เธอหัวเราะหึๆอย่างสาแก่ใจ จากนั้นก็เตรียมจะเล่นงาน ก็พอดีกับที่รู้สึกได้ถึงพละกำลังมหาศาลที่พุ่งลงมาจากท้องฟ้า
ฉีชุนเอ๋อเงยหน้า เห็นผู้อาวุโสคนหนึ่งค่อยๆร่อนลงสู่พื้น รังสีของเขาทรงพลังเสียจนทำให้มิติโดยรอบสั่นสะท้าน
ผู้อาวุโสมีเคราขาวโพลน แต่งกายด้วยเสื้อผ้าเรียบง่าย แต่สายตาคมกริบและทรงอำนาจของเขาที่จับจ้องทุกอย่างรอบตัวก็ทำให้เขาดูมีอำนาจเหนือกว่าหัวหน้าตระกูลเสียอีก
“คารวะบรรพบุรุษเก่าแก่!” ฉีชุนเอ๋อรีบลุกเข่าและแสดงการคารวะ ส่วนคนอื่นๆรวมทั้งหัวหน้าตระกูลก็รีบทำแบบเดียวกัน
ผู้อาวุโสไม่ใช่ใครอื่นนอกจากผู้ที่ทรงพลังที่สุดในตระกูลฉี, ราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติ, ฉีเหมิง!
“เกิดอะไรขึ้น?” สายตาของฉีเหมิงจับจ้องฉีชุนเอ๋อขณะตั้งคำถาม
“บรรพบุรุษเก่าแก่…มีคนนอกลักลอบเข้ามาใช้ทะเลสาบจันทร์กระจ่างของเรา ฉันกำลังจะจับตัวเขา” ฉีชุนเอ๋อรีบตอบ
ถ้าแม้แต่บรรพบุรุษเก่าแก่ยังเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ ฉีหลิงเอ๋อต้องจบเห่แน่ ไม่มีใครช่วยเธอได้
“คนนอก?”
ฉีเหมิงหันไปมองทะเลสาบ เขาหรี่ตาด้วยความอัศจรรย์ใจ จากนั้นก็รีบทรุดตัวลงคุกเข่าและพูดด้วยเสียงสั่นเครือ “ราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติฉีเหมิงของน่านฟ้าแห่งจิตวิญญาณเร่ร่อนขอคารวะ…”
“…จอมราชันย์!”
ทะเลสาบถูกปกคลุมด้วยหมอกหนาที่ก่อตัวขึ้นจากพลังจิตวิญญาณเข้มข้น จึงไม่อาจมองเห็นหน้าตาหรือรูปร่างของร่างนั้นได้ชัดเจน แต่ฉีเหมิงก็รับรู้ได้ถึงแรงกดดันที่พุ่งตรงเข้าสู่จิตวิญญาณของเขา
มันเป็นความรู้สึกหนักหน่วงรุนแรงที่เขาไม่อาจกำจัดมันออกไปได้ไม่ว่าจะใช้วิธีไหน
นั่นคือพละกำลังของจอมราชันย์
ผู้ที่ทำให้ราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติอย่างเขารู้สึกแบบนี้ได้ก็มีแต่จอมราชันย์เท่านั้น ไม่มีทางที่เขาจะเข้าใจผิด
ฉีเหมิงไม่รู้ว่าในบรรดาสิบจอมราชันย์ เป็นจอมราชันย์คนไหนที่อยู่ในทะเลสาบ แต่สิ่งหนึ่งที่ชัดเจนก็คือถ้าตระกูลฉีอยากอยู่ในโลกนี้ต่อไป ก็ย่อมดีที่สุดหากจะไม่มีปัญหากับอีกฝ่าย
เขาจึงทรุดตัวลงคุกเข่าโดยไม่ลังเล
“จอมราชันย์?”
คำพูดนั้นไม่ดังนัก แต่ก้องอยู่ในหูของผู้ที่อยู่บริเวณนั้นราวกับพายุ หัวหน้าตระกูลฉีกับเหล่าผู้อาวุโสพากันก้มหน้างุดด้วยความหวาดกลัว ไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้า
ตระกูลฉีอาจเป็นกลุ่มอำนาจที่ทรงพลังที่สุดในเมืองหลวงของน่านฟ้าแห่งจิตวิญญาณเร่ร่อน แต่ก็เทียบชั้นไม่ได้กับจอมราชันย์ ลำพังการใช้ความคิดเพียงแวบเดียวของจอมราชันย์ก็มากเกินพอจะกำจัดพวกเขาให้หายไปจากประวัติศาสตร์ของโลกแล้ว
พวกเขาอยู่กันคนละชั้น!
ฉีชุนเอ๋อรับมือกับความตกใจไม่ไหว เธอเข่าอ่อนและทรุดฮวบลงกับพื้น
เธอคิดว่าตัวเองสบโอกาสในการกำจัดฉีหลิงเอ๋ออย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดแล้ว แต่ใครจะไปคิดว่าผู้ที่เข้าสู่ทะเลสาบจันทร์กระจ่างคือจอมราชันย์ตัวเป็นๆ?
ขนาดราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติก็ยังไม่กล้ามีปากมีเสียงเมื่ออยู่ต่อหน้าจอมราชันย์ อันที่จริง เป็นเกียรติของตระกูลฉีด้วยซ้ำที่จอมราชันย์ปรากฏตัวที่นี่
ฉีชุนเอ๋อแทบไม่เชื่อสายตา เธอแอบมองทะเลสาบ แม้มีม่านหมอกหนาของพลังจิตวิญญาณบดบัง แต่ก็พอเห็นร่างที่อยู่ในน้ำได้รางๆ
ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากจางเซวียน!
เขาเป็นจอมราชันย์หรือ?
ฉีชุนเอ๋อตาโตด้วยความพรั่นพรึง หัวใจเต้นรัวจนแทบหายใจไม่ทัน
เมื่อครู่นี้เองที่เธอเพิ่งพูดว่าอีกฝ่ายดูแสนจะธรรมดา! ถ้าอย่างเขาเรียกว่าธรรมดา แล้วอย่างเธอเรียกว่าอะไร?
ทำไมฉีหลิงเอ๋อที่ถูกเตะโด่งไปถึงเมืองตะวันรอนอันแสนห่างไกลถึงเข้าไปเกี่ยวข้องกับจอมราชันย์ได้? แถมยังเชิญจอมราชันย์ให้มาเป็นเกียรติกับตระกูลฉีได้ด้วย!
จอมราชันย์*?*
ขณะที่ทุกคนกำลังตกตะลึงจนพูดไม่ออก จางเซวียนที่กำลังฝึกฝนวรยุทธอยู่ที่ใจกลางทะเลสาบก็จังงังกับสิ่งที่ได้ยิน
อีกฝ่ายจำคนผิดหรือเปล่า?
ผู้อาวุโสที่เพิ่งปรากฏตัวเมื่อครู่นี้มีความกลมกลืนกับสรวงสวรรค์ แรงกดดันที่อีกฝ่ายแผ่ออกมาทรงพลังเสียจนตัวเขาแทบไม่อาจเผชิญหน้าตรงๆได้
แล้วคนระดับนั้นเรียกตัวเขาว่า ‘จอมราชันย์’…
ราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติสายตาไม่ค่อยดี หรือว่าอย่างไร?
แต่นี่ก็เป็นโอกาสดีที่เขาจะได้เอาตัวรอดจากสถานการณ์คับขันนี้ จางเซวียนจึงลดเสียงให้ต่ำลงและพูดว่า “ผมไม่ชอบให้ใครรบกวน”
ความเข้าใจผิดครั้งนี้ส่งผลดีอย่างใหญ่หลวง อย่างน้อยที่สุด เขาก็จะไม่ถูกเฉ่งที่แอบเข้ามาใช้ทะเลสาบจันทร์กระจ่าง
ไม่อย่างนั้น ด้วยวรยุทธของเขาที่มีจำกัด ก็คงทำได้แค่ใช้หน้าหนังสือสีทองเล่นงานราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติที่อยู่ตรงหน้าเขาให้ตาย
ได้ยินความประสงค์ของจอมราชันย์ บรรพบุรุษเก่าแก่ฉีเหมิงรีบส่งสัญญาณให้ฝูงชนที่รุมล้อมอยู่สลายตัว และด้วยความที่เกรงว่าสมาชิกคนอื่นๆในตระกูลอาจรุกล้ำอาณาเขตและรบกวนจอมราชันย์ เขาจึงลงมือติดตั้งค่ายกลเพื่อปิดกั้นบริเวณนั้นจากพื้นที่โดยรอบด้วย
“ฉัน…” ฉีหลิงเอ๋อทำอะไรไม่ถูก เธอไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น และไม่รู้ด้วยว่าควรทำอย่างไร
ถึงเธอจะปล่อยให้นายน้อยจางลงไปในทะเลสาบจันทร์กระจ่าง แต่ก็คาดว่าเขาน่าจะรีบออกมาเมื่อรู้ตัวว่าไม่อาจฝึกฝนวรยุทธในนั้น ไม่คิดเลยว่าจะเกิดความวุ่นวายครั้งใหญ่ที่ดึงดูดความสนใจของทั้งหัวหน้าตระกูลและบรรพบุรุษเก่าแก่
ตอนที่พวกเขาปรากฏตัว ฉีหลิงเอ๋อคิดว่าทุกอย่างคงจบเห่แล้ว แต่สถานการณ์ก็พลิกผันในชั่วพริบตา!
จอมราชันย์…
ที่ผ่านมา เธอคิดว่าจางเซวียนแค่มีสายเลือดจอมราชันย์ ใครจะไปรู้ว่าตัวเขาคือจอมราชันย์เสียเอง?
แล้วที่เธอทำธุรกิจกับเขาและพยายามหาประโยชน์จากเขาล่ะ…
ฉีหลิงเอ๋อตัวสั่นไม่หยุด อดไม่ได้ที่จะสงสัยว่าตัวเธอยังสติดีอยู่หรือเปล่า
“ออกมา! อย่ารบกวนความสงบของจอมราชันย์!” ฉีเหมิงสั่งการพร้อมกับขมวดคิ้ว
“ได้!”
ได้ยินคำสั่งของบรรพบุรุษเก่าแก่ ฉีหลิงเอ๋อรีบเดินออกจากอาณาบริเวณของทะเลสาบจันทร์กระจ่าง
ทั้งกลุ่มตามฉีเหมิงไปจนถึงห้องโถงใหญ่ เขารีบติดตั้งค่ายกลมากมาย จากนั้นก็มองหน้าทุกคน “อธิบายมาซิว่าเกิดอะไรขึ้น”
เขางงสุดขีดที่เห็นจอมราชันย์ยืนอยู่ในทะเลสาบจันทร์กระจ่าง
“เรื่องเป็นอย่างนี้…”
หัวหน้าตระกูลก้าวออกมาและอธิบายทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับฉีหลิงเอ๋อ
“คุณคือผู้พาเขามาที่นี่หรือ?” ฉีเหมิงหันมาถามฉีหลิงเอ๋อ
“บรรพบุรุษเก่าแก่, ฉันรู้แค่ว่าเขามีสายเลือดจอมราชันย์ ไม่รู้เลยว่าแท้ที่จริงแล้วตัวเขาคือจอมราชันย์” ฉีหลิงเอ๋อตอบอย่างเคร่งเครียด
“เขามีสายเลือดจอมราชันย์?”
ฝูงชนถึงกับชะงักกับข่าวนั้น
หัวหน้าตระกูลหันมามองฉีหลิงเอ๋อ ส่งสัญญาณให้เธออธิบายต่อ
ฉีหลิงเอ๋อรีบเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นที่สระบาดาล
“จอมราชันย์น่ะปรับเปลี่ยนรูปร่างของพวกเขาได้ตามใจ” ฉีเหมิงพูดพร้อมกับพยักหน้า “พวกเขามักปกปิดวรยุทธของตัวเองไว้เพื่อสัมผัสชีวิตแบบคนธรรมดาสามัญ…ผมรู้มาว่าครั้งหนึ่งจอมราชันย์ของน่านฟ้าเสรีกดข่มวรยุทธของตัวเองไว้เพื่อลงไปเยี่ยมเยียนโลกเบื้องล่าง”
“ความสามารถของคุณในการมองเห็นการปลอมตัวของเขา, ประเมินสถานการณ์ได้แม่นยำ และจัดการทุกอย่างได้อย่างเหมาะสมนั้นถือว่าไม่เลวเลย ผมเห็นแล้วว่าคุณคือผู้ปราดเปรื่องคนหนึ่ง นับจากวันนี้ไป ผมจะให้ฉีเฉี่ยวไว้วางใจคุณให้ทำงานสำคัญ และมอบทรัพยากรสำหรับการฝึกฝนวรยุทธที่ดีที่สุดให้คุณด้วย ในฐานะผู้ที่ได้ทำงานร่วมกับจอมราชันย์ ตัวตนของคุณจะดูกระจอกเกินไปก็ย่อมไม่เหมาะสม”
ฉีเฉี่ยวคือชื่อของหัวหน้าตะกูล
“ขอบคุณมาก บรรพบุรุษเก่าแก่!” ฉีหลิงเอ๋อโค้งคำนับอย่างงาม เธอดีใจจนตัวลอย ราวกับความฝันทั้งหมดได้กลายเป็นความจริง แทบไม่อยากเชื่อว่าเรื่องแบบนี้จะเกิดกับตัวเธอได้
“ผมเชื่อว่าพวกคุณทุกคนคงเข้าใจว่าอะไรควรหรือไม่ควรพูด สิ่งใดก็ตามที่เกี่ยวข้องกับความเป็นส่วนตัวของจอมราชันย์ถือเป็นข้อห้ามของสรวงสวรรค์ ถ้าผมรู้ว่าใครปากโป้ง ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม อย่าได้หวังว่าผมจะปรานี!” ฉีเหมิงกำชับ
“ขอรับ!”
ฝูงชนผงะไปเล็กน้อยกับคำขู่ของฉีเหมิง
ฉีชุนเอ๋อที่ยืนอยู่หลังห้องพยายามกลั้นน้ำตาอย่างสุดความสามารถ
ถ้าเธอรู้ว่าชายหนุ่มมีตัวตนที่น่าทึ่งแบบนี้ จะไม่มีวันพูดอะไรพล่อยๆ แต่ในเมื่อทำไปแล้ว ต่อให้ตระกูลฉีไม่ลงโทษเธอ แต่เธอก็จะหมดความสำคัญลงไปเรื่อยๆในสายตาของหัวหน้าตระกูล
ต่อให้พี่ชายของเธอก็ช่วยอะไรเรื่องนี้ไม่ได้ เพราะระหว่างจอมราชันย์กับราชันย์เทพเจ้า ต่อให้โง่เง่าแค่ไหนก็รู้ว่าควรเข้าข้างใคร
“ช่างมันเถอะ!”
จางเซวียนทั้งสับสนและอัศจรรย์ใจ แต่ก็ไม่อยากใส่ใจให้มากนัก จึงหลับตาและฝึกฝนวรยุทธต่อไป
กระแสพลังจิตวิญญาณบริสุทธิ์ไหลเวียนไปทั่วร่างของเขา ก่อเกิดการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง
ครู่ต่อมา วรยุทธของเขาก็หยุดชะงัก จางเซวียนพบว่าไม่อาจยกระดับวรยุทธของกายเนื้อให้สูงกว่านี้ได้อีก
“เทพเจ้าสวรรค์สร้าง-สูงสุด…”
เมื่อรับรู้ถึงความแข็งแกร่งของกายเนื้อที่ได้รับการบ่มเพาะ จางเซวียนถอนหายใจอย่างโล่งอก
เขาเข้าสู่ทะเลสาบจันทร์กระจ่างโดยหวังว่าจะสามารถยกระดับวรยุทธของกายเนื้อไปเป็นเทพเจ้าสวรรค์สร้างขั้นกลางเป็นอย่างน้อย ใครจะไปคิดว่าสุดท้ายก็ทำได้ถึงระดับเทพเจ้าสวรรค์สร้างขั้นสูง อันที่จริง อีกไม่ไกล เขาก็จะได้เป็นราชันย์เทพเจ้า
ส่วนสภาพร่างกายในเวลานี้ของเขา หากต้องต่อสู้ในระยะประชิด ก็เหนือชั้นกว่าคู่ต่อสู้ทุกคนที่มีวรยุทธต่ำกว่าราชันย์เทพเจ้า ซึ่งนั่นหมายความว่าในที่สุดเขาก็ได้เป็นหนึ่งในชนชั้นนำของสรวงสวรรค์แล้ว
ถึงตอนนี้ พลังงานในทะเลสาบจันทร์กระจ่างก็ดูจะไม่ส่งผลกระทบอะไรกับเขาอีก ไม่ว่าจะซึมซับพลังงานมากแค่ไหน ก็ไม่เกิดความแตกต่างใดๆกับร่างกาย
“ว่าแต่…เส้นสายสีทองพวกนั้นคืออะไร?” จางเซวียนพึมพำด้วยความสงสัยขณะตรวจสอบสภาวะภายในร่างกาย
ด้วยเหตุผลอะไรสักอย่าง เส้นสายสีทองบอบบางจำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏอยู่ภายในกล้ามเนื้อทั่วทั้งร่างกายของเขา พวกมันดูเหมือนจะไม่มีพลังพิเศษใดๆ แต่ก็แข็งแกร่งทนทานมาก เปี่ยมด้วยความกระชุ่มกระชวยและพลังชีวิตเหลือเฟือ
จางเซวียนรู้ดีว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลาของการศึกษาความเปลี่ยนแปลงในตัว จึงกระโจนขึ้นจากทะเลสาบ
เขาใช้พลังปราณกำจัดน้ำออกจากเสื้อผ้าที่เฉอะแฉะได้ในชั่วพริบตา และเมื่อหันกลับไปมองทะเลสาบที่อยู่ด้านหลัง ก็เห็นว่าผิวหน้าของน้ำในทะเลสาบที่เคยเดือดเป็นฟองฟอดกลับคืนสู่สภาพปกติดังเดิม