ภาคที่ 7 ศึกสุดท้าย บทที่ 42 เป้าประสงค์

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 42 เป้าประสงค์

ภายในโถงพระราชวัง

ซูเฉินนั่งอยู่บนบัลลังก์ ตกอยู่ในภวังค์และไม่ส่งเสียงแม้แต่น้อย

เขานั่งอยู่ตรงนั้นอย่างไร้การเคลื่อนไหว ดำดิ่งอยู่ในห้วงความคิดของตนจนเหมือนจะไม่ได้ยินเสียงของผู้คนรอบกาย

หลี่ฉงซานเรียกชื่อซูเฉินอยู่หลายครั้ง แต่เขาก็ได้รับเพียงเสียงบ่นงึมงำกลับมาเท่านั้น

ทุกคนรู้ว่าซูเฉินกำลังครุ่นคิดเกี่ยวกับบางสิ่งที่ซับซ้อน พวกเขาจึงต้องยอมแพ้การเรียกความสนใจของซูเฉินในครั้งนี้ไป

เป็นอย่างนี้อยู่จนถึงเวลาพลบค่ำ กู่ชิงลั่วเดินเข้ามา นั่งลงข้าง ๆ เขา และกล่าวอย่างอ่อนโยน “บางสิ่งบางอย่างเจ้าก็ไม่สามารถเข้าใจมันได้ด้วยการคิดให้หนักขึ้นเพียงอย่างเดียวหรอกนะ ทำไมเจ้าไม่พักสักหน่อยล่ะ? นี่ ลองกินโจ๊กเมล็ดดอกบัวจิตกระจ่างที่ข้าทำให้เจ้าสิ”

ซูเฉินส่ายหน้า “เจ้าก็รู้ว่านี่ไม่ใช่สิ่งที่ข้าต้องการ”

กู่ชิงลั่วกล่าวด้วยความไม่พอใจ “ข้าเตรียมอาหารมาให้เจ้าเป็นพิเศษเลยนะ ถึงเจ้าจะไม่ต้องการ เจ้าก็ต้องดื่มกินมันเข้าไป”

ซูเฉินหัวเราะแกมเหน็บแนม “เจ้าคงจะทำมันแบบนี้ใช่ไหมล่ะ?”

เปลวไฟผุดขึ้นบนฝ่ามือของเขา ส่งให้ถ้วยโจ๊กในมือเดือดปุด ๆ

สำหรับผู้ฝึกตนอย่างทั้งสอง มันช่างเป็นเรื่องเล็กน้อยเหลือเกินในการทำโจ๊กสักชาม

กู่ชิงลั่วไม่สบอารมณ์กับคำตอบที่ได้รับเป็นอย่างมาก “โอ้ ที่ข้าทำโจ๊กให้เจ้าเป็นพิเศษก็ไม่พองั้นสิ? ข้าต้องพยายามจนหมดเรี่ยวหมดแรงเพื่อแสดงความจริงใจให้เจ้าเห็นหรือไง?”

ณ จุดนี้ ซูเฉินและกู่ชิงลั่วต่างก็คุ้นชินกันแล้ว “แน่นอน หากเจ้าทำมันได้ง่ายไป คุณค่าของมันก็จะลดลง ในทางกลับกัน การมอบสิ่งที่ท้าทายตัวเจ้านั้นมีคุณค่ายิ่งกว่ามาก”

กู่ชิงลั่วหัวเราะลั่น “ขอโทษที่ต้องทำให้ผิดหวังนะ แต่มีอยู่ไม่กี่อย่างหรอกที่ข้าไม่สามารถทำได้ง่าย ๆ”

“งั้นทำลายปราการเทพเจ้าเป็นไงล่ะ?”

กู่ชิงลั่วตะลึงงัน

นางจ้องมองไปยังซูเฉิน “เจ้าหมายถึง… ขอทานชราคนนั้น…”

ซูเฉินพยักหน้า “ข้าแค่คาดเดาเอาเท่านั้น ถ้าเขามาจากฝ่ายนั้นจริง ๆ นั่นก็จะอธิบายสิ่งแปลกประหลาดทั้งหลายที่เกิดขึ้นได้หลายอย่างเลยล่ะ”

“เช่นอะไรล่ะ?”

ซูเฉินหยิบเอารัดเกล้าหยกออกมาและส่งมันให้แก่กู่ชิงลั่วอย่างใจเย็น

นี่คือรัดเกล้าหยกชิ้นเดียวกันกับที่ถูกซ่อนไว้ส่วนลึกในนิกายแห่งพระแม่ หลังจากที่เผ่าปักษายอมจำนน มันก็ตกอยู่ในมือของซูเฉินในที่สุด พวกเขาไม่อาจเก็บมันไว้เป็นความลับได้อยู่แล้วในเมื่อไม่อาจมีสิ่งใดรอดพ้นไปจากพลังจิตของซูเฉินได้

กู่ชิงลั่วรับรัดเกล้าหยกมา ดวงตาของนางเริ่มเบิกกว้างด้วยความตกตะลึงขณะที่นางอ่านข้อความบนรัดเกล้า “งั้นก็เป็นอย่างที่เจ้าคาดเดาสินะ”

ซูเฉินและกู่ชิงลั่วรู้ข้อมูลที่ถูกบันทึกลงบนรัดเกล้าหยกอยู่ไม่น้อย ความลับที่มันเปิดเผยจึงไม่ได้ทำให้ทั้งสองประหลาดใจมากนัก แต่มันก็ยืนยันข้อสงสัยของทั้งคู่และยังมอบข้อมูลเพิ่มเติมที่ยังขาดหายไปเกี่ยวกับเหล่าเทพเจ้าอีกด้วย

แต่ถึงอย่างนั้น กู่ชิงลั่วก็ยังพูดไม่ออกเมื่อการคาดเดาของตนได้รับการยืนยันจากแหล่งข้อมูลใหม่ชิ้นนี้

“งั้น… เราไม่ได้เป็นแค่ทาส แต่ยังเป็นทายาทของพวกเขาด้วย” กู่ชิงลั่วพึมพำกับตัวเองเบา ๆ

“เหมือนจะเป็นอย่างนั้นนะ” ซูเฉินตอบ

“แต่ทั้งหมดนี่มันเกี่ยวข้องกับขอทานชรายังไงหรือ?” เมื่อคำพูดเหล่านั้นหลุดออกจากปากของกู่ชิงลั่วมา นางก็นึกบางสิ่งได้พร้อมดวงตาที่เบิกกว้างด้วยความตกตะลึง “เจ้าคงไม่ได้หมายถึง…”

ซูเฉินค่อย ๆ พยักหน้า “เจ้าไม่คิดว่ามันมีความเป็นไปได้มากทีเดียวหรือ?”

กู่ชิงลั่วอ้าปากค้าง

หากการคาดเดาของซูเฉินถูกต้อง พวกเขาก็ติดอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากจริง ๆ

กู่ชิงลั่วพยายามทำความเข้าใจสิ่งที่พึ่งจะได้อ่านมาอย่างยากลำบาก หลังจากผ่านไปครู่ใหญ่ นางก็ได้แต่ส่ายหน้าไปมา “สมาชิกตระกูลกู่นั้นมีชีวิตอยู่อยู่มานานจนมีลูกหลานหลายชั่วโคตร ก่อนหน้าข้าที่ยังมีลมหายใจอยู่ ข้ามีทั้งปู่ ทวด ผู้อาวุโส และกระทั่งผู้อาวุโสของผู้อาวุโส เจ้ารู้ไหมว่าการพยายามจำตำแหน่งเหล่านั้นทั้งหมดมันน่าปวดหัวขนาดไหน? ส่วนมากเราเลยใช้เพียงแค่ ‘ปู่’ และ ‘ผู้อาวุโส’ แทน”

ซูเฉินขบขันวิธีการคิดของกู่ชิงลั่วไม่น้อย “ข้าไม่คิดว่านั่นเป็นปัญหาสักนิด”

“ก็ได้ งั้นพูดถึงปัญหาอื่นกันเถอะ” กู่ชิงลั่วกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “นี่… ผู้อาวุโส… ของพวกเรา เป้าหมายของเขาคืออะไรกัน?”

“นั่นแหละที่ข้ากำลังคิดอยู่ก่อนหน้านี้” ซูเฉินตอบอย่างสงบนิ่ง “แต่ก่อนที่จะตอบคำถามนั้น เราต้องพิจารณาอีกเรื่องหนึ่งเสียก่อน”

“อะไรหรือ?”

“จากข้อมูลที่ข้ารวบรวมมา ปราการเทพเจ้านั้นควรจะเป็นกำแพงที่แบ่งแยกทวีปต้นกำเนิดออกจากทะเลพลังต้นกำเนิด ปราการนี้ทำให้ไม่มีผู้ใดสามารถข้ามไปมาระหว่างสองพื้นที่ได้ ซึ่งก็คือเหตุผลที่เทพเจ้ายังไม่อาจกลับมายังโลกใบนี้ได้นั่นเอง”

“อืม” กู่ชิงลั่วพยักหน้าหงึก ๆ

นี่ไม่ถือว่าเป็นความลับเสียทีเดียว ชื่อ ‘ปราการเทพเจ้า’ และ ‘สนธิสัญญานิรันดร์กาล’ แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าพวกมันคืออุปสรรคสำคัญในการกลับมาของเทพเจ้า

ที่จริงแล้ว ปราการเทพเจ้าน่าจะเป็นสิ่งที่กีดขวางเทพเจ้าอยู่โดยแท้จริง ในขณะที่สนธิสัญญานิรันดร์กาลคือข้อตกลงที่เหล่าเทพเจ้าร่วมกันสร้างขึ้นมา

และ 10 ปีหลังจากนี้ ปราการและสนธิสัญญาก็จะไม่มีผลอีกต่อไป

ซูเฉินพูดต่อไป “ในเมื่อมีปราการที่แบกแย่งทั้งสองแดนออกก็ไม่ควรมีเส้นทางที่เชื่อมอยู่ระหว่างทั้งสองแห่ง แต่นั่นก็ไม่จริงเสียทีเดียว อย่างเช่น นิกายแห่งพระแม่สามารถสื่อสารกับพระแม่ได้ นอกจากนี้ เทพจันทรายังสามารถดูดซับพลังศักดิ์สิทธิ์จากจักรพรรดิเฟยเยว่ได้อีกด้วย และเจ้าแห่งแดนฝันก็กระทั่งสามารถทำกิจการในทวีปต้นกำเนิดผ่านแดนฝันของเขาได้เลยทีเดียว ด้วยตัวอย่างที่หายากแต่จริงแท้แน่นอนเหล่านี้ เห็นได้ชัดว่าเทพเจ้านั้นไม่เคยละทิ้งโลกใบนี้ อันที่จริง พวกเขาเคยใช้กลยุทธ์มากมายในการสอดแทรกตัวเองเข้ามาในโลกของเราเพื่อที่จะควบคุมมันต่อไปด้วยซ้ำ”

แสงส่องประกายกะพริบผ่านดวงตาของกู่ชิงลั่วเมื่อได้ยินความคิดของซูเฉินขณะที่หญิงสาวพยักหน้าไม่หยุด

“แต่ไม่ว่าจะสนธิสัญญา ปราการ หรือทั้งสอง ต่างก็จำกัดพลังของพวกเขาไว้อย่างชัดเจน เทพจันทรา พระแม่ และเจ้าแห่งแดนฝันล้วนใช้พลังของพวกตนได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น พระแม่สามารถประทานขนนกศักดิ์สิทธิ์ได้ เทพจันทราสามารถสร้างราชันจักรพรรดิอสูรได้ และเจ้าแห่งแดนฝันก็สามารถอาศัยอยู่ในแดนฝันโดยมีข้อแม้ว่าจะไม่สามารถสังหารผู้ใดได้ และในขณะที่พวกเขาสามารถควบคุมโลกของเราผ่านวิธีการต่าง ๆ การกระทำของพวกเขาก็เปิดเผยความแข็งแกร่งที่ขาดแคลนในปัจจุบันให้ได้เห็น”

กู่ชิงลั่วดูจะเข้าใจในประเด็นของซูเฉิน “พวกเขาได้เปรียบในบางเรื่อง แต่พวกเขาก็ขาดแคลนส่วนอื่น ๆ เจ้าแห่งแดนฝันนั้นดูทรงพลังจนน่าเหลือเชื่อ แต่ก่อนที่ปราการเทพเจ้าจะพังทลายลง เขาก็ไม่อาจสังหารได้แม้กระทั่งแม่ไก่ตัวเล็ก ๆ เช่นเดียวกันกับเทพจันทราและพระแม่”

แล้วซูเฉินก็เอ่ยขึ้น “ถ้าขอทานชราคือหนึ่งในพวกเขาล่ะ?”

กู่ชิงลั่วชูนิ้วประท้วง “แต่เขาโจมตีและทำร้ายผู้คนนะ!”

“แต่ถ้าเจ้าดูการกระทำของเขาดี ๆ เขาทำร้ายแค่คนที่อ่อนแออย่างถึงที่สุดและมีความแข็งแกร่งเพียงน้อยนิดเท่านั้น” ซูเฉินโต้กลับ

เรื่องราวของขอทานชราได้แพร่กระจายไปทั่วแล้วในตอนนี้ แต่ด้วยเหตุผลบางอย่าง ทุกคนที่ขอทานชราได้โจมตีไปนั้นล้วนอ่อนแอเป็นอย่างมาก

ที่จริงแล้ว ผู้เชี่ยวชาญด่านกลั่นโลหิตคนนี้ที่ขอทานชราเคยโจมตีก็เป็นเป้าหมายที่ดีที่สุดในตอนนั้น

เหมือนว่าเรื่องนี้จะเกี่ยวข้องกับการสลายตัวของปราการ

“ฝ่ายหนึ่งเสีย แต่อีกฝ่ายก็ได้” กู่ชิงลั่วย้ำคำพังเพยของนางก่อนหน้านี้ “พวกเขาไม่เคยเผยตัวตนหรือพลังที่แท้จริงให้เห็นแต่ก็เคลื่อนไหวอยู่เบื้องหลังเสมอ กลายเป็นเหมือนผีเสื้อขยับปีกที่เปลี่ยนแปลงเหตุการณ์ตามธรรมชาติต่าง ๆ ไป ทำไมข้าถึงรู้สึกว่ามันคล้ายกับสิ่งที่เจ้าทำได้นักนะ…”

“ร่างแยกโลหิต” ซูเฉินแทรกขึ้นทันควัน

ดวงตาของกู่ชิงลั่วลุกเป็นประกาย “ใช่แล้ว ร่างแยกโลหิต!”

ร่างแยกโลหิตของซูเฉินสามารถเดินไปมาทั่วทั้งทวีปแทนเขาได้ แต่พวกมันก็มีข้อจำกัดอยู่ด้วย อย่างเช่น พวกมันอ่อนแอกว่าซูเฉินมาก และระยะเวลาที่พวกมันสามารถคงอยู่ได้ก็จำกัดเช่นกัน

หากขอทานชราเป็นมนุษย์จริง ๆ การปรากฏตัวของเขาในทวีปต้นกำเนิดก็คงจะเป็นร่างแยก

และเทพเจ้าแต่ละคนก็มีความสามารถที่แตกต่างออกไปเช่นกัน

ความสามารถเหล่านี้สำคัญเป็นอย่างมากต่อวิธีการที่จะทะลวงฝ่าปราการมาได้ และพวกมันยังเป็นเหตุผลที่เทพเจ้าควบคุมโลกแตกต่างกันอีกด้วย

นอกจากความสามารถเหล่านี้แล้วยังเห็นได้ชัดว่าเทพเจ้าแต่ละคนก็มีเป้าหมายที่ต่างกันมหาศาลอีกด้วย

แล้วทำไมขอทานชราต้องทำเช่นนั้นด้วย?

หลายหมื่นปีที่ผ่านมาเขาศึกษาอะไรอยู่กันแน่? เขากำลังรออะไรอยู่?

คำถามเหล่านี้รบกวนใจซูเฉินไม่น้อย

แต่ก็มีอีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้ซูเฉินต้องสงสัย

“ทำไมเขาถึงบอกสิ่งนั้นกับข้ากัน?” ซูเฉินส่งเสียงพึมพำ

“อะไรนะ?” กู่ชิงลั่วไม่เข้าใจว่าซูเฉินกำลังคิดสิ่งใดอยู่

“เขาแทบไม่ปรากฏตัวให้พบเห็นเลย นั่นแปลว่าเขาคงจะส่งร่างแยกมาที่นี่ได้ยากทีเดียวใช่ไหมล่ะ? ถ้าเป็นอย่างนั้น เขาก็ควรจะบอกบางสิ่งที่มีค่าจริง ๆ เขาจะใช้โอกาสหายากในการมายังโลกเช่นนี้เพื่อชื่นชมข้าหรือ? เจ้าไม่คิดว่ามันแปลก ๆ หรือ?” ซูเฉินอธิบาย

‘ไม่เจอกันนานเลยนะซูเฉิน ข้ายินดีกับการเติบโตของเจ้ามาก แต่เจ้ากำลังจะหมดเวลาแล้ว อย่าลืมใช้มันให้ดีล่ะ…’

นั่นคือสิ่งที่ขอทานชราบอกกับเขาผ่านร่างภาชนะด่านกลั่นโลหิต

แม้เขาจะบอกความจริง มันก็ดูเป็นข้อความที่ไร้ประโยชน์ยิ่งนัก

ทำไมขอทานชราจะต้องใช้พลังงานมากมายเพียงเพื่อชื่นชมและให้กำลังใจเขาด้วย?

นั่นไม่สมเหตุสมผลเลย

นี่คือคำถามแท้จริงที่กำลังกัดกินซูเฉิน

มีความหมายลึกซึ้งอะไรซ่อนอยู่เบื้องหลังคำพูดของขอทานชราที่เขาพลาดหรือเปล่า?

แต่ไม่ว่าซูเฉินจะครุ่นคิดนานเท่าไร ก็ไม่มีสิ่งใดตอบคำถามนี้ได้

เมื่อกู่ชิงลั่วได้ยินคำอธิบายของซูเฉิน นางก็ทำหน้าบึ้งก่อนจะตั้งข้อสังเกต “นั่นแปลกทีเดียว ฟังดูเหมือนว่าเขาจะพยายามเตือนให้เจ้าใช้เวลาอย่างรอบคอบ พูดอีกอย่างคือ… เขาอยู่ข้างพวกเราหรือ? เขาต้องการขัดขวางการกลับมาของเทพเจ้าหรือ?”

ซูเฉินพยักหน้า “ดูเหมือนจะเป็นเช่นนั้นในตอนนี้ แต่เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่แค่นั้นแน่ เพราะคำพูดของเขายังไร้ประโยชน์และสิ้นเปลืองพลังงานยิ่งนักหากเขาต้องการบอกอะไรเพียงแค่นั้น… แม้จะไม่มีตัวช่วยเตือนความจำนี้ ข้าคงยังเตรียมการอย่างละเอียดถี่ถ้วนต่อไป คำพูดนี้ไม่มีคุณค่าทางปฏิบัติจริง ๆ หรอก”

กู่ชิงลั่วเกาหัวแกรก ๆ ด้วยความงุนงง “งั้นข้าก็ไม่รู้แล้ว คำพูดของเขาดูไม่มีความหมายอื่นใดเลย”

ซูเฉินตอบด้วยความมุ่งมั่น “ต้องมีอยู่แน่ ต้องมีสิ เขาไม่ทำอะไรไร้สาระแบบนั้นหรอก”

กู่ชิงลั่วได้แต่แปลกใจ “แล้วทำไมเขาไม่บอกเจ้าตรง ๆ ล่ะ?”

ซูเฉินตอบคำถาม “สนธิสัญญานิรันดร์กาลจะต้องกำหนดสิ่งที่เขาทำได้และไม่ได้ไว้เป็นแน่”

ปราการเทพเจ้าป้องกันไม่ให้เทพเจ้าบุกรุกเข้ามา สนธิสัญญานิรันดร์กาลจึงต้องจำกัดอำนาจของเทพเจ้าไว้ในอีกทางหนึ่งแน่ เมื่อประกอบกันแล้ว ทั้งสองลดอำนาจของเทพเจ้าต่อทวีปต้นกำเนิดลงได้มหาศาล

แต่ถึงอย่างนั้น เทพเจ้าบางคนผู้เปลี่ยนแรงจูงใจและเป้าหมายก็ได้ค้นหาโอกาสที่จะข้ามผ่านข้อจำกัดเหล่านี้ต่อไป

เจ้าแห่งแดนฝัน เทพจันทรา และพระแม่ก็เช่นเดียวกัน

การกระทำของขอทานชราก็ตรงกับสมมติฐานนี้เช่นกัน

ตลอดหลายหมื่นปีที่ผ่านมา เขาได้ทำสิ่งเล็กน้อยมากมายที่เมื่อประกอบรวมกันแล้วได้เปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์ของมนุษย์ไปมากมาย

วีรบุรุษมากมายที่ปรากฏขึ้นในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาก็ได้รับผลกระทบจากการกระทำของเขา

เห็นได้ชัดว่าวีรบุรุษเหล่านี้ไม่สามารถเติมเต็มความคาดหวังของขอทานชราได้ ซึ่งเป็นเหตุผลให้เขาปรากฏตัวขึ้นอยู่เรื่อยมา…

จนถึงวันนี้

“ข้ายินดีกับการเติบโตของเจ้ามาก…” ซูเฉินพึมพำออกมาอีกครั้ง แล้วทันใดนั้นเอง ดวงตาของเขาก็เบิกโพลงขึ้น “เขากำลังบอกข้าว่าข้าเดินไปมาถูกเส้นทางแล้ว”

“เส้นทางอะไรกัน? การต่อต้านเทพเจ้าหรือ?” กู่ชิงลั่วถาม

“ไม่!” ซูเฉินลุกขึ้นยืนขณะที่ความเข้าใจปะทะเข้ากับตน “เส้นทางของการทำให้เผ่าพันธุ์มนุษย์แข็งแกร่งขึ้นด้วยตัวเอง! เขาต้องการให้ข้าชี้นำเผ่าพันธุ์มนุษย์เพื่อหลีกเลี่ยงการเสริมกำลังตนเองด้วยสิ่งเหล่านี้!”

“ห่างจากอะไรกัน?”

“จากสายเลือดและพวกเทพเจ้า!” ซูเฉินตะโกนลั่นด้วยความตื่นเต้น “เขาฝากความหวังแรกไว้กับหลี่ต้าวหงและมอบสมองของข้ารับใช้หลวงให้ แล้วเขาก็ฝากความหวังไว้กับหลงพั่วจวินและมอบกระดูกปีศาจโลหิตให้ เหตุผลเบื้องหลังการกระทำเหล่านี้ไม่ใช่เพื่อให้พวกเขาพึ่งพาพลังนี่ แต่เพื่อให้ได้รับพลังใหม่จากระบบที่แตกต่างออกใบโดยสิ้นเชิงต่างหาก!”

กู่ชิงลั่วพึมพำ “แต่พวกเขาใช้พลังนั้นเพื่อตามใจตัวเองเท่านั้น ในทางกลับกัน เจ้า…”

ซูเฉินสิ่งยิ้มบาง ๆ “ใช่ ข้าทำ นั่นคือเหตุผลที่เขาบอกว่าการกระทำของข้าที่ผ่านมาถูกต้องนั้นแล้ว ไม่ ไม่ใช่เพียงแค่นั้น ที่สำคัญยิ่งกว่า เขาบอกให้ข้ารู้ว่านี่คือเส้นทางที่ถูกต้องในการต่อกรกับเทพเจ้าด้วย”

ทันใดนั้น หัวใจของซูเฉินก็เปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ

เพราะเขานึกถึงปรากฏการณ์ที่พึ่งจะได้เห็นมาไม่นานนี้

เมื่อพลังอมตะกลืนกินพลังศักดิ์สิทธิ์เข้าไป!

งั้นนั่นก็คือสิ่งที่ขอทานชรารอมาตลอดงั้นหรือ?

นี่คือเส้นทางที่ถูกต้องสำหรับเผ่าพันธุ์มนุษย์

ขอทานชราเดินทางมาไกลโขเพื่อบอกให้ซูเฉินรู้ว่าเขาเดินมาถูกทางแล้ว และเขาจำเป็นต้องเดินหน้าต่อไป

ชายแก่รอคอยให้สิ่งนี้เกิดขึ้นมากว่าหลายหมื่นปีแล้ว

เขาหว่านต้นกล้าที่มีศักยภาพไว้จำนวนนับไม่ถ้วนโดยหวังว่าหนึ่งในนั้นจะเติบโตขึ้นมาเป็นต้นไม้ยักษ์

และซูเฉินก็คือต้นไม้ที่เขารอคอย

“งั้นนั่นก็คือสิ่งที่เขาต้องการบอกพวกเรา…” กู่ชิงลั่วพึมพำด้วยสายตาที่ฉายแววความสุขและความหวัง

“ไม่ใช่แค่นั้น คำพูดของเขายังบอกข้าอีกหนึ่งอย่างสุดท้าย” ซูเฉินพูดงึมงำ “บางสิ่งที่ข้าไม่เคยเข้าใจได้ทั้งหมดจนกระทั่งตอนนี้”

“อะไรหรือ?”

“ตานปา!”