งล่าสุดที่มันถูกตัวโคลนของปรมาจารย์ขงสังหาร จึงไม่ประหลาดใจเท่าไหร่ที่เห็นไก่น้อยยังมีชีวิตและกระฉับกระเฉงอยู่

“วรยุทธของแก…”

จางเซวียนอ้าปากค้างขณะจับจ้องไก่น้อยที่กำลังว่ายเข้ามา

เมื่อครู่ก่อน ไก่น้อยยังมีวรยุทธแค่ระดับเทพเจ้าขั้นต่ำ แต่ตอนนี้ เขาสัมผัสได้ถึงรังสีของเทพเจ้าสวรรค์สร้างที่แผ่ออกจากตัวมัน ความตายของมันในทะเลสาบจันทร์กระจ่างเมื่อครู่นี้ทำให้มันพัฒนาตัวเองจนเทียบชั้นกับเขาได้ กลายเป็นเทพเจ้าสวรรค์สร้าง!

เขาต้องลำบากลำบนและเสี่ยงตายเพื่อให้ได้เป็นเทพเจ้าสวรรค์สร้าง แต่ไก่น้อยทำได้ด้วยการยอมตายเพียงครั้งเดียว…

บ้าจริง! น่าหงุดหงิดเหลือเกินที่แพ้ไก่ตัวหนึ่งด้วยวิธีแบบนี้!

“ผมจะพักสักหน่อยนะ” ไก่น้อยที่ดูอ่อนล้าพึมพำอย่างอ่อนแรงก่อนจะมุดเข้าไปในจุดตันเถียนของเขา

“นอนเถอะ” จางเซวียนตอบ

เป็นธรรมดาที่ไก่น้อยจะเหน็ดเหนื่อยแสนสาหัสหลังจากการฝ่าด่านวรยุทธ จางเซวียนจึงไม่ใส่ใจ เขามองห้องโถงใหญ่ที่อยู่ไม่ห่างออกไปด้วยสีหน้าที่อธิบายยาก

หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็ออกเดิน

จางเซวียนไม่รู้ว่าทำไมราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติถึงเข้าใจผิดว่าเขาเป็นคนอื่น แต่ไม่ช้าก็ต้องเผชิญหน้ากับอีกฝ่ายแน่

จางเซวียนเดินออกจากฉนวนที่ปิดกั้นทะเลสาบจันทร์กระจ่างไว้ เพียงครู่เดียว บรรพบุรุษเก่าแก่ฉีเหมิงกับหัวหน้าตระกูลฉีเฉี่ยวที่ดูเหมือนจะรอเขาอยู่ข้างนอกก็รี่เข้ามาทักทาย

“คารวะจอมราชันย์!”

บรรพบุรุษเก่าแก่ฉีเหมิงคุกเข่าและโค้งคำนับอย่างมีพิธีรีตอง ก่อนจะลอบสังเกตชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้า สิ่งที่เห็นทำให้เขาพยักหน้าด้วยความอัศจรรย์ใจ

เมื่อครู่นี้ เขาสัมผัสได้อย่างชัดเจนถึงแรงกดดันมหาศาลของสายเลือดจอมราชันย์ที่แผ่ออกมาจากทะเลสาบ แต่ในเวลานี้ แรงกดดันนั้นหายวับไปอย่างสิ้นเชิง ชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าเขาดูไม่ต่างอะไรกับนักรบธรรมดาสามัญ ถึงขนาดที่แม้แต่ตัวเขาเองก็ดูไม่ออกว่าอีกฝ่ายคือจอมราชันย์

สมแล้วที่เป็นจอมราชันย์

ชายหนุ่มควบคุมพละกำลังของเขาได้ดีเยี่ยมจนไม่มีใครมองทะลุการปลอมตัวของเขาได้

“ผมใช้ทะเลสาบจันทร์กระจ่างของพวกคุณ เพราะฉะนั้นก็จะมอบคำชี้แนะบางส่วนให้เป็นการชดเชย”

จางเซวียนดีใจที่เห็นราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติยังคงเข้าใจผิด เขาแอบถอนหายใจอย่างโล่งอก

ถึงเขาจะไม่ได้ทำให้ทะเลสาบจันทร์กระจ่างเสียหาย แต่ก็สูบพลังงานของมันไปเป็นจำนวนมากเพื่อใช้ในการฝ่าด่านวรยุทธ ในฐานะปรมาจารย์ คงไม่ถูกต้องหากเขาจะเดินจากมาโดยไม่มอบสิ่งใดให้เป็นการตอบแทน

“คือ…”

ความคิดแรกของฉีเหมิงคืออยากปฏิเสธข้อเสนอของจอมราชันย์ เพราะเพียงเท่านี้ก็เป็นโอกาสที่ประเมินค่ามิได้สำหรับพวกเขาแล้วที่ได้มีปฏิสัมพันธ์กับอีกฝ่าย

แต่เมื่อเกิดความคิดที่สอง เขาก็รู้ทันทีว่าจอมราชันย์คงไม่มีทางปล่อยให้ตัวเองเป็นหนี้บุญคุณใคร จึงเปลี่ยนใจและหันไปพูดกับหัวหน้าตระกูลฉีเฉี่ยว “สำแดงทักษะของคุณให้จอมราชันย์ดูสิ”

เมื่อได้ยินว่าบรรพบุรุษเก่าแก่ฉีเหมิงกำลังมอบโอกาสล้ำค่าให้เขา หัวหน้าตระกูลฉีเฉี่ยวรีบลุกขึ้นยืนด้วยความตื่นเต้น

เขาสำแดงเทคนิคการต่อสู้ที่ใช้เป็นบททดสอบเมื่อครู่ก่อน ซึ่งตัวเขาก็เพิ่งเข้าถึงหัวใจของเทคนิคนี้ตอนที่ฉีหลิงเอ๋อสำแดงมันให้เขาดู

ในตอนนั้นเองที่ฉีเฉี่ยวเพิ่งรู้ว่าทำไมเทคนิคการต่อสู้ที่ฉีหลิงเอ๋อสำแดงออกมาถึงปราศจากข้อบกพร่องอย่างสิ้นเชิง เพราะสิ่งที่ออกจากมือของราชันย์เทพเจ้าจะมีข้อบกพร่องได้อย่างไร?

“วรยุทธของคุณไม่มีปัญหาใหญ่ๆนะ ติดอยู่เรื่องเดียวคือความบอบช้ำภายใน มันสกัดกั้นพละกำลังของคุณไว้ ทำให้คุณไม่อาจก้าวหน้าไปได้ไกลกว่านี้”

จางเซวียนพูดด้วยน้ำเสียงเนิบช้าทว่าทรงอำนาจ

เขามองเห็นข้อบกพร่องต่างๆของราชันย์เทพเจ้าโดยใช้หอสมุดเทียบฟ้า

จางเซวียนอธิบายรายละเอียดของอาการบอบช้ำภายในที่ฉีเฉี่ยวกำลังเผชิญอยู่และให้คำชี้แนะทั่วๆไปกับอีกฝ่ายเพื่อจะได้พัฒนาตัวเองต่อไป ด้วยวิธีนี้ เขาจะได้ชดเชยให้ตระกูลฉีสำหรับการที่ตัวเขาเข้าไปใช้ทะเลสาบจันทร์กระจ่าง

“ผมหมดธุระที่นี่แล้ว ขอตัวก่อน”

เมื่อจางเซวียนพูดจบ ก็หันหลังกลับและเดินออกจากห้องโถงใหญ่

“ฉีหลิงเอ๋อ ไปส่งจอมราชันย์!” บรรพบุรุษเก่าแก่ฉีเหมิงรีบสั่งการ

ฉีหลิงเอ๋อลุกขึ้นทันทีและเดินตามจางเซวียนไปราวกับเป็นบริวารคนหนึ่ง

เมื่อจางเซวียนออกไปแล้ว บรรยากาศในห้องนั้นก็ดูจะเบาลงทันที ทุกคนถอนหายใจเฮือกใหญ่โดยไม่รู้ตัว

เกิดความเงียบงันครู่หนึ่งขณะที่พวกเขาพยายามปรับสภาพจิตให้กลับสู่สภาวะเดิม หัวหน้าตระกูลฉีเฉี่ยวหันไปถามบรรพบุรุษเก่าแก่ฉีเหมิงด้วยความสงสัย “บรรพบุรุษเก่าแก่ สิ่งที่จอมราชันย์พูดคือข้อบกพร่องในวรยุทธของผม เขาไม่ได้ชี้แนะผมเลยว่าควรทำอย่างไร…”

คำพูดของจอมราชันย์ทำให้เขามีความเข้าใจลึกซึ้งกว่าเดิมในปัญหาที่กำลังเผชิญอยู่ แต่ก็ยังไม่แน่ใจอยู่ดีว่าจะแก้ไขมันด้วยวิธีไหน

บรรพบุรุษเก่าแก่ฉีเหมิงพึมพำ “นี่คือบททดสอบจากจอมราชันย์ เขาชี้ให้คุณเห็นข้อบกพร่อง เพื่อที่คุณจะได้หมั่นเพียรฝึกฝนและหาวิธีแก้ไขมัน หากเขาช่วยคุณแก้ไขข้อบกพร่องด้วย นั่นจะไม่ทำให้คุณกลายเป็นศิษย์สายตรงของเขาหรือ? คุณคิดว่าตัวคุณเก่งกาจพอจะได้เป็นศิษย์สายตรงของจอมราชันย์หรือไง?”

“มะ-ไม่ใช่แน่! ผมไม่บังอาจขนาดนั้น…” หัวหน้าตระกูลฉีเฉี่ยวรู้สึกหนาวเยือกไปถึงกระดูกสันหลังขณะรีบโบกมือ

“อือ” บรรพบุรุษเก่าแก่ฉีเหมิงพยักหน้าก่อนจะเงียบไป

คำแนะนำที่ชายหนุ่มมอบให้ฉีเฉี่ยวกำจัดความสงสัยแคลงใจของเขาออกไปจนหมดสิ้น

มีแต่สายตาเฉียบแหลมของจอมราชันย์เท่านั้นที่จะมองเห็นข้อบกพร่องที่แม้แต่ตัวเขายังมองข้าม

“บรรพบุรุษเก่าแก่ ไม่ทราบว่าเขาคือจอมราชันย์คนไหนใน 10 จอมราชันย์?” หัวหน้าตระกูลฉีเฉี่ยวถามด้วยความอยากรู้

“ผมมีโอกาสได้พบจอมราชันย์อยู่ 2-3 คน จึงพอเดาได้ว่าจอมราชันย์ผู้นั้นเป็นใคร ถ้าผมเข้าใจไม่ผิด เขาน่าจะเป็น…”

“…เทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณ!”

“เทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณ?” หัวหน้าตระกูลฉีเฉี่ยวหรี่ตา “คุณกำลังพูดถึง…”

“ใช่ ผมหมายถึงคนนั้นแหละ แต่ช่างมันเถอะ…การจะหยั่งถึงเรื่องราวของเหล่าจอมราชันย์นั้นอยู่เหนือความสามารถของพวกเรา แค่ได้รู้ก็ถือว่าดีแล้ว แต่อย่าเผลอพูดไปล่ะ ไม่อย่างนั้นทั้งตระกูลของเราจะตกที่นั่งลำบาก” บรรพบุรุษเก่าแก่ฉีเหมิงแนะ

“ผมเข้าใจ” หัวหน้าตระกูลฉีเฉี่ยวรีบตอบรับ

“พวกคุณไปได้แล้ว”

ฝูงชนพากันเดินออกจากห้องโถงใหญ่อย่างนอบน้อมก่อนจะแยกย้ายกันไป

จางเซวียนบินกลับที่พักและกลับเข้าห้อง จากนั้นก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ด้วยความโล่งอกที่ปัญหาทุกอย่างถูกปลดเปลื้องไป

เฉียดฉิวเหลือเกิน

เขาคิดว่าจะบ่มเพาะกายเนื้ออย่างเงียบๆ ไม่นึกเลยว่าจะทำให้เกิดความวุ่นวายครั้งใหญ่จนแม้แต่ราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติฉีเหมิงก็ยังออกมา

ว่าแต่…ทำไมบรรพบุรุษเก่าแก่ฉีเหมิงถึงคิดว่าเราเป็นจอมราชันย์?

ยากที่จะเชื่อว่าราชันย์เจ้าผู้ทรงเกียรติจะเข้าใจผิดเป็นตุเป็นตะในเรื่องสำคัญแบบนี้ ดูแล้วไม่สมเหตุสมผลเลย!

แต่ก็แน่นอนว่าเขาไม่อาจถามบรรพบุรุษเก่าแก่ฉีเหมิงได้

ก็เพราะเรื่องนี้ที่ทำให้จางเซวียนไม่กล้าถามอีกฝ่ายเรื่องเทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณ แม้จะแน่ใจว่าราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติอย่างฉีเหมิงจะต้องรู้เรื่องนี้

จางเซวียนรู้ดีว่าตัวตนของ ‘จอมราชันย์’ ที่เขาถูกอุปโลกน์ให้เป็นจะต้องพังพินาศหากเขาถามคำถามแบบนั้น พูดไปก็มีแต่จะทำให้อีกฝ่ายสงสัย

ช่างมันเถอะต่อให้เราหาข่าวที่ต้องการไม่ได้แต่อย่างน้อยการเดินทางครั้งนี้ก็ได้ผลตอบแทนอย่างงามเราได้บ่มเพาะกายเนื้อและฉีหลิงเอ๋อก็ได้เปลี่ยนแปลงสถานภาพของเธอในตระกูลฉีด้วยตำแหน่งใหม่คราวนี้เธอคงเสาะหาข้อมูลที่จำเป็นได้สบาย จางเซวียนคิดพร้อมกับยิ้มออกมา

วรยุทธของพลังปราณของเขายังเป็นแค่เทพเจ้าสวรรค์สร้างขั้นต่ำ แต่การบ่มเพาะจากทะเลสาบจันทร์กระจ่างทำให้กายเนื้อของเขาแข็งแกร่งเทียบเท่ากับอาวุธระดับเทพเจ้าสวรรค์สร้างที่ทนทานที่สุด หรือพูดอีกอย่างก็คือ ต่อให้เขาปล่อยให้นักรบระดับเทพเจ้าสวรรค์สร้างขั้นสูงโจมตีตามสบาย อีกฝ่ายก็ไม่น่าทำให้เขาบาดเจ็บได้

แถมยังมีพลังชีวิตจากเส้นสายสีทองในกล้ามเนื้อของเขา จางเซวียนรู้สึกว่าอาการบาดเจ็บต่างๆน่าจะได้รับการเยียวยาอย่างรวดเร็ว

เพื่อทำการทดสอบ เขาชักดาบออกมาฟันแขนตัวเอง

เพล้งงงง!

ดาบนั้นแตกเป็นเสี่ยงๆ แต่ไม่มีร่องรอยบนแขนของเขาแม้แต่น้อย

คงต้องใช้อาวุธระดับราชันย์เทพเจ้าเป็นอย่างต่ำถึงจะทำให้เราบาดเจ็บได้*…*

จางเซวียนอยากทำให้ตัวเองบาดเจ็บอีกหน่อยเพื่อทดสอบว่าสิ่งที่เขาคาดเดาไว้ถูกต้องหรือเปล่า แต่ไม่มีอาวุธที่จะทำแบบนั้นได้

ช่างยุ่งยากเสียจริง*!*

แต่นั่นแหละ คงถึงเวลาที่เราต้องหาอาวุธที่มีคุณภาพดีกว่าเดิมเสียที

เพราะเขายกระดับวรยุทธได้อย่างรวดเร็ว ความจำเป็นในการเปลี่ยนอาวุธที่ใช้จึงมีมากขึ้น แต่โดยทั่วไป อาวุธก็ถือเป็นข้าวของที่ต้องซื้อหาด้วยราคาแพง แถมของล้ำค่าระดับราชันย์เทพเจ้าก็ไม่ได้มีวางขายทั่วไปตามท้องตลาด

ไม่เป็นไรวรยุทธของเราต้องมาก่อนในเมื่อเราบ่มเพาะกายเนื้อได้แล้ว**ขั้นต่อไปก็คือวรยุทธของจิตวิญญาณ

ในท้ายที่สุด การมีอาวุธที่เหมาะสมก็เป็นเรื่องดี แต่ที่สำคัญกว่าคือวรยุทธของตัวเขาเอง

ถ้าเขาได้เป็นราชันย์เทพเจ้า ก็คงมีสิทธิ์มีเสียงขึ้นมากในสรวงสวรรค์ ซึ่งสิ่งนี้จะช่วยเพิ่มโอกาสในการตามหาหลัวลั่วชิง เขาอาจทำได้แม้กระทั่งพูดจากับปรมาจารย์ขงอย่างคนเสมอภาคกัน

เมื่อใช้ความคิดเสร็จสิ้น จางเซวียนเดินออกจากห้อง พบนายพลเกราะเงิน, จัวเฟิง รออยู่ข้างนอก

อีกฝ่ายรีบเดินเข้ามาหาด้วยสีหน้าขอโทษขอโพย “ปรมาจารย์จาง ต้องขออภัยด้วย ผมพยายามขอร้องตระกูลฉีแล้ว แต่ทะเลสาบจันทร์กระจ่างไม่เปิดให้คนนอกเข้าใช้ เกรงว่าจะไม่มีวิธีอื่น…”

“ขอบคุณที่ช่วยเหลือ แต่ไม่ต้องแล้วล่ะ” จางเซวียนตอบยิ้มๆ

จัวเฟิงหน้าแดงก่ำด้วยความละอายใจเพราะคิดว่าจางเซวียนพูดแบบนั้นเพื่อปลอบเขา

 

เขาเป็นคนบอกจางเซวียนเรื่องทะเลสาบจันทร์กระจ่าง และพยายามใช้เส้นสายทุกวิถีทางเพื่อหาโอกาสให้อีกฝ่ายได้เข้าไป จะได้ชดใช้บุญคุณที่อีกฝ่ายช่วยชีวิตลูกชาย แต่ถึงจะพยายามเต็มที่ ตระกูลฉีก็ไม่ยอมเปลี่ยนใจ