บทที่ 535.1 กู้ช่านยังคงเป็นกู้ช่านคนนั้น

กระบี่จงมา! Sword of Coming

ปีนี้นครอวิ๋นโหลว นครน้ำบ่อแห่งทะเลสาบซูเจี่ยนได้ทยอยกันจัดงานพิธีกรรมทางศาสนาของลัทธิเต๋าและลัทธิพุทธสองครั้ง สิ้นเปลืองเงินเทพเซียนไปมหาศาล เพราะว่าต้องเชื้อเชิญเทพเซียนบนภูเขาจากทั้งสองลัทธิมาเป็นจำนวนมาก อีกทั้งยังไม่ใช่พวกเทพเซียนที่ดีแต่สร้างชื่อเสียงจอมปลอมด้วย

และสาเหตุยังเป็นเพราะสถานะของคนสองคนที่จัดงานไม่ธรรมดา โดยแบ่งออกเป็นหลิวจื้อเม่าสกัดคงคาเจินจวินที่เปลี่ยนจากนักโทษของเกาะกงหลิ่วกลายมาเป็นผู้ถวายงานของสำนักเจินจิ้ง กับกวนอี้หรานแม่ทัพผู้เฝ้าพิทักษ์ทะเลสาบซูเจี่ยน ไม่อย่างนั้นคาดว่าราคาค่าจัดงานอย่างน้อยที่สุดก็ต้องเพิ่มขึ้นจากนี้ไปอีกเป็นเท่าตัว การที่สามารถเชื้อเชิญให้ผู้ฝึกตนบนภูเขาเหล่านี้ลงจากเขามาได้ จำเป็นต้องใช้ควันธูปจำนวนมาก และยิ่งต้องจ่ายค่าตอบแทนที่ไม่น้อย แน่นอนว่าทั้งสามารถสะสมบุญกุศลให้กับตัวเอง แล้วก็ยังได้ผูกมิตรกับหลิวจื้อเม่าและกวนอี้หราน ล้วนถือว่าเป็นเรื่องดี ดังนั้นเทพเซียนลัทธิเต๋าและภิกษุสมณศักดิ์สูงทั้งหลายจึงตั้งใจกับการทำพิธีทั้งสองครั้งนี้มาก

ในระหว่างนี้มีเงาร่างไม่สะดุดตาของคนสามคนซ่อนตัวอยู่เบื้องหลังตลอดเวลา แต่เกี่ยวกับเรื่องความสามารถในการคิดบัญชีของคนทั้งสามนี้ ขุนนางผู้ติดตามกองทัพที่อยู่ข้างกายกวนอี้หรานรู้สึกเลื่อมใสไม่น้อย

คนทั้งสามแบ่งออกเป็นชื่อกู้ช่าน เจิงเย่ หม่าตู่อี๋

งานพิธีกรรมทั้งสองครั้งปิดฉากลงได้อย่างราบรื่น ทุกคนต่างก็แซ่ซ้องว่าผู้ถวายงานหลิวและแม่ทัพกวนมีคุณธรรมเลิศล้ำหาที่เปรียบมิได้

ท่ามกลางม่านราตรีของคืนนี้ หลังจากดื่มสุราเลี้ยงฉลองกับขุนนางภายใต้บังคับบัญชาของแม่ทัพกวนแล้ว เด็กหนุ่มร่างผอมสูงที่สวมชุดสีเขียวคนหนึ่งก็เดินกลับที่พักเพียงลำพัง ที่พักแห่งนั้นตั้งอยู่ในตรอกห่างไกลเงียบสงบแห่งหนึ่งของนครน้ำบ่อ เขาเช่าเรือนหลังเล็กไว้ที่นี่หนึ่งหลัง มีเด็กหนุ่มร่างสูงใหญ่คนหนึ่งยืนอยู่หน้าประตูบ้าน กำลังชะเง้อคอมองมา พอเห็นเงาร่างของเด็กหนุ่มชุดเขียวก็ถอนหายใจโล่งอก เด็กหนุ่มร่างสูงใหญ่ก็คือเจิงเย่ คนโชคดีที่ถูกจางเย่ผู้ฝึกตนเฒ่าของเกาะชิงเสียช่วยออกมาจากหลุมเพลิง ภายหลังมาทำงานอยู่ตรงหน้าประตูภูเขาของเกาะชิงเสีย ช่วงเวลานั้นเขาได้ช่วยนักบัญชีท่านหนึ่งเก็บกวาดเรือนที่พัก ภายหลังก็ออกเดินทางไปท่องภูเขาสายน้ำของหลายแคว้นด้วยกัน ใช้วิชานอกรีตคล้ายคลึงกับผีเข้าสิงร่างคนมาช่วยพัฒนาตบะของตัวเองให้รุดหน้า

หม่าตู่อี๋เองก็ยังไม่ได้นอนหลับ เดิมทีนางก็เป็นผีอยู่แล้ว การฝึกตนตอนกลางคืนจะช่วยให้เหนื่อยเพียงครึ่งแต่ได้ผลลัพธ์เป็นเท่าตัว เวลานี้นางจุดตะเกียงดวงหนึ่งไว้บนโต๊ะ กำลังดีดลูกคิดคำนวณบัญชี งานพิธีกรรมทั้งสองครั้งใช้จ่ายเงินไปราวกับสายน้ำไหล ยังดีที่ผู้เฒ่าหลังค่อมที่ชื่อว่าจูเหลี่ยนคนนั้นได้ทยอยส่งเงินฝนธัญพืชมาให้สองก้อน ครั้งหนึ่งเป็นจูเหลี่ยนที่เดินทางมาพบพวกเขาด้วยตัวเอง อีกฝ่ายมีใบหน้าประดับยิ้ม ท่าทางอ่อนโยนเป็นมิตร พูดคุยด้วยง่ายอย่างถึงที่สุด ครั้งที่สองไหว้วานคนหนุ่มที่ชื่อว่าต่งสุ่ยจิ่งให้นำไปส่งที่นครอวิ๋นโหลว แล้วนำมามอบต่อให้พวกเขาสามคน

หม่าตู่อี๋สวมห่มยันต์หนังจิ้งจอกของสกุลสวี่นครลมเย็นแผ่นนั้น รูปโฉมจึงงดงามน่าหลงใหล

กู้ช่านยืนอยู่นอกประตู ปัดไปตามเสื้อผ้าเพื่อสลายกลิ่นสุราที่ติดกาย แล้วจึงเคาะประตูเบาๆ ก่อนเดินเข้ามาในห้อง เขารินชาให้ตัวเองหนึ่งถ้วย นั่งลงฝั่งตรงข้ามกับหม่าตู่อี๋ ส่วนเจิงเย่นั้นนั่งอยู่บนม้านั่งระหว่างคนทั้งสอง

หม่าตู่อี๋พูดโดยไม่เงยหน้า “ขุนนางของจวนแม่ทัพไม่ละโมบในทรัพย์สินเงินทองเหมือนพวกขุนนางประจำท้องถิ่นที่พวกเราพบเจอในปีนั้นเลย นอกจากใช้จ่ายเงินทองไปบางส่วนแล้วก็แทบจะไม่เคยเอาเก็บเข้ากระเป๋าตัวเอง”

กู้ช่านเอ่ยอย่างเฉยชา “ไม่ละโมบ? หนึ่งเพราะไม่มีความกล้านั้น ทำงานภายใต้เปลือกตาของแม่ทัพกวน ไม่กล้าไม่ตั้งใจ สองเพราะเส้นทางอนาคตถูกกำหนดมาแล้วว่าต้องยาวไกล หากสละอนาคตที่รุ่งเรืองเพียงเพื่อเงินเล็กๆ น้อยๆ ไม่คุ้มกัน แน่นอนว่าต้องให้ได้เป็นขุนนางใหญ่เสียก่อนแล้วค่อยหาเงินก้อนใหญ่ใส่กระเป๋า หากไม่มีหัวคิดเสียบ้าง จะสามารถมาเป็นขุนนางผู้ช่วยแม่ทัพกวนได้อย่างไร แต่ในบรรดานี้ก็มีขุนนางบุ๋นบางส่วนที่ไม่ได้ทำเพื่อเงินทองจริงๆ และวันหน้าพวกเขาก็จะยังคงเป็นเช่นนี้”

หม่าตู่อี๋ยืดแขนบิดขี้เกียจ กู้ช่านยื่นน้ำชาถ้วยหนึ่งส่งไปให้

การกระทำเป็นธรรมชาติ อยู่ด้วยกันนานวันเข้า ต่อให้เป็นหม่าตู่อี๋ก็ยังไม่รู้สึกตะขิดตะขวงใจใดๆ ส่วนเจิงเย่นั้น ได้รับถ้วยน้ำชาที่กู้ช่านยื่นส่งไปให้นานแล้ว

กู้ช่านยิ้มกล่าว “ลำบากทุกคนแล้ว”

หม่าตู่อี๋ดื่มน้ำชารวดเดียวหมด นวดคลึงข้อมือตัวเองแล้วพูดด้วยสีหน้าสดชื่น “ในที่สุดก็มีเวลาว่างไปเก็บตกของดีแล้ว! ต่อจากนี้ข้าจะไปท่องแคว้นต่างๆ รอบทะเลสาบซูเจี่ยนให้ทั่วเลย! แคว้นสือหาว แคว้นเหมยโย่วก็ต้องไปด้วย!”

กู้ช่านเอ่ยเตือน “เดี๋ยวข้าจะนำป้ายสงบสุขปลอดภัยแผ่นนั้นมามอบให้เจ้า ท่องเที่ยวไปตามแคว้นใต้อาณัติของต้าหลีเหล่านี้ เส้นทางคร่าวๆ ของเจ้าก็ให้พยายามอยู่ใกล้ๆ กับด่านเมืองใหญ่ที่มีกองทัพต้าหลีปักหลักอยู่ หากเจอกับปัญหาจะได้ไปขอความช่วยเหลือได้ แต่เวลาปกติ ทางที่ดีที่สุดก็อย่าเอาป้ายสงบสุขออกมาจะดีกว่า หลีกเลี่ยงไม่ให้ผู้ฝึกตนของแคว้นที่ล่มสลายหลายแห่งมองเป็นศัตรู”

หม่าตู่อี๋กลอกตามองบน “จู้จี้จุกจิกอยู่ได้ ไม่รำคาญตัวเองบ้างหรือไร? ข้าต้องให้เจ้ามาสอนหลักการตื้นเขินพวกนี้ด้วยหรือ? ข้าน่ะออกท่องยุทธภพกับท่านเฉินมานานกว่าเจ้าเสียอีก!”

กู้ช่านยิ้มบางๆ อย่างไม่ถือสา “ถ้าอย่างนั้นข้ากลับไปพักผ่อนก่อน ร่วมงานเลี้ยงที่ต้องร่ำสุราแบบนี้เหนื่อยที่สุดเชียวล่ะ”

กู้ช่านออกจากห้องแห่งนี้ไปยังห้องหนังสือที่อยู่ด้านข้างของห้องหลัก บนโต๊ะวางอาวุธหนักวิถีผีที่ปีนั้นนักบัญชีเชื่อมาจากคลังสมบัติลับของเกาะชิงเสียอย่างตำหนักพญายมราช ‘คุกล่าง’ เอาไว้ และยังมีเรือนแก้วจำลองที่ปีนั้นอวี๋กุ้ยผู้ถวายงานเกาะชิงเสียขายให้กับนักบัญชี เมื่อเทียบกับคุกล่างชิ้นนั้น เรือนแก้วจำลองนี้มีแค่ยี่สิบห้อง วัตถุหยินสิบเอ็ดตนในนั้น ตอนที่มีชีวิตอยู่คือผู้ฝึกตนห้าขอบเขตกลาง พอตายไปได้กลับกลายมาเป็นผีร้าย มีทิฐิยึดมั่นลึกล้ำอย่างถึงที่สุด ผ่านไปนานหลายปีขนาดนี้ ผู้ที่พักอาศัยอยู่ในเรือนแห่งนี้ยังมีเหลืออีกประมาณครึ่งหนึ่ง

กู้ช่านนั่งอยู่บนม้านั่ง สายตาจ้องนิ่งไปที่ตำหนักพญายมราชคุกล่าง จิตใจจมจ่อมอยู่ภายใน ดวงจิตของเขาเล็กเหมือนเมล็ดงา ประหนึ่งเกาะชิงเสียที่อยู่ในทะเลสาบซูเจี่ยน จิตวิญญาณของ ‘กู้ช่าน’ อยู่ในเรือนแก้ว พวกผีและวัตถุหยินที่ยินดีจากไปหลังพิธีกรรมทั้งสองครั้งมีสองร้อยกว่าตน ซึ่งในจำนวนนี้ส่วนใหญ่คือวัตถุหยินที่ทยอยกันทำตามความปรารถนาได้สำเร็จแล้ว และก็มีบางส่วนที่ไม่ยึดติดกับชีวิตที่ผ่านมา หวังว่าจะได้ไปจุติเกิดใหม่ เปลี่ยนมามีวิธีอยู่รอดอย่างใหม่

แต่ก็ยังมีภูตผีวัตถุหยินที่เลือกจะอยู่ในคุกล่างแห่งนี้ คอยก่นด่าสาปแช่งตัวการร้ายอย่างเขาวันแล้ววันเล่า ปีแล้วปีเล่า ในบรรดานั้นมีไม่น้อยที่แม้แต่นักบัญชีผู้นั้นก็ยังสบถด่าสาปแช่งด้วยถ้อยคำอำมหิตรุนแรงไปพร้อมกันด้วย

ทว่าต่อให้เป็นเช่นนี้ กู้ช่านก็ยังคงทำตามข้อตกลงที่มีกับคนผู้นั้น ไม่เพียงแต่ไม่ทำให้ผีตนใดแหลกสลายกลายเป็นผุยผง กลับกันทุกๆ ระยะเวลาช่วงหนึ่งยังต้องโยนเงินเทพเซียนเข้าไปในตำหนักพญายมราชคุกล่างและเรือนแก้วจำลองด้วย เพื่อให้พวกมันรักษาสติปัญญาเอาไว้ได้ ไม่ต้องถึงขั้นตกต่ำกลายไปเป็นผีร้าย

กู้ช่านถอยออกมาจากคุกล่าง ย้ายดวงจิตเข้าไปในเรือนแก้วจำลอง ไล่เดินไปทีละห้อง ภายในห้องเป็นสีดำสนิท มองไม่เห็นทัศนียภาพใดๆ มีเพียงยามที่ผีดุร้ายยืนอยู่ตรงหน้าประตูเท่านั้น กู้ช่านถึงจะสามารถมองประสานสายตากับพวกมันได้

เวลานี้ผีสตรีที่สวมชุดสีขาวหิมะตนหนึ่งยืนอยู่หน้าประตูด้วยสีหน้าทึ่มทื่อ ต่อให้ทั้งสองฝ่ายจะอยู่ห่างกันแค่หนึ่งฉื่อ แต่นางก็ยังไม่มีท่าทีว่าจะลงมือทำอะไร

เพราะก่อนหน้าที่เรือนแก้วจำลองจะถูกส่งมอบมาถึงมือของกู้ช่าน พวกมันเคยให้คำสัญญากับนักบัญชีที่เรือนกายผ่ายผอมราวกับโครงกระดูกเดินได้ผู้นั้นว่า ในอนาคตเมื่อกู้ช่านเข้ามาในเรือนแก้วจำลองแห่งนี้ หากคิดจะฆ่าคนเพื่อแก้แค้นย่อมไม่มีปัญหา แต่ต้องรับผลลัพธ์ที่ตามมาด้วยตัวเอง และโอกาสมีเพียงครั้งเดียวเท่านั้น

ปีนั้นวัตถุหยินสิบเอ็ดตนไม่มีใครเลือกที่จะลงมือ ตอนนี้มีสองตนในนั้นที่ต่างก็ได้สมใจปรารถนา เลือกจะไปจากโลกมนุษย์อย่างสิ้นเชิง ตนหนึ่งเรียกร้องให้กู้ช่านดูแลคนในตระกูลของเขาอย่างน้อยร้อยปี อีกทั้งยังต้องให้ทุกคนร่ำรวยมีเกียรติ ไม่ต้องประสบพบเจอกับหายนะใหญ่ กู้ช่านตอบตกลง อีกคนหนึ่งเรียกร้องให้กู้ช่านมอบสมบัติอาคมชิ้นหนึ่งให้แก่ลูกศิษย์ผู้สืบทอดคนหนึ่งของนาง รับรองว่าลูกศิษย์คนนั้นจะเลื่อนสู่ห้าขอบเขตกลาง อีกทั้งยังไม่อนุญาตให้พันธนาการการฝึกตนของลูกศิษย์ตน กู้ช่านไม่อาจมีจิตคิดร้ายใดๆ ต่อเขา กู้ช่านก็ตอบตกลงอีกเช่นกัน เพียงแต่บอกว่าสมบัติอาคมคงต้องติดไว้ก่อน ทว่าบนเส้นทางการฝึกตนของลูกศิษย์คนนั้นของนาง เขากู้ช่านสามารถให้ความช่วยเหลืออย่างลับๆ ได้

ยังมีอีกสามตนที่เลือกจะพึ่งพากู้ช่าน รับหน้าที่เป็นขุนพลผี เท่ากับว่าเป็นผู้ถวายงานปลายแถวบนภูเขาของกู้ช่าน เงินทองที่ต้องใช้บนเส้นทางการฝึกตนและเส้นทางการเลื่อนสถานะในอนาคตจะกำหนดโดยดูจากความเล็กใหญ่ของคุณความชอบ คนหนึ่งในนั้นก็คือผีผู้เฒ่าที่เคยออกจากเรือนแก้วจำลองมาช่วยหม่าตู่อี๋ดูของที่เก็บตกมาได้ ตอนนี้เขาไม่ค่อยมาฝึกตนในเรือนแก้วจำลองแล้ว แค่ทำหน้าที่เป็นผู้ดูแลคลังสมบัติให้กับคนทั้งสาม

กู้ช่านถอนดวงจิตออกมาจากเรือนแก้ว หลับตาทำสมาธิ เหมือนหลับแต่ไม่ได้หลับ

ทางฝั่งของห้องแห่งนั้น หม่าตู่อี๋ยังคงนั่งอยู่บนโต๊ะกับเจิงเย่

หม่าตู่อี๋ยังคงวาดฝันถึงประสบการณ์การลงภูเขาหลังจากนี้พลางคิดคำนวณถึงทรัพย์สมบัติและคลังทองเล็กๆ ของตนในทุกวันนี้ไปด้วย

เจิงเย่ทำท่าจะพูดแต่ก็หยุดไป แต่ก็ไม่เต็มใจจะลุกเดินจากไป

หม่าตู่อี๋กล่าวอย่างสงสัย “มีเรื่องหรือ?”

เจิงเย่ถาม “วันหน้าคิดจะทำอย่างไร?”

หม่าตู่อี๋อึ้งตะลึงไปครู่หนึ่ง “คิดจะทำอย่างไรอะไร?”

เจิงเย่ลังเลอยู่เล็กน้อย ก่อนเอ่ยว่า “ได้ยินมาว่าผู้ฝึกตนส่วนหนึ่งของเกาะจูไชจะย้ายไปอยู่บ้านเกิดของท่านเฉิน ข้าเองก็อยากไปจากทะเลสาบซูเจี่ยนเหมือนกัน”

หม่าตู่อี๋ขมวดคิ้ว “ตอนนี้ก็ดีมากอยู่แล้วไม่ใช่หรือ? ทะเลสาบซูเจี่ยนตอนนี้ไม่เหมือนในอดีตที่เป็นตายไม่อาจตัดสินได้ด้วยตัวเอง ทะเลสาบซูเจี่ยนตอนนี้เปลี่ยนไปแล้ว เจ้าลองดูสิ ผู้ฝึกตนอิสระมากมายขนาดนั้นล้วนกลายมาเป็นเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลของสำนักเจินจิ้งแล้ว แน่นอนว่าพวกเขาขอบเขตสูง ส่วนใหญ่ล้วนมีชาติกำเนิดมาจากเจ้าเกาะใหญ่ คนตัวเล็กๆ ไร้ชื่อเสียงอย่างเจ้าเจิงเย่ไม่อาจเปรียบเทียบด้วยได้ แต่ในความเป็นจริงแล้วหากเจ้ายินดีเอ่ยปาก ขอร้องให้กู้ช่านช่วยสานความสัมพันธ์ ปูเส้นทางให้เจ้าสักหน่อย ไม่แน่ว่าอีกไม่กี่วันให้หลังเจ้าเจิงเย่อาจจะได้เป็นผู้ฝึกตนผีของสำนักเจินจิ้งแล้วก็ได้ ต่อให้ไม่ไปพึ่งพาสำนักเจินจิ้ง เจ้าเจิงเย่แค่สงบใจตั้งใจฝึกตนก็ไม่มีปัญหาแล้ว เพราะถึงอย่างไรพวกเราก็มีความสัมพันธ์ที่ไม่เลวกับจวนแม่ทัพนครน้ำบ่อ เพราะฉะนั้นถึงได้บอกอย่างไรล่ะว่า เจ้าเจิงเย่ที่อยู่ในทะเลสาบซูเจี่ยน อันที่จริงก็ถือว่าปลอดภัยมั่นคงอย่างมาก”

เจิงเย่ก้มหน้าลง “ข้ากลัวกู้ช่านมากจริงๆ”

หม่าตู่อี๋ด่าอย่างขันๆ ปนฉุน “เจ้านี่มันไม่ได้ความเอาเสียเลย!”

หลังจากที่เจิงเย่จากไป หม่าตู่อี๋ก็จมสู่ภวังค์ความคิด

ยิ่งนานวันกู้ช่านก็ยิ่งเหมือนนักบัญชีท่านนั้นแล้ว แต่หม่าตู่อี๋รู้ดีอยู่แก่ใจว่า เพียงแค่เหมือน แค่นี้เท่านั้นเอง

เพราะฉะนั้นแท้จริงแล้วหม่าตู่อี๋ก็กลัวกู้ช่านเหมือนกัน

จวนแม่ทัพที่ตั้งอยู่ในตระกูลฟ่านนครน้ำบ่อ แม่ทัพใหญ่กวนอี้หรานยังจุดตะเกียงจัดการกิจธุระอยู่ในห้องหนังสือ เมื่อเสียงเคาะประตูดังขึ้น กวนอี้หรานก็ปิดรายงานลับฉบับหนึ่งลง แล้วเอ่ยว่า “เข้ามา”

ผู้ฝึกตนติดตามกองทัพที่มีนามว่าอวี๋ซานฝางเดินข้ามธรณีประตูเข้ามาอย่างผึ่งผาย นั่งลงบนเก้าอี้ตัวหนึ่ง เอนหลังพิงพนักเก้าอี้แล้วเรอออกมาเสียงดัง ก่อนจะยิ้มพูดว่า “ดื่มเหล้ามื้อนี้ เต็มคราบดีจริงๆ! เจ้าตะพาบน้อยแซ่กู้ผู้นั้น อายุไม่มาก แต่กลับดื่มเหล้าเก่งสมกับเป็นชายชาตรีคนหนึ่ง ความสามารถในการโน้มน้าวให้คนอื่นดื่มก็ยิ่งร้ายกาจ มารดามันเถอะ ข้ากับพี่น้องสองคนช่วยกันมอมเหล้าเขา ตอนแรกตกลงกันไว้แล้วว่าจะต้องทำให้เจ้าเด็กนี่นอนกลิ้งอยู่ใต้โต๊ะให้ได้ คิดไม่ถึงว่าดื่มไปดื่มมา พวกเราสามคนกลับเริ่มตีกันเองเสียก่อน โต๊ะใหญ่ๆ สองโต๊ะ คนเกือบยี่สิบคน สุดท้ายคนที่เดินออกมาได้มีแค่ข้าผู้อาวุโสกับเจ้าเด็กนั่นเท่านั้นเอง แถมเจ้าเด็กนั่นยังช่วยแบกคนหลายคนกลับไปที่พักด้วย”

กวนอี้หรานเอ่ยถาม “เจ้าคิดว่าเด็กหนุ่มคนนั้นเป็นอย่างไร?”

อวี๋ซานฝางตอบ “เมื่อก่อนเรื่องเล่าลือเกี่ยวกับเกาะชิงเสียและเจ้าเด็กนี่ ข้าได้ยินมาจนหูแทบแฉะ แต่ตลอดหนึ่งปีที่อยู่ด้วยกันมานี้ เขาไม่ได้เป็นอย่างที่เล่าลือเลย!”

กวนอี้หรานพยักหน้ารับ แล้วก็ไม่ได้เอ่ยอะไรอีก

อวี๋ซานฝางเองก็คร้านจะคิดเล็กคิดน้อย บุรุษหยาบกระด้างที่อยู่บนหลังม้ามาตลอดชีวิตอย่างเขาไม่มีความคิดวกวนอ้อมค้อม ถึงอย่างไรก็มีสหายที่ร่วมเป็นร่วมตายด้วยกันมาหลายปีอย่างกวนอี้หรานคอยช่วยแบกรับให้อยู่แล้ว ยังจะต้องกลัวอะไรอีกเล่า

กวนอี้หรานถาม “อวี๋ซานฝาง ข้าคิดว่าจะขยับความสัมพันธ์ให้ใกล้ชิดกับคนหนุ่มต่งสุ่ยจิ่งของเขตการปกครองหลงเฉวียนผู้นั้นอีกสักหน่อย เตรียมจะช่วยเขาสานสัมพันธ์กับตระกูลของข้า ขยายกิจการเล็กๆ บางอย่างให้ใหญ่ขึ้นอีกหน่อย”

อวี๋ซานฝางเอ่ยอย่างอัดอั้น “เจ้ามาพูดเรื่องพวกนี้กับข้าทำไม? ข้าเป็นนักบัญชีกับใครเขาไม่ได้ แล้วก็เป็นหมาเฝ้าบ้านให้ใครไม่ได้ด้วย ข้าจะบอกเจ้าไว้ก่อนเลยนะ อย่าบอกให้ข้าไปเป็นผู้ติดตามของเจ้าต่งสุ่ยจิ่งนั่นล่ะ ข้าผู้อาวุโสคือผู้ฝึกตนติดตามกองทัพต้าหลีตัวจริงเสียงจริง เสื้อเกราะเหล็กที่เป็นหลุมเป็นรูชิ้นนั้นก็คือเมียของข้า หากเจ้ากล้าสั่งให้ข้าปลดเสื้อเกราะเปลี่ยนไปเป็นเศรษฐีกับผายลมสุนัขอะไรนั่น เท่ากับว่าผูกปมแค้นแย่งชิงภรรยากับข้า ระวังเถอะข้าผู้อาวุโสจะเตะให้เจ้าตายเลย!”

กวนอี้หรานพูดด้วยสีหน้าเป็นปกติ “เส้นทางการทำเงินล่างภูเขา นับแต่โบราณมาการขนส่งทางน้ำก็คือเงินที่ไหลมาตามกระแสน้ำ แต่ถ้าเปลี่ยนไปเป็นบนภูเขาก็คือเรือข้ามฟากตระกูลเซียน ราชวงศ์โลกมนุษย์ทั้งหมด ขอแค่ในแคว้นมีเส้นทางการขนส่งทางน้ำ ระดับตำแหน่งของขุนนางผู้ดูแลหลักส่วนใหญ่ก็ล้วนไม่ต่ำ แต่ละคนมีชื่อเสียงไม่โดดเด่น แต่ในมือกลับกุมอำนาจที่แท้จริง ตอนนี้ราชสำนักต้าหลีของพวกเรากำลังจะก่อตั้งที่ว่าการแห่งใหม่เพื่อให้ดูแลเส้นทางการเดินเรือข้ามฟากและท่าเรือมากมายของหนึ่งทวีป ขุนนางหลักมีระดับขั้นต่ำกว่าเจ้ากรมการคลังแค่ขั้นเดียว ตอนนี้ทางราชสำนักเริ่มมีการแย่งชิงตำแหน่งกันแล้ว ตระกูลกวนของข้าได้มาสามตำแหน่ง ข้าสามารถขอตำแหน่งที่ต่ำที่สุดนั้นมาได้ มันเป็นสิ่งที่ข้าสมควรได้รับ ทั้งในและนอกตระกูลต่างก็ไม่มีใครหาข้อตำหนิได้”

—-