บทที่ 534.2 ไอ้หมอนั่นกล้ามาที่ภูเขาตะวันเที่ยงหรือ

กระบี่จงมา! Sword of Coming

งานเลี้ยงค่อยๆ เลิกราไป

เด็กสาวเรือนกายสูงโปร่งสะโอดสะองคนหนึ่งยืนอยู่นอกประตูใหญ่ของศาล ตรงเอวห้อยน้ำเต้าลูกเล็กสีเขียวมรกตเปล่งประกายแวววาว นี่ก็คือของขวัญชิ้นน้อยที่พี่ปันไฉ (มาจากชื่อของซ่งจี๋ซิน จี๋ซินแปลว่าเก็บรวบรวมฟืนไม้ ส่วนปันไฉก็แปลว่าย้ายฟืน) ของนางมอบให้นางในปีนั้น ในความเป็นจริงแล้วตอนนั้นต่างก็ไม่มีใครตระหนักได้ว่าน้ำเต้าสีเขียวมรกตลูกนี้จะเป็นสมบัติอาคมชั้นเยี่ยมที่มีมูลค่าควรเมืองชิ้นหนึ่ง ยังคงเป็นบรรพบุรุษตระกูลเถาที่ไปหายอดฝีมือมาช่วยตรวจสอบให้ ถึงได้แน่ใจในความล้ำค่าของมัน

ข้างกายของเด็กสาวเถาจื่อมีวานรเฒ่าเรือนกายกำยำผู้นั้นยืนอยู่ หรือก็คือผู้พิทักษ์แห่งภูเขาตะวันเที่ยง

เถาจื่อดึงสายตากลับมาจากศาลที่ยิ่งใหญ่โอฬารแห่งนั้น แล้วหันหน้ามายิ้มถามว่า “ท่านปู่ป๋ายหยวน พี่หญิงซูไม่มีโอกาสจะกลับมาที่ภูเขาตะวันเที่ยงอีกแล้วจริงๆ หรือ?”

วานรเฒ่าส่ายหน้า “เป็นเศษสวะคนหนึ่งไปแล้ว อยู่ต่อที่ภูเขาตะวันเที่ยงก็มีแต่จะกลายเป็นที่ขบขันของผู้อื่น”

เถาจื่อบ่นอย่างไม่พอใจ “เจ้าสวนหนุ่มของสวนลมฟ้าผู้นั้นก็จริงๆ เลย ช้าไม่ปิดด่านเร็วไม่ปิดด่าน ดันมาปิดด่านเก็บซ่อนตัวไม่พบเจอใครเอาตอนนี้ เจ้าเล่ห์จริงๆ”

วานรเฒ่าแสยะปาก “พอหลี่ถวนจิ่งตายไป สวนลมฟ้าก็ทรุดลงมาเกินครึ่ง ต่อให้หวงเหอที่เป็นเจ้าสวนคนใหม่จะมีพรสวรรค์ดีเยี่ยมแค่ไหน ก็ยังเป็นเพียงไม้ท่อนเดียวที่ยากจะประคับประคองคนหมู่มากได้ ส่วนหลิวป้าเฉียวผู้นั้นก็เป็นพวกไม่เอาไหนที่ถูกพันธนาการด้วยความรัก อย่าเห็นว่าตอนนี้ยังพอมีหน้ามีตา ฝ่าทะลุขอบเขตไม่ช้า แต่ในความเป็นจริงแล้วยิ่งเป็นช่วงหลังๆ  มหามรรคาก็ยิ่งเลือนราง ตอนที่หวงเหอออกจากด่าน ถึงเวลานั้นภูเขาตะวันเที่ยงของพวกเราก็สามารถไปท้าประลองกระบี่กับเขาได้อย่างผึ่งผาย และนั่นก็จะเป็นวันที่สวนลมฟ้าถูกตัดชื่อออก”

วานรเฒ่ามองไปยังภูเขาบรรพบุรุษที่ตั้งของศาลบรรพชนอย่าง ภูเขาตะวันเที่ยง

แล้วก็ยิ้มเอ่ยว่า “ภูเขาตะวันเที่ยงของพวกเราไม่เหมือนที่อื่น เส้นทางกระบี่แต่ละเส้นมุ่งขึ้นสู่ยอดเขา หากรวบรวมกองกำลังใหญ่บางส่วนบนโลกมนุษย์มาได้อีก ไม่เพียงแต่จะสามารถได้เลื่อนขั้นเป็นตระกูลเซียนที่มีอักษรจงในชื่อได้คราเดียว ไม่แน่ว่าอาจจะยังมีเซียนกระบี่ห้าขอบเขตบนที่ไม่ใช่แค่คนเดียวอีกด้วย! ถึงเวลานั้น ผู้ฝึกกระบี่ของทั้งทวีปต่างก็ต้องก้มหัวกราบกรานพวกเรา ผู้แข็งแกร่งมีโชคชะตาที่แข็งแกร่ง จากนี้ไปร้อยปีพันปี ภูเขาตะวันเที่ยงมีแต่จะยิ่งเป็นดั่งดวงตะวันที่ลอยขึ้นกลางนภา เมื่อเทียบกับสวนลมฟ้าและภูเขาเจินอู่ที่มีแนวโน้มว่าจะเสื่อมถอยแล้ว ก็ถูกกำหนดมาแล้วว่ามหามรรคาจะต้องสูงส่งยิ่งกว่า”

เถาจื่อถอนหายใจ “ท่านปู่ป๋ายหยวน เรื่องพวกนี้ที่ท่านพูดมา ข้าไม่ค่อยสนใจเท่าไรหรอกนะ”

วานรเฒ่าพลันเอ่ยว่า “คนสกุลสวี่ของนครลมเย็นมาถึงแล้ว”

เถาจื่อกลอกตามองบน “เจ้าคนน่ารำคาญผู้นั้น”

วานรเฒ่าหัวเราะ

หลังจากที่เจ้าประมุขสกุลสวี่แห่งนครลมเย็นได้เสื้อเกราะโหวจื่อตัวนั้นไป ก็ทำการกวาดล้างกองกำลังสายรองภายในสกุลสวี่เป็นการใหญ่ เพียงไม่นานก็สามารถกำจัดภัยร้ายที่แฝงอยู่ภายในไปได้อย่างหมดจด นอกจากที่ต้องย้ายออกมาภูเขาจูซาในปีนั้น ใช้แผนการชั้นต่ำที่สร้างความประทับใจไม่ดีงามให้กับราชสำนักของต้าหลีแล้ว นอกจากนี้ก็ไม่เคยใช้แผนการที่โง่งมอีก บวกกับที่ภายหลังสกุลสวี่นครลมเย็นได้ให้บุตรสาวทายาทสายตรงแต่งงานกับบุตรอนุภรรยาของสกุลหยวน ดั่งการล้อมคอกเมื่อวัวหาย ไปตีสนิทกับแซ่สกุลผู้เป็นเสาค้ำยันแคว้นที่มีอำนาจยิ่งใหญ่ ตอนนี้ก็ถือว่าเป็นกองกำลังระดับกลางบนภูเขาที่ช่วยประคับประคองมังกร เพียงแต่ว่ายังคงด้อยกว่าภูเขาตะวันเที่ยงหนึ่งระดับ ตลอดเวลาหลายปีที่ผ่านมานี้ สตรีหน้าตางดงามเพริศพริ้งที่กลอุบายลึกล้ำของนครลมเย็นผู้นั้นก็คอยเลียบๆ เคียงๆ มาโดยตลอด ด้วยหวังให้บุตรชายของนางได้เป็นคู่บำเพ็ญเพียรกับเถาจื่อ เพียงแต่ว่าจนถึงตอนนี้บรรพจารย์ตระกูลเถาก็ยังไม่ยอมตอบตกลง ในความเป็นจริงแล้ว หากสกุลสวี่กับนครลมเย็นแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์กัน สำหรับคนทั้งภูเขาตะวันเที่ยงแล้ว ก็ถือว่าเป็นเรื่องดีที่ไม่เล็ก ทั้งสองตระกูลสามารถเป็นบุปผาที่ปักลงบนผ้าแพรให้แก่กันและกันได้

สตรีสวมชุดชาววังลักษณะสุภาพงามสง่าคนหนึ่งจับมือกับเด็กหนุ่มหน้าตางดงามสวมชุดสีแดงสดทะยานลมมาถึง

เถาจื่อยิ้มกว้าง ทำท่าคารวะทักทาย “คารวะฮูหยิน”

ส่วนเด็กหนุ่มคนนั้นก็หันไปคารวะวานรเฒ่าย้ายขุนเขา “คารวะท่านปู่หยวน”

วานรเฒ่าเพียงแค่พยักหน้ารับ ถือเป็นการตอบรับเด็กหนุ่มแล้ว

ส่วนสตรีแต่งงานแล้วกลับเอื้อมมือมาคว้ามือของเด็กสาวด้วยกิริยานุ่มนวล ยิ้มบางๆ ด้วยสีหน้าเอ็นดู “ไม่ได้เจอกันแค่ไม่กี่ปี แม่หนูเถาของข้าก็งดงามโดดเด่นขนาดนี้แล้ว”

หลังจากทักทายปราศรัยกันไปครู่หนึ่ง

สตรีแต่งงานแล้วและวานรเฒ่าที่เข้าใจตรงกันโดยปริยาย ต่างก็ปล่อยให้เด็กหนุ่มเด็กสาวอยู่ด้วยกันเพียงลำพัง

ผู้ใหญ่ทั้งสองพากันเดินไปทางศาลของอดีตขุนเขาแห่งนั้น

ตรงนอกศาล เถาจื่อถลึงตา ยื่นมือออกมา “เจ้าคนน่ารำคาญ ของขวัญของเจ้าล่ะ?”

เด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาที่สวมชุดสีแดงสดยื่นมือที่กำเป็นหมัดออกมา แล้วพลันคลายฝ่ามือออก ในมือของเขาว่างเปล่าไม่มีสิ่งใด แล้วจึงตบลงบนฝ่ามือของเด็กสาวเบาๆ “เก็บไว้ให้ดีล่ะ”

เถาจื่อขมวดคิ้ว

เด็กหนุ่มชูสองมือขึ้นสูง ยิ้มพูดหน้าเป็นว่า “อย่ารีบร้อน ช่วงนี้แคว้นหูของนครลมเย็นพวกเรามีเรื่องน่ายินดีเกิดขึ้น ข้าก็เลยได้แต่รอไปก่อน คงต้องชดเชยของขวัญให้เจ้าช้าสักหน่อย”

เถาจื่อแค่นเสียงหึในลำคอ

คนทั้งสองเดินอยู่บนลานกว้างหยกขาวที่ตั้งอยู่บนยอดเขาของอดีตขุนเขาแคว้นอื่น เดินเล่นเลียบราวรั้วไปช้าๆ แต่ไหนแต่ไรมา ทัศนียภาพของกลุ่มยอดเขาของภูเขาตะวันเที่ยงก็มีชื่อเสียงด้านความงดงามในแจกันสมบัติทวีปมาอย่างยาวนาน

เด็กหนุ่มชำเลืองตามองน้ำเต้าสีเขียวมรกตที่ห้อยอยู่ตรงเอวของเถาจื่อ “พี่ปันไฉของเจ้าคนนั้น เหตุใดถึงไม่มาร่วมอวยพร?”

เถาจื่อหัวเราะเสียงเย็น “เจ้าคิดว่าเขาเป็นคนว่างงานแบบเจ้าหรืออย่างไร? ตอนนี้เขาเป็นอ๋องเจ้าเมืองแล้ว ถือเป็นเจ้าของแผ่นดินครึ่งทวีป”

เด็กหนุ่มยิ้มกล่าว “คำพูดเช่นนี้อย่าได้พูดออกมาส่งเดช”

เถาจื่อหลุดหัวเราะพรืด “ผลลัพธ์จากการที่ข้ายืนพูดจาเหลวไหลอยู่ตรงนี้ กับผลลัพธ์จากการที่เจ้านำไปพูดส่งเดชหลังจากที่ได้ฟังไป แบบไหนจะร้ายแรงกว่ากัน?”

เด็กหนุ่มทำอะไรไม่ได้ เพราะนังหนูนี่พูดเรื่องจริง

เขาฟุบตัวอยู่บนราวรั้ว “หม่าขู่เสวียนร้ายกาจจริงๆ กองทัพม้าเหล็กไห่เฉาแห่งนั้นไม่เหลืออยู่แล้ว ได้ยินมาว่าสตรีที่ปีนั้นทำให้หม่าขู่เสวียนเดือดดาลไปโขกหัวอ้อนวอนพร้อมกับท่านปู่ของนาง แต่กลับไม่สามารถทำให้หม่าขู่เสวียนเปลี่ยนใจได้””

เถาจื่อร้องอ้อรับหนึ่งที “เจ้าคนที่อยู่ในตรอกซิ่งฮวาของถ้ำสวรรค์หลีจูนั่นน่ะหรือ? หลังจากไปถึงภูเขาเจินอู่ก็ฝ่าทะลุขอบเขตราวกับคนบ้า คนแบบนี้ อย่าไปสนใจเขาเลยจะดีกว่า”

เด็กหนุ่มเงียบไปพักใหญ่ สีหน้ามืดทะมึน

เพราะเขานึกถึงคนที่ปีนั้นเขาได้เห็นครั้งแรกก็รู้สึกไม่ชอบขี้หน้ามากที่สุด

แต่สิ่งที่พอจะทำให้เขาอารมณ์ดีขึ้นมาได้บ้างก็คือ เจ้าเศษสวะบ้านนอกที่เขาไม่ชอบคนนั้นเป็นเพียงแค่อริของเขาคนเดียว ทว่าเด็กสาวข้างกายกับตลอดทั้งภูเขาตะวันเที่ยงกลับเป็นศัตรูคู่อาฆาตกับเจ้าหมอนั่นแบบที่ต่อให้เป็นเทพเซียนก็ยากจะคลายปมแค้นเงื่อนตายนั้นได้ ที่น่าสนุกยิ่งกว่านั้นยังเป็นเพราะ ไม่รู้ว่าไอ้หมอนั่นทำอย่างไร จากเศษสวะที่สะพานแห่งความเป็นอมตะขาดสะบั้น กลับหันไปเรียนวรยุทธ ชอบออกไปเตร็ดเตร่อยู่ด้านนอก ไม่รู้จักเสวยสุขอยู่ในบ้านของตัวเอง ตอนนี้ไม่เพียงแต่มีกิจการ ยังเป็นกิจการที่ใหญ่มากด้วย มีภูเขามากมายรวมถึงภูเขาลั่วพั่ว และภูเขาจูซาหนึ่งในนั้นยังเป็นชุดแต่งงานที่ตระกูลเขาตัดให้กับคนผู้นี้ ทำให้อีกฝ่ายได้จวนบนภูเขาแบบสำเร็จรูปไปเปล่าๆ พอคิดถึงเรื่องนี้ อารมณ์ของเขาก็ย่ำแย่อย่างถึงที่สุดอีกครั้ง

น่าเสียดายที่ทางฝั่งของเขตการปกครองหลงเฉวียนปกปิดข่าวสารได้อย่างแน่นหนา อีกทั้งยังมีอริยะหร่วนฉงนั่งบัญชาการณ์ สกุลสวี่นครลมเย็นไม่กล้าไปสืบข่าวเองโดยพลการ เรื่องวงในกระจัดกระจายหลายอย่างที่เหมือนมีเมฆหมอกล้อมวนยังคงต้องอาศัยสกุลหยวนที่พี่สาวของเขาออกเรือนไปด้วยนำกลับมาแจ้งแก่บ้านเดิมทีละนิด ซึ่งมีประโยชน์ไม่มากเลย

ขอแค่คนผู้นั้นยังไม่ตาย ก็จะเป็นหนามแหลมทิ่มแทงใจของเด็กหนุ่มว่าที่เจ้านครลมเย็นในอนาคตผู้นี้ตลอดไป

แน่นอนว่ายิ่งเป็นตะปูตำนัยน์ตาของภูเขาตะวันเที่ยง ระคายเคืองตาอย่างยิ่ง

เชื่อว่าตอนนี้เรื่องที่ทำให้ภูเขาตะวันเที่ยงกริ่งเกรงมากที่สุดไม่ใช่ว่ากำลังทรัพย์ของคนหนุ่มผู้นั้นเป็นอย่างไร แต่เป็นเพราะกลัวว่าเจ้าเศษสวะนั่นจะป่ายปีนไปตีสนิทกับสำนักกระบี่หลงเฉวียนได้จริงๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากมีความสัมพันธ์ที่คลุมเครือกับสตรีสวมชุดเขียวผูกผมหางม้าผู้นั้นด้วยแล้ว นี่จะยิ่งเป็นเรื่องที่ยุ่งยากอย่างมาก เพราะถึงอย่างไรนางก็เป็นบุตรสาวเพียงคนเดียวของหร่วนฉง

เขตการปกครองหลงเฉวียนคือพื้นที่ต้องห้ามที่ทั้งบนและล่างภูเขากับราชสำนักต้าหลีรู้กันดีอยู่แก่ใจโดยไม่ต้องป่าวประกาศ ไม่มีใครกล้าพอจะเข้าไปสืบข่าวในนั้น

นี่ก็เพราะว่าอริยะหร่วนฉงคือผู้ถวายงานอันดับหนึ่งของต้าหลี

ฮ่องเต้สกุลซ่งสองรุ่นของต้าหลีต่างก็ยกอาจารย์หลอมกระบี่ที่มีชาติกำเนิดมาจากศาลลมหิมะผู้นี้ให้เป็นแขกผู้มีเกียรติสูงศักดิ์อย่างแท้จริง

เด็กหนุ่มหันไปมองด้านหลังแวบหนึ่ง

ท่ามกลางซากปรักของศาลแห่งอดีตขุนเขา

สตรีกับวานรเฒ่าพูดคุยเรื่องสถานการณ์ในแจกันสมบัติทวีปกันไปแล้วก็หันกลับมาเข้าเรื่องเป็นการเป็นงาน นางเอ่ยเสียงเบาว่า “หากหลิวเสี้ยนหยางผู้นั้นกลับจากสกุลเฉินผู้รอบรู้มายังสำนักกระบี่หลงเฉวียน จะกลายเป็นปัญหาที่ใหญ่เทียมฟ้า”

วานรเฒ่าหัวเราะหยัน “เมื่อเทียบกับภูเขาตะวันเที่ยงของพวกเรา ปัญหาเล็กน้อยแค่นี้ในอนาคตของสกุลสวี่พวกเจ้า จะนับเป็นอะไรได้”

สตรีขมวดคิ้วมุ่นไม่คลาย “ฝึกตนบนภูเขา ระยะเวลายี่สิบสามสิบปีแค่ดีดนิ้วก็ผ่านไป นครลมเย็นของพวกเรากับภูเขาตะวันเที่ยงของพวกเจ้าต่างก็มีปณิธานอยู่ที่อักษรจงในชื่อสำนัก ไม่มีความกังวลไกลก็ต้องมีความกลุ้มใจใกล้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเจ้าคนแซ่เฉินผู้นั้นที่ต้องตายสถานเดียว”

วานรเฒ่ากล่าวอย่างเฉยชา “อย่าให้ข้าเจอโอกาสล่ะ ไม่อย่างนั้นหนึ่งหมัดปล่อยออกไป ฟ้าดินก็สว่างจ้าแล้ว”

สตรีพูดอย่างมีโทสะ “มันง่ายขนาดนั้นเลยหรือไง?!”

วานรเฒ่าถามย้อนกลับ “ข้าไม่ไปหาเรื่องเขา เจ้าเด็กนั่นก็ควรจะจุดธูปไหว้พระแล้ว เขาจะกล้ามาชำระแค้นที่ภูเขาตะวันเที่ยงอย่างนั้นหรือ?”

สตรีแต่งงานแล้วถอนหายใจหนึ่งที อันที่จริงนางเองก็รู้ดีว่า ต่อให้หลิวเสี้ยนหยางเข้าไปอยู่ในสำนักกระบี่หลงเฉวียน กลายเป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดของหร่วนฉง ก็ไม่อาจสร้างคลื่นลมมรสุมอะไรได้มากนัก ส่วนเจ้าเด็กบ้านนอกตรอกหนีผิงผู้นั้น ต่อให้ตอนนี้จะสะสมทรัพย์สินไม่ธรรมดาที่ยังไม่รู้ว่าหนาตื้นแค่ไหน ทว่าเมื่อเผชิญหน้ากับภูเขาตะวันเที่ยงที่มีที่พึ่งคือราชสำนักต้าหลี ก็ยังคงเป็นเพียงมดแดงเขย่าต้นไม้อยู่ดี ต่อให้ตัดต้าหลีออก แล้วก็ไม่พูดถึงเหล่าบรรพจารย์ผู้ฝึกกระบี่ทั้งหลายของภูเขาตะวันเที่ยง พูดถึงแค่วานรย้ายภูเขาข้างกายตัวนี้ จะใช่คนที่ผู้ฝึกยุทธหนุ่มแห่งภูเขาลั่วพั่วต้านทานได้หรือ?

แต่ไม่รู้ว่าเหตุใด ตลอดหลายปีมานี้จิตใจของนางถึงไม่เคยสงบสุขได้เลย

วานรเฒ่ากระตุกมุมปาก ใบหน้าเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน “ฮูหยิน เจ้ารู้สึกว่าเว่ยจิ้นเซียนกระบี่แห่งศาลลมหิมะเป็นอย่างไร?”

แม้สตรีจะไม่รู้ว่าเหตุใดเดรัจฉานเฒ่าถึงถามเช่นนี้ แต่ก็ยังตอบไปว่า “เป็นบุคคลผู้มีพรสวรรค์อันดับหนึ่งแห่งทวีปตามหลังหลี่ถวนจิ่ง นำหน้าหม่าขู่เสวียน”

วานรเฒ่าเอ่ย “ถ้าอย่างนั้นเว่ยจิ้นกล้ามาท้าประลองกระบี่กับภูเขาตะวันเที่ยงเราหรือไม่? สามารถปล่อยหนึ่งกระบี่แล้วทำให้ภูเขาตะวันเที่ยงของพวกเราก้มหัวให้หรือไม่?”

สตรีหัวเราะออกทันใด “แน่นอนว่ากล้า แต่กลับไม่อาจทำได้”

สุดท้ายวานรเฒ่าเอ่ยว่า “เศษสวะที่มีชาติกำเนิดจากตรอกหนีผิงคนหนึ่ง มดตัวน้อยที่สะพานแห่งความเป็นอมตะขาดสะบั้น ต่อให้ข้าให้เขายืมความกล้าหาญไป แต่เขาจะกล้ามาที่ภูเขาตะวันเที่ยงหรือ?!”

“พูดแบบนี้อาจไม่ค่อยน่าฟังสักเท่าไร”

สตรีหยุดชะงักไปครู่หนึ่ง แล้วเอ่ยเนิบช้าว่า “แต่ข้ารู้สึกว่าคนผู้นั้น กล้ามา”

วานรย้ายภูเขาหัวเราะเสียงดังกังวานอย่างชอบใจ พยักหน้าเอ่ยว่า “ก็จริงนะ ปีนั้นยังกล้าสู้กับข้าตัวต่อตัว ถือว่ากล้าหาญไม่น้อย แต่ตอนนี้ไม่มีใครที่สามารถปกป้องเขาได้แล้ว ออกมาจากเขตการปกครองหลงเฉวียน ขอแค่เขากล้ามาที่ภูเขาตะวันเที่ยง ข้าก็รับรองว่าจะทำให้เขาได้เงยหน้ามองศาลบรรพจารย์ภูเขาตะวันเที่ยงสักครั้ง แล้วก็ต้องตายอยู่ที่ตีนเขา!”

……

บนภูเขาในอุตรกุรุทวีปที่ถูกฉีจิ่งหลงวาดยันต์บ่อสายฟ้าซึ่งไม่รู้ว่าห่างไกลจากแจกันสมบัติทวีปมากี่หมื่นลี้

คนหนุ่มที่สวมชุดคลุมอาคมสีดำผู้หนึ่งเตร็ดเตร่อยู่บนภูเขานานถึงสองวันเต็ม บ้างก็ฝึกเดินนิ่งฝึกวิชาหมัด บางครั้งอยู่ว่างไม่มีอะไรทำก็วิ่งไปนั่งยองตรงตีนเขา ชื่นชมความเลิศล้ำในฝีมือการวาดยันต์ของฉีจิ่งหลง

เฉินผิงอันล้มเลิกความคิดที่จะฝึกท่าฟ้าดินไปอย่างสิ้นเชิง

ไม่ใช่ว่าท่วงท่าน่าอายเกินไป แต่เป็นเพราะหากฝืนเอาทั้งสี่กระบวนท่ามารวมเป็นหนึ่ง ปณิธานหมัดจะปนกันส่งเดช ทำให้สูญเสียความหมายนั้นไป

ช่วงเวลาที่ผ่านมานี้เขายังคงฝึกบำเพ็ญตบะมากกว่าฝึกวิชาหมัด เพราะถึงอย่างไรตอนนี้ร่างกายก็อ่อนแอเกินไป ฝึกท่าเดินนิ่งมากเกินกลับจะยิ่งเป็นการทำร้ายรากฐานร่างกายของตัวเอง โดนสามหมัดของขอบเขตยอดเขาต่อยลงมาบนร่างจังๆ หากเปลี่ยนมาเป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตร่างทองทั่วไปก็คงตายไปแล้วสามครั้ง หากเปลี่ยนมาเป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตเดินทางไกลทั่วไป ก็น่าจะตายไปแล้วเหมือนกัน ส่วนเขาเฉินผิงอัน แน่นอนว่าไม่ได้บอกว่าตัวเขาแข็งแกร่งกว่าผู้ฝึกยุทธขอบเขตแปด เพราะในความเป็นจริงแล้วก็เท่ากับว่าเขาตายไปแล้วหนึ่งครั้ง

ท่ามกลางแสงสนธยาของวันนี้ เฉินผิงอันนั่งอยู่ข้างหีบไม้ไผ่ วาดยันต์กระดาษเหลืองธรรมดาอีกบางส่วน

ทยอยวาดไปเรื่อยๆ ก็วาดได้ถึงเจ็ดแปดร้อยแผ่นแล้ว ตอนนั้นสุยจิ่งเฉิงค้นเจอตำราลับค่ายกลมาจากศพของนักฆ่าภูเขาเกอลู่คนหนึ่ง ในบรรดานั้นก็มียันต์พิฆาตสามชนิดที่อานุภาพไม่เลว เฉินผิงอันสามารถเรียนรู้และนำมาใช้ได้เลย ชนิดหนึ่งคือยันต์กองสายฟ้าหน่วยสวรรค์ ถือกำเนิดมาจากยันต์สายฟ้าสาขารองของบรรพบุรุษแห่งหมื่นอาคม แน่นอนว่าไม่ถือว่าเป็นยันต์สายฟ้าดั้งเดิม แต่เจอกับปริมาณยันต์ที่มากมายของเฉินผิงอันเข้าไปก็ไม่ถือว่าแย่เลย และยังมียันต์มหานทีไหลสะพัด เป็นยันต์น้ำ อย่างสุดท้ายคือยันต์ขยุ้มดิน คือยันต์ดิน

กระดาษยันต์สีเหลืองราคาไม่แพง ในโลกมนุษย์มีชาดผงทองให้หาซื้อ เมื่อเทียบกับชาดตระกูลเซียนที่ต้องเผาผลาญเงินเทพเซียนแล้ว อันที่จริงก็ไม่ถือว่าแย่เท่าไร แล้วนับประสาอะไรกับที่ตอนอยู่บนถนนเหล่าไหวของสวนน้ำค้างวสันต์ เฉินผิงอันยังซื้อชาดบนภูเขามาอีกหลายไหหลายขวด อย่าว่าแต่วาดยันต์หลากหลายรูปแบบเป็นพันแผ่นเลย ต่อให้วาดอีกพันแผ่นก็ยังเหลือเฟือ

เฉินผิงอันเอายันต์แต่ละปึกนั้นแยกประเภทกันไว้ แล้ววางลงบนหีบไม้ไผ่

มากพอจะกลายเป็นสายฝนแห่งยันต์ได้เลย

เฉินผิงอันชื่นชมอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อพอใจแล้วก็เก็บรวบรวมกลับมา ซ่อนไว้ในชายแขนเสื้อ รู้สึกได้ว่าหนักอึ้ง นี่คงเป็นความรู้สึกของคำว่าเงินมากหนักมือกระมัง

สุดท้ายเฉินผิงอันสะพายหีบไม้ไผ่ นั่งอยู่บนพื้น ดึงหญ้าต้นหนึ่งขึ้นมา ดีดดินที่ติดออก แล้วเอาใส่ปากเคี้ยวช้าๆ จากนั้นก็เอาสองมือสอดรองไว้ใต้ท้ายทอย

สิ่งที่เร็วที่สุดในใต้หล้านี้ ไม่ใช่กระบี่บิน แต่เป็นความคิด

ยกตัวอย่างเช่นแผล็บเดียวก็ไปถึงตรอกหนีผิงและภูเขาลั่วพั่วของเขตการปกครองหลงเฉวียน และอีกแผล็บเดียวก็ไปถึงบนขั้นบันไดของภูเขาห้อยหัวแล้ว

เฉินผิงอันหลับตาลง ความคิดจิตใจจมดิ่งลงลึก ค่อยๆ หลับไป

ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไร เมื่อลืมตาขึ้นมาอีกครั้งก็มองเห็นแสงสว่างแล้ว

—-